สำหรับเราหลาย ๆ คน เมื่อคิดถึงเรื่องคริสต์มาส
เรามักคิดถึงประสบการณ์ความรู้สึกมีความสุข การเฉลิมฉลองด้วยความชื่นชมยินดี มีกิจกรรมที่ทำมากมาย
จนบางครั้งเกินเลยกลายเป็นความเหนื่อยกายอ่อนใจหลังการฉลองคริสต์มาส
ผมได้ยินบ่อยครั้งที่จะมีคนพูดว่า
คริสต์มาสเป็นเวลาของการเฉลิมฉลองด้วยความยินดี แต่ผมมีคำถามว่า
คริสต์มาสครั้งแรกจากนาซาเร็ธถึงเบธเลเฮม และจากเบธเลเฮ็มถึงอียิปต์มันไม่ใช่เรื่องความชื่นชมยินดีเลย
แต่เป็นเรื่องของแผนการชีวิตถูกแทรกแซงเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน-สิ้นเชิง และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถูกแทรกแซงจากพระเจ้า และทุกช่วงของการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นวิกฤติและความทุกข์ยากลำบากในชีวิต
ถ้าเช่นนั้นเกิดคำถามว่า แล้วมารีย์และโยเซฟเขาฉลองคริสต์มาสครั้งแรกกันอย่างไร?
จากเรื่องราวคริสต์มาสครั้งแรก
เราพบว่า มารีย์และโยเซฟเฉลิมฉลองคริสต์มาสด้วยคุณลักษณะชีวิต 4
ประการของทั้งสองต่อแผนการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษยชาติ
1. ยอมมอบกายถวายชีวิตแต่พระเจ้า
มารีย์กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอให้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าตามที่ท่านกล่าวเถิด” แล้วทูตสวรรค์นั้นก็จากนางไป (ลูกา
1:38 อมธ.)
ถ้าพูดแบบตรงไปตรงมาแล้ว
คริสต์มาสคือเรื่องที่พระเจ้าเข้ามาแทรกแซงชีวิตของมนุษย์ เข้ามารบกวนชีวิตของมนุษย์
เข้ามาเปลี่ยนแผนงานของเรา มารีย์เป็นหญิงสาววัยรุ่นที่ได้หมั้นกับโยเซฟ ชายหนุ่มช่างไม้ชาวบ้าน
เธอเต็มเปี่ยมด้วยความใฝ่ฝัน เธอรอเวลาที่โยเซฟพร้อมที่จะแต่งงานกับเธอ
แต่จากข่าวที่ทูตสวรรค์นำมาบอกเธอ
ทำให้แผนการชีวิตของเธอกับโยเซฟที่ฝันไว้ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เราไม่รู้ว่าจากข่าวที่ทูตสวรรค์กล่าวแก่เธอนั้นเธอเข้าใจและรับรู้ว่าอย่างไร
แต่เธอเชื่อ ศรัทธา และวางใจพระเจ้าอย่างมั่นคง เธอไม่รู้ว่าสามีในอนาคตของเธอจะมีปฏิกิริยาเช่นไรในเรื่องนี้
เธอไม่มีโอกาสที่ขอคำปรึกษาจากแม่ เธอตอบสนองทูตของพระเจ้าต่อข่าวสารที่นำมาบอกทันทีคือ
เธอยอมมอบกายถวายชีวิตแด่พระประสงค์ของพระเจ้า
มารีย์เลือกที่จะยอมมอบกายถวายชีวิตแด่พระเจ้า
มิใช่เพียงร่างกายของเธอที่จะรองรับทารกน้อยเท่านั้น แต่เธอได้มอบแผนการชีวิต ความฝันอันสูงส่งของเธอในชีวิต
ความคาดหวังในชีวิตของเธอแต่พระเจ้าด้วย เธอเต็มใจ พร้อม เห็นด้วย และอ่อนน้อมถ่อมใจยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดสำหรับชีวิตของเธอ
2. เชื่อและฟังพระดำรัสของพระเจ้า
“เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ทำตามคำซึ่งทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งนั้น
คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอจนกว่าให้พระกำเนิดบุตรชายแล้ว
และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู” (มัทธิว 1:24-25 มตฐ.)
ถ้าท่านเป็นโยเซฟ แล้วแฟนสาวที่ท่านหมั้นไว้มาบอกเธอว่า
เธอตั้งครรภ์ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ แล้วท่านจะคิดอย่างไรต่อเธอ? อย่าลืมว่า โยเซฟก็เป็นชายหนุ่มปุถุชนเหมือนเราแต่ละคน ตามวัฒนธรรมยิวถ้าโยเซฟไม่เชื่อในสิ่งที่มารีย์มาเล่าให้เธอฟัง
ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้โยเซฟสามารถทำเช่นไรก็ได้ที่ทำให้มารีย์ต้องอับอายขายหน้า และประจานการกระทำผิดประเวณีของเธอต่อสาธารณชน
แต่เพราะโยเซฟรักมารีย์มาก เขาตัดสินใจที่จะส่งเธอไปในที่อื่นที่ปลอดภัยเป็นการลับ
พระเจ้าเข้ามาแทรกแซงแผนการที่มีคุณธรรมของโยเซฟด้วยการส่งทูตสวรรค์มาปรากฏในความฝันของโยเซฟ
ทูตแจ้งข่าวดีให้แก่โยเซฟว่า มารีย์ไม่ได้คิดนอกใจโยเซฟ แต่เด็กในครรภ์นั้นปฏิสนธิโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
เธอมิได้กระทำผิดใด ๆ เลย ทูตบอกแก่โยเซฟว่า
พระเจ้าทรงเลือกโยเซฟให้เป็นพ่อฝ่ายโลกนี้ที่จะดูแลทารกน้อยพระบุตรของพระเจ้า
โยเซฟต้องตัดสินใจเชื่อว่า
มารีย์และทูตสวรรค์พูดความจริงต่อเขา หรือนี่เป็นความคิดตามสัญชาตญาณของเขาเอง และสถานการณ์โดยรอบที่เกิดขึ้นจะช่วยในการตัดสินใจของโยเซฟเช่นไร?
โยเซฟเลือกที่
“จะเชื่อและฟังพระดำรัสของพระเจ้า” เขาละทิ้งตรรกะของตนเอง เขาไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นรอบข้างบอกให้เขาทำ
เขาตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อพระเจ้ามากกว่าอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง และเหมือนกับมารีย์
เขายอมมอบกายถวายชีวิตแด่พระเจ้า
3. ไว้วางใจพระเจ้า
“โยเซฟก็เดินทางจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี
ไปที่เมืองของดาวิดชื่อเบธเลเฮมในแคว้นยูเดียด้วย
เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด เขาไปจดทะเบียนพร้อมกับมารีย์หญิงที่เขาหมั้นไว้แล้วและกำลังตั้งครรภ์
ขณะเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะคลอดบุตร นางจึงคลอดบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า
เพราะว่าไม่มีห้องว่างในบ้านพักสำหรับพวกเขา” (ลูกา 2:4-7 สมช.)
ที่โยเซฟและมารีย์ต้องเดินทางไปเบธเลเฮม
เพราะซีซาร์มีคำสั่งให้ทุกคนที่อยู่ในจักรวรรดิที่เขาปกครองต้องไปจดทะเบียนสำมะโนครัวที่บ้านเกิด
ทั้งสองต่างมีเชื้อสายของดาวิดจึงต้องเดินทางไปจดทะเบียนที่เมืองเบธเลเฮม ดังนั้น
ทั้งสองต้องเดินทางจากนาซาเร็ธไปเบธเลเฮมระยะทางประมาณ 90 ไมล์ หรือ ประมาณ 145
กิโลเมตร (144.8406 ก.ม.) ซึ่งการเดินเท้าต้องใช้เวลาประมาณ 10 วัน และเป็นทางภูเขาที่ขึ้น
ๆ ลง ๆ และในบางช่วงมีอันตรายที่มีโจรปล้นสะดม และเสี่ยงต่อการพบกับสัตว์ร้าย และยิ่งมารีย์ตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอดยิ่งลำบากทวีคูณในการเดินทางไกลครั้งนี้
ถ้าเป็นเราบางท่านอาจจะมีคำถามพระเจ้าว่า ทำไมพระองค์ต้องเลือกให้ตั้งครรภ์และคลอดในเวลาที่วิกฤตลำบากยิ่งเช่นนี้?
เราไม่พบว่า โยเซฟไปยื่นคำร้องต่อทางการเพราะความไม่สะดวกที่จะเดินทางไกลเพราะมารีย์ใกล้คลอดบุตร
และเราก็ไม่ได้ยินเสียงบ่นต่อว่าพระเจ้าจากมารีย์ว่า ทำไมพระองค์ต้องเลือกให้ตั้งครรภ์และคลอดในเวลาที่วิกฤติลำบากยิ่งเช่นนี้? แต่ทั้งสองเลือกที่จะ “วางใจในพระเจ้า” ในเวลากำหนดของพระองค์ เหนือสิ่งอื่นใด
ทั้งสองเชื่อว่าพระเจ้าทรงล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่อกฤษฎีกาของซีซาร์ และรู้เรื่องเด็กในครรภ์ใช้เวลาประมาณ
9 เดือนเติบโตจนคลอดออกมา ทั้งมารีย์และโยเซฟต่างเชื่อมั่นว่า พระเจ้าคือผู้ที่เขาไว้ใจได้มากที่สุด
พระองค์มีแผนการของพระองค์ และ
มีพระประสงค์สำหรับการเดินทางที่แสนจะทุลักทุเลที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
เราไม่รู้ว่า
ทั้งสองเคยอ่านจากคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์พระธรรมมีคาห์หรือไม่ จึงพยายามดั้นด้นในการเดินทางไปเบธเลเฮม
ตามคำเผยพระวจนะของมีคาห์ที่ว่า “แต่เจ้า เบธเลเฮม เอฟราธาห์ ผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูลของยูดาห์
จากเจ้า จะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล...” (มีคาห์ 5:2
มตฐ.)
โยเซฟ และ มารีย์
“ไว้วางใจ” ในเวลากำหนดของพระเจ้า เพราะเขายอม “มอบกายถวายชีวิต” สำหรับพระประสงค์ของพระเจ้า
และเขาทั้งสอง “เชื่อและฟัง” คำของพระเจ้า
4. เชื่อและทำตามพระดำรัสของพระเจ้า
“เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปแล้ว
ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันและสั่งว่า “จงลุกขึ้น
พาพระกุมารและมารดาหนีไปยังอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา
เพราะเฮโรดกำลังจะค้นหาพระกุมารเพื่อประหาร” ในคืนนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพามารีย์กับพระกุมารเดินทางไปยังอียิปต์”
(มัทธิว 2:13-14 อมธ.)
เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในมัทธิวบทที่
2 เกิดขึ้นหลังจากพระกุมารได้บังเกิดแล้วสองปี มารีย์และโยเซฟได้หาบ้านพักอยู่ใกล้เมืองเบธเลเฮม
หลังจากการมานมัสการของโหราจารย์ ทั้งมารีย์และโยเซฟหวังว่าจะกลับไปใช้ชีวิตปกติของพวกเขา
มีความชื่นชมกับลูกชายตัวน้อยที่ชื่อเยซู ที่กำลังเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักในครอบครัว
น่าเสียดายสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดคิด
โยเซฟได้รับคำเตือนในความฝันว่า
เฮโรดกำลังอาละวาดแสวงหาพระกุมารเพื่อจะฆ่าเสีย เฮโรดโกรธที่โหราจารย์ที่หักหลังหลอกลวงตน
จึงแสวงหาหนทางที่จะกำจัดคู่แข่งที่เกิดมาที่จะแย่งชิงราชบัลลังก์จากตน เขาจึงออกคำสั่งให้ทหารฆ่าเด็กชายอายุสองขวบลงมา
ทูตสวรรค์บอกโยเซฟให้รีบพาครอบครัวออกจากเมืองไปยังประเทศอียิปต์
โยเซฟ
“เชื่อฟังและทำตาม” คำเตือนจากทูตสวรรค์ เมื่อเขาตื่นจากฝัน ในค่ำคืนนั้นเองเขาได้พาครอบครัวหนีออกจากเมืองไปยังประเทศอียิปต์
ทั้งโยเซฟและมารีย์
“เชื่อฟังและทำตาม” คำของพระเจ้าผ่านมาทางทูตสวรรค์โดยไม่ลังเล เพราะเขาทั้งสองได้
“มอบกายถวายชีวิต” แด่พระเจ้า เขาทั้งสอง “เชื่อ”
ในคำของพระเจ้าที่ทูตสวรรค์นำมาถึงเขา
และเขา “ไว้วางใจพระเจ้า” ที่ทรงครอบครองและควบคุมทุกอย่าง และแผนการการทรงจัดเตรียมของพระเจ้าในทุกประการ
การมอบกายถวายชีวิต ความเชื่อและฟัง
ความไว้วางใจ การเชื่อฟังและทำตาม
พฤติกรรมทั้งสี่ประการดังกล่าว
สอนเราว่าเราจะตอบสนองอย่างไรเมื่อพระเยซูคริสต์เข้ามาแทรกแซงแผนการโลกของเรา และทั้งสิ้นนี้มิใช่เรื่องราวคริสต์มาสหรือ?
พระเจ้าได้ขอให้ท่านยอมจำนนต่อพระองค์ในเรื่องอะไร? ในจิตใจของท่าน ท่านกำลังต้องปล้ำสู้กับการยอมจำนนต่อพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง?
พระสัญญาอะไรของพระเจ้าที่ท่านยังไม่เชื่อ? ท่านเชื่ออย่างจริงจังและจริงใจหรือไม่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
พระบุตรของพระเจ้า? ท่านเชื่อและวางใจในพระองค์หรือไม่? หรือ ท่านดำเนินชีวิตทุกวันนี้ตามความรู้สึกของท่านเอง?
พระเจ้าขอให้ท่านไว้วางใจในพระองค์ในเรื่องอะไรบ้าง? มีสถานการณ์ที่ท่านไม่สามารถควบคุมไหม? พระเจ้าได้ให้ท่านทำในบางสิ่งบางเรื่องที่ท่านดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไหม? เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุมีผลไหม?
ท่านต้องปล้ำสู้พยายามที่จะทำตามพระบัญชาของพระเจ้าในส่วนใด?
(ในเรื่องอะไร?)
ให้เรายอมจำนนต่อพระเจ้า
“มอบความหวัง” ของเราไว้กับพระเจ้า
ไม่ยึดมั่นในแผนการของตนเอง
จึงยึดมั่น “เชื่อและฟัง”
พระดำรัสของพระเจ้า
“ไว้วางใจในพระเจ้า”
แล้วพระองค์จะทำให้ทางของท่านตรงไป
“เชื่อฟังและทำตาม”
อย่างไม่สงสัยเพราะพระองค์คือผู้ที่รู้ดีที่สุด
แล้วเราจะพบและรู้ว่า การฉลองคริสต์มาสที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499