11 มีนาคม 2553

พบพระเจ้าในวิกฤติชีวิต

เมื่อตรึกตรองถึงประสบการณ์ ในเหตุการณ์ ในสิ่งต่างๆ และในผู้คนที่ได้สัมผัส พบปะเจอะเจอทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านได้ตระหนักเห็นถึงสาระแก่นสารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงแก่ท่านในผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

ท่านมีโอกาสซึมซับและร่วมรู้สึกยินดี, ปวดร้าว, ว้าเหว่, สิ้นหวังที่ดูเหมือนจะตาย แต่กลับเกิดความหวังอีกครั้งในชีวิตร่วมกับธรรมชาติรอบกายและเหตุการณ์รอบข้างที่สะท้อนและสำแดงถึงความรู้สึกแห่งชีวิตออกมาหรือไม่

ท่ามกลางฤดูกาลแห่งชีวิตที่แปรเปลี่ยนเวียนวน, ที่แตกต่างดูเหมือนอยู่ในคนละฤดูกาลแห่งชีวิตในเวลาเดียวกัน

บางแห่งหนาวแล้งจนดูเหมือนต้นไม้จะยืนแห้ง กำลังตาย ในขณะที่บางแห่งกลับฝนตกฟ้าคะนองจนน้ำท่วมล้น, บางแห่งหิมะตกหนักดูเหมือนไม่มีท่าทีจะเบาบางลง ท่านคงสัมผัสถึงความทุกข์ ปวดร้าว กังวล สิ้นหวัง และสูญเสียได้

ในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมาในเมืองเชียงใหม่ เมื่อเดินไปที่ต่างๆ จะพบต้นไม้ใหญ่บางต้นใบร่วงหล่น แห้งกรอบ เหลือแต่กิ่งก้านโกร๋นไปทั้งต้น ดูเหมือนกำลังยืนรอความตาย แล้วมันจะตายจริงหรือไม่นี่!

ทำให้วกไปวิตกกังวลกับสภาพอากาศโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงรุนแรง ทำให้ด่วนสรุปฟันธงลงไปว่านี่ก็อีกรายละซิที่เป็นผลกระทบจากอากาศโลกที่เปลี่ยนไป!

อีกไม่กี่วันต่อมา เกิดพายุฝนจากการเปลี่ยนผ่านสู่ฤดูร้อน ฝนตกลมแรง ทำให้ห่วงกังวลว่าแล้วต้นไม้แห้งโกร๋นพวกนั้นจะล้มโค่นลงหรือไม่!

จากนั้นผ่านไปสองอาทิตย์ สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ต้นไม้แห้งโกร๋นที่คิดว่ากำลังยืนตายกลับแตกใบอ่อน เกิดชีวิตใหม่(ในต้นไม้แก่ๆ ต้นนั้น)!

เสียงหนึ่งในจิตใจร้องค้านขึ้นว่า ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์พันลึกอะไรหรอก มันก็แค่เพียงเป็นไปตามกระบวนการวงจรชีวิตในธรรมชาติเท่านั้น

อีกเสียงหนึ่งถามด้วยความฉงนแต่สงบว่า ถ้าเช่นนั้นเวลาที่ผ่านมา 1-2 เดือนนี้ ทำไมท่านถึงวิตกกังวลและเป็นห่วงว่า ต้นไม้แก่ต้นนั้นกำลังยืนรอความตายแน่?

ทำไมท่านรีบโยงโยนสาเหตุจากสภาพแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนรุนแรงของโลกนี้ เพื่อจะสามารถเชื่อมโยงถึงต้นเหตุผ่านมาที่ผู้คนทำร้ายทำลายธรรมชาติแวดล้อม?

เมื่อเรามองดูสภาพชีวิตแวดล้อมที่กำลังแปรเปลี่ยนเวียนไปด้วย “แว่นตาแห่งข่าวสารข้อมูล” และข้อสรุปต่างๆ มักโน้มเอียงให้การมองของเราหาสาเหตุของชีวิตที่แปรเปลี่ยนเหล่านั้น แล้วพยายามเชื่อมโยงหาเหตุผล “โยงโยน” ว่าสาเหตุเกิดจากคนอื่น สิ่งอื่น!

แต่ถ้าเรามุ่งมองสภาพชีวิตที่กำลังเป็นไปและเปลี่ยนแปลงด้วย “แว่นตาแห่งชีวิต” ที่มองให้เห็นถึงพระประสงค์ และ น้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านต้นไม้แก่ต้นนั้น เราจะเห็นความรัก ความงดงามของพระองค์ ที่ทรงเอาใจใส่ด้วยน้ำพระทัยแห่งความรักเมตตาของพระองค์

เราจะเห็นถึงพระประสงค์แห่งการทรงสร้าง, การทรงหนุนเสริม, ค้ำชู, และการทรงกอบกู้ของพระองค์ในเหตุการณ์ชีวิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นวนเวียนด้วยความรักเมตตาอย่างไม่ย่อท้อและเหนื่อยล้า

เราเห็นถึงพระคุณของพระเจ้าท่ามกลางอุปสรรค, วิกฤติชีวิต, การโหมกระหน่ำของผู้ไม่หวังดี, การจู่โจมอย่างไม่ลดละของคนชั่ว เป็นสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือความสามารถที่เราจะรับมือได้

ในเวลาเช่นนั้น มิใช่เวลาของการสรรหาทฤษฎี ความรู้ เทคนิกวิธีการ, กระบวนการการแก้ปัญหา, การรับมือกับความขัดแย้ง, การจะใช้ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์เชิงไหน!

แต่เป็นเวลาที่เราจะค้นหา รอคอย การทรงเปิดเผยของพระเจ้าถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเหตุการณ์นั้นว่า

พระองค์มีพระประสงค์อะไรที่จะให้สิ่งดีเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้น?

พระองค์มีน้ำพระทัยเช่นไรต่อมวลชีวิตที่เกี่ยวข้องวนเวียนในสถานการณ์นั้น?

พระองค์ต้องการสอน, เสริมสร้าง, และหล่อหลอมให้เราเป็น “เครื่องมือ” ของพระองค์เพื่อทำอะไร และ อย่างไร?

พระองค์กำลังหนุนเสริมเพิ่มกำลังด้านต่างๆ ในตัวเราให้ทำพันธกิจอะไร แบบใด ในวิกฤติชีวิตที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์อยู่ด้วย?

สิ่งสำคัญทางคุณธรรมแห่งชีวิตจิตวิญญาณของเราคือ “การรอคอย” เราต้อง “รอคอย” เวลาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะนี่เป็นพระราชกิจของพระองค์ ต้องตระหนักชัดเสมอว่า เราเป็นเพียง “เครื่องมือ” ของพระองค์ เราเป็นเพียง “คนใช้” ของพระองค์

เราต้องไม่ใจร้อนด่วนทำก่อนเวลาในแผนการของพระเจ้า เพราะนั่นเรากำลังทำตามใจของเรา!

ความเข้าใจประการสำคัญคือ เรามักรีบด่วนแสวงหา “ความรู้” ก่อนทำ (เพราะเราคิดว่า เพื่อจะทำอย่างถูกต้อง) แต่ในพระราชกิจของพระเจ้า ถ้าเรายอมทำอย่างเชื่อฟัง เราจะเรียนรู้พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า

เราเรียนรู้ จากการเชื่อฟัง
เราเรียนรู้ เราจึงหยั่งรากลงลึกในความเชื่อศรัทธา
เราเรียนรู้ เราจึงเติบโต เข้มแข็ง
เราเรียนรู้ เราจึงเกิดผลตามพระประสงค์ของพระเจ้า

นี่คือการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตมิใช่หรือ!

ท่ามกลางวิกฤติชีวิต...
จึงเป็นโอกาสที่เราจะพบและสัมผัสกับน้ำพระทัยของพระเจ้า
จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้รับการ “ตัดแต่ง” เสริมสร้างและหล่อหลอมจากพระองค์
จึงเป็นโอกาสที่เราจะเติบโตขึ้นของชีวิตจิตวิญญาณในพระเยซูคริสต์
จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้ถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระองค์
จึงเป็นโอกาสที่เราได้รับพระคุณและความรักของพระองค์
จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้รับใช้พระองค์ และ
ในวิกฤติชีวิตนั้นเองเรากำลังอยู่กับพระเจ้า

จงชื่นชมยินดีเถิด

ดังนั้น เราจึงมิใช่ผู้เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
แต่ในวิกฤติชีวิตนั้นเอง
พระเจ้าทรงประทานโอกาสแก่เราต่างหาก

พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน
พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์
แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า
พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย (ปัญญาจารย์ 3:11)

40ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย
41ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
42ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน
43“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู 44ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
45ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม...
48เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ (มัทธิว 5:40-48)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น