25 มีนาคม 2553

บนเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธา

อ่าน มาระโก 5:21-43 อย่างใคร่ครวญ

เมื่อพระเยซูนั่งเรือข้ามฟากกลับมาอีกครั้ง ฝูงชนกลุ่มใหญ่พากันมาห้อมล้อมพระองค์ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ที่ริมทะเล มีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสมาที่นั่น เมื่อเห็นพระเยซูก็หมอบลงแทบพระบาทพระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า “ลูกสาวเล็กๆ ของข้าพระองค์กำลังจะตาย โปรดเสด็จไปวางมือให้เพื่อเขาจะหายและไม่ตาย”

ดังนั้นพระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา ผู้คนคับคั่งตามมาเบียดเสียดกันอยู่รอบพระองค์ ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ทุกข์ทรมานมาก เสียเงินหาหมอมาหลายคนจนหมดตัว แทนที่จะดีขึ้นอาการกลับทรุดลง เมื่อได้ยินถึงเรื่องพระเยซูจึงเดินปะปนกับฝูงชนตามข้างหลังพระองค์ และแตะต้องฉลองพระองค์ เพราะนางคิดว่า “ขอเพียงแค่แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้นเราก็จะหายโรค” ทันใดนั้นเองเลือดก็หยุดไหล และนางรู้สึกว่าตนหายโรคแล้ว

พระเยซูทรงทราบทันทีว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์จึงหันกลับมาทางฝูงชนและตรัสถามว่า “ใครแตะต้องเสื้อผ้าของเรา?”

เหล่าสาวกทูลว่า “พระองค์ทรงเห็นอยู่แล้วว่า ผู้คนเบียดเสียดพระองค์กันแน่น ไฉนจึงทรงถามว่า “ใครมาแตะต้องเรา?””

แต่พระเยซูยังทอดพระเนตรไปรอบดูว่าใครเป็นผู้ทำเช่นนั้น หญิงนั้นซึ่งรู้เรื่องดีว่าอะไรเกิดขึ้นกับนาง ก็กลัวจนตัวสั่น เข้ามาหมอบลงแทบพระบาท กราบทูลความจริงทั้งหมด

พระองค์ตรัสกับนางว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขและพ้นทุกข์เถิด”

พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำก็มีคนจากบ้านไยรัสนายธรรมศาลามาบอกว่า “ลูกสาวของท่านเสียชีวิตแล้ว จะรบกวนพระอาจารย์อีกทำไม?”

พระเยซูไม่ทรงฟัง ตรัสกับนายธรรมศาลาว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น”

พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามไป ยกเว้นเปโตรและยากอบกับยอห์นน้องชายของยากอบ เมื่อมาถึงบ้านของนายธรรมศาลา พระเยซูทรงเห็นความอึกทึกวุ่นวาย ผู้คนสะอื้นร่ำไห้เสียงดัง พระองค์ทรงเข้าไปข้างในตรัสกับพวกเขาว่า “ร้องไห้วุ่นวายกันไปทำไม? เด็กน้อยยังไม่ตาย เพียงแต่หลับอยู่” แต่พวกเขาพากันหัวเราะเยาะพระองค์

หลังจากให้ผู้คนออกไปแล้ว พระองค์ทรงพาพ่อแม่ของเด็กกับสาวกที่ตามมาเข้าไปหาเด็กนั้น พระองค์ทรงจับมือเด็กน้อยตรัสว่า “ทาลิธา คูม!” (ซึ่งแปลว่า “แม่หนูเอ๋ย เราบอกเจ้าให้ลุกขึ้น!”) ทันใดนั้น เด็กหญิงก็ลุกขึ้นเดินไปรอบๆ (เด็กคนนี้อายุสิบสองขวบ) คนทั้งปวงอัศจรรย์ใจยิ่งนัก พระองค์ทรงกำชับเด็ดขาดมิให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร และตรัสสั่งให้นำอาหารมาให้เด็กรับประทาน (TBS02b)

เปรียบเทียบ “เส้นทางความเชื่อ” ของนายธรรมศาลา กับ หญิงตกเลือด

1. สถานการณ์ชีวิต
นายธรรมศาลา : ลูกสาวของนายธรรมศาลาอายุ 12 ปีกำลังป่วยหนัก

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : หญิงคนนี้ตกเลือดมา 12 ปีแล้ว ต้องการที่จะหาย เพราะนอกจากความเจ็บป่วยทางกาย ยังเป็นตราบาปว่าเป็นคนไม่สะอาด ถูกกีดกันออกจากสังคมชุมชน

2. เงื่อนไขชีวิต
นายธรรมศาลา : กำลังเผชิญวิกฤติชีวิต ป่วยหนักและอาจจะตาย พ่อไม่ต้องการเสียลูกสาวไป ต้องการให้เธอมีชีวิต

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : เธอสิ้นหวังเพราะสูญเสียเงินทองทรัพย์สินจนหมดตัว แต่อาการตกเลือดกลับทรุดลง หมดทางและโอกาสที่จะรักษาชีวิต เศรษฐกิจ และสถานภาพสังคมในเวลานั้นของนาง

3. ความเชื่อมีเป้าหมาย
นายธรรมศาลา : เพื่อให้ลูกสาวที่ป่วยกำลังจะตายหายจากป่วยและไม่ตาย

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : เพื่อหายจากการตกเลือดมาเป็นเวลายาวนานที่รักษามาตลอด 12 ปีไม่หายสักที แต่กลับทรุดลง แต่ในครั้งนี้นางเชื่อว่า แค่ได้แตะชายฉลองของพระเยซูตนก็จะหาย

4. กรอบ/ขอบเขตของความเชื่อ
นายธรรมศาลา : เชื่อว่าพระเยซูจะสามารถรักษาลูกสาวของตนที่ป่วยให้หายได้ แต่มิได้คาดคิดว่าพระเยซูจะทำให้ลูกสาวเป็นขึ้นจากตายได้ เพราะคนจากบ้านนายธรรมศาลากล่าวว่า “ลูกสาวของท่านเสียชีวิตแล้ว จะรบกวนพระอาจารย์อีกทำไม?” ความเชื่อของเขามีกรอบว่า พระเยซูรักษาคนที่เจ็บป่วยได้ แต่เมื่อคนนั้นตายแล้วก็อยู่เหนือกรอบความสามารถของพระเยซูคริสต์

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : ความเชื่อของหญิงตกเลือดเกิดจากที่ได้ยินได้ฟังและได้เห็นถึงความสามารถและฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ โดยสภาพชีวิตของนางไม่มีโอกาสเหมือนคนอื่นในเวลาวันนั้น ไม่มีโอกาสที่จะกราบลงอย่างนายธรรมศาลาเพื่อขอการทรงรักษา เพราะนางไม่สะอาด นางจะแทรกตัวอยู่ในฝูงจนไม่ได้ เพราะจะทำให้คนที่นางไปถูกต้องพลอยไม่สะอาดไปด้วย และถ้าฝูงชนรู้นางอาจจะถูกประชาทัณฑ์ก็ได้ และพระเยซูแตะต้องนางก็จะทำให้พระองค์ไม่สะอาดไปด้วย

แต่กรอบความเชื่อของนางกว้างกว่านั้น คือ “ขอเพียงแค่แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้นเราก็จะหายโรค” ความสามารถและฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์มิได้ถูกจำกัด ติดยึดอยู่กับรูปแบบ เงื่อนไข วิธีการ “พิธี” หรือกฎระเบียบ เท่านั้น แต่นางเชื่อว่าพระเยซูมีท่าทีและฤทธิ์เดชเหนือกรอบดังกล่าว

5. มิติของความเชื่อศรัทธา
นายธรรมศาลา : ความเชื่อศรัทธาของนายธรรมศาลาเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นจากการได้รับอิทธิพลจากภายนอกคือเห็นคนอื่นได้รับการรักษาจากพระเยซู เมื่อไม่รู้จะพึ่งใคร หรือ สิ่งใด จึงมาพึ่งพระเยซูคริสต์ เป็นความเชื่อศรัทธาในมิติของความคาดหวัง แต่มิใช่ความเชื่อศรัทธาที่เชื่อมั่นคงภายในชีวิต ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ล้อมรอบชีวิตเปลี่ยน ความเชื่อจึงเปลี่ยนตามด้วย

พระเยซูคริสต์ทรงมีพระทัยเมตตาต่อนายธรรมศาลา พระองค์ทรงเสริมสร้าง วางรากฐานความเชื่อศรัทธาภายในชีวิตของนายธรรมศาลา พระองค์ให้กำลังใจว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น” พระองค์ทรงเริ่มต้นวางรากฐานความเชื่อภายในของนายธรรมศาลา ยังไม่สามารถให้ความเชื่อขยายมีอิทธิพลสู่สังคมชุมชนรอบข้าง จึงให้พ่อแม่และสาวกคนสนิทเท่านั้นที่เขาไปในเหตุการณ์การรักษาลูกสาวของนายธรรมศาลาครั้งนี้ และยังต้องพิสูจน์ย้ำให้ความเชื่อศรัทธาภายในชีวิตของนายธรรมศาลาให้มั่งคงแข็งแรงขึ้นด้วยการให้นำอาหารมาให้ลูกสาวของเขารับประทาน เพื่อพิสูจน์ให้พ่อแม่มั่นใจว่า เด็กที่เดินไปมานั้นมิใช่ผีแต่เป็นคน
แต่อย่างไรก็ตามถ้าความเชื่อศรัทธาของนายธรรมศาลาถ้าได้มีการเลี้ยงดูฟูมฟักก็จะเข้มแข็ง เกิดผล มีอิทธิพลสู่ความเชื่อศรัทธาที่แสดงออกภายนอกชีวิตรอบข้าง สังคมและชุมชนได้ในอนาคต

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : ด้วยความคิดความเชื่อและความตั้งใจของหญิงเลือดตกคนนี้ต้องการรับการรักษาจากพระเยซูอย่าง “เป็นการลับ” เพราะความเชื่อภายในส่วนลึกของชีวิตนางเชื่ออย่างหมดใจ แต่พระคริสต์ต้องการมากกว่าความเชื่อและการหายตกเลือดของนางเท่านั้น พระองค์มีพระทัยเมตตาที่จะเยียวยารักษามิติชีวิตทางสังคมชุมชนด้วย จึงทรงต้องการเปิดเรื่องนี้ให้สังคมชุมชนรู้และยอมรับการหายโรคตกเลือด หายจากการไม่สะอาด หายจากการถูกกีดกันในชีวิต

พระคริสต์ทรงเสริมเพิ่มความเชื่อศรัทธาของนางจากมิติภายในชีวิต สู่ความเชื่อศรัทธาที่มีอิทธิพลกระทบต่อสภาพรอบข้างของชีวิต คุณภาพชีวิตของเธอ และ ขยายกรอบความเชื่อศรัทธาของสังคมชุมชน พระเยซูกล่าวแก่เธอว่า “...ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขและพ้นทุกข์เถิด”

6. ความเชื่อแบบตั้งรับ
นายธรรมศาลา : แน่นอนว่า เพราะเป็นการวางฐานทางความเชื่อนายธรรมศาลาจึงเริ่มต้นความเชื่อของตนจากการตั้งรับ คาดหวังให้พระเยซูมารักษาลูกสาวที่บ้าน ความเชื่อในระดับนี้ต้องการเวลาของการบ่มเพาะ ต้องการพี่เลี้ยงที่จะเอาใจใส่เลี้ยงดูให้เติบโตแข็งแรง ต้องการประสบการณ์ตรงในชีวิต ต้องการการสัมผัสจากพระคริสต์

ความเชื่อที่ต้องเสี่ยง
หญิงตกเลือดเรื้อรัง : หญิงตกเลือดไม่มีทางเลือก และการที่นางตัดสินใจรับการรักษาด้วยการแตะที่เสื้อผ้าของพระเยซูนั้นเป็นความคิดที่อันตรายและเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะตามบัญญัติของยิว เธอจะทำให้พระเยซูไม่สะอาดไปด้วย และเมื่อพระเยซูถามหาคนที่แตะต้องเสื้อผ้าของพระองค์ เธอจึง...กลัวจนตัวสั่น เข้ามาหมอบลงแทบพระบาท กราบทูลความจริงทั้งหมด

จากวิกฤตินี้พระเยซูเสริมเพิ่มความเชื่อของนางไปสู่อีกระดับหนึ่ง จากความเชื่อว่า นางจะทำให้พระเยซูไม่สะอาด แต่กลับพบความจริงว่า ความบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ทำให้เธอพลอยสะอาดไปด้วย ความบริสุทธิ์ของพระคริสต์ได้ขจัดความสกปรกและอำนาจบาปที่ปนเปื้อนในชีวิตของเธอออกไป และนี่คือฤทธิ์เดชของธรรมบัญญัติที่นำถึงความตาย ส่วนฤทธิ์เดชพระกิตติคุณของพระคริสต์ที่นำถึงซึ่งชีวิต

นี่คือความเชื่อที่ “พลิกคว่ำ” จากความเชื่อที่ยึดมั่นที่กฎระเบียบ กฎบังคับ สู่ความกล้าที่จะเชื่อและไว้วางใจในพระคุณของพระคริสต์ กล้าเสี่ยงรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระองค์

7. บทเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธาสายนี้ พระองค์ทรงเรียกหญิงตกเลือดออกมาเพื่อเป็นบทเรียนแห่งความเชื่อศรัทธาสำหรับนายธรรมศาลาเมื่อชีวิตเผชิญกับวิกฤติ “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น” พระองค์ทำให้หญิงตกเลือดหายสะอาดปกติได้ ลูกสาวของเขาก็จะได้รับการรักษาด้วย

บนเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธาในชีวิตประจำวัน พระองค์ทรงให้ชีวิตของบางคนที่เรามิได้คาดคิด เพื่อเป็นบทเรียนหนุนเสริมความเชื่อชีวิตของเรา เพื่อเราจะเรียนรู้ว่าการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธานั้นเป็นเช่นไร เมื่อชีวิตของเราตกอยู่ในความยากลำบาก ถึงทางตันหาทางออกมิได้ สิ้นหวัง จงเชื่อและไว้วางใจว่าพระองค์ทรงรู้และพร้อมที่จะสัมผัสเพื่อรักษาบาดแผลในส่วนลึกแห่งชีวิตของเรา และอาจจะใช้ชีวิตของท่านเป็นตัวอย่างที่จะดลอกดลใจคนอื่นให้มีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่เข้มแข็งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น