จากตอนก่อน
เราเห็นแล้วว่า ศาสนศาสตร์ของผู้แปลพระคัมภีร์มีอิทธิพลต่อผู้อ่านพระคัมภีร์ เพราะให้จุดเน้นและความหมายที่แตกต่างกันแม้ในพระคัมภีร์ข้อเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อพระคัมภีร์ที่อาจจะแปลความได้หลายทาง อย่างเช่นในโรม 8:28
เป็นต้น
เราก็พบความจริงว่า
ในทุกสถานการณ์ชีวิตพระเจ้าสถิตอยู่ในทุกเหตุการณ์ร่วมกับเรา และพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจในทุกสถานการณ์ชีวิตเพื่อก่อเกิดผลดี
แต่ก็เกิดคำถามว่าแล้วเราจะมีมุมมองเช่นไรในเรื่องนี้ ที่ว่าพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจในทุกสถานการณ์ชีวิตของเราให้เกิดผลดีนั้นหมายความว่าเป็นเช่นไร? และผลดีที่ว่านี้เป็นผลดีแบบใดกันแน่? เป็นผลดีในทัศนะของใคร?
เราจำเป็นต้องมีสายตาแห่งชีวิตที่ยาวไกล
หลายเรื่องราวในชีวิตที่ดูเหมือนว่าเราไม่สามารถที่จะอธิบายได้ เช่น ทำไมเมื่อเกิดพายุรุนแรงพัดผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านพังพินาศราบเรียบ
แต่ทำไมมีบ้านสองหลังที่กระจุกนั้นกลับไม่ถูกพัดทำลาย? ทำไมพี่คนโตถึงอยู่สุขสบายในบ้าน
แต่น้องคนอื่นๆ ชีวิตกลับต้องผจญกับความทุกข์ยากแสนสาหัส? หมอบอกว่า มะเร็งที่เขาเคยเป็น ได้ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว
แต่ทำไมตอนนี้มันถึงกลับมากำเริบอีก?
คำถามแบบนี้มีมากมายก่ายกองถามไปได้อีกยืดยาวมากมาย แต่เมื่อเราจะมองทีละปัญหาอย่างแยกส่วน เราจะไม่สามารถเห็นเป้าประสงค์ในที่สุดของเรื่องเหล่านั้นอย่างแน่นอน
เพื่อความชัดเจนผมขอยกตัวอย่างเรื่องของโยเซฟบุตรยาโคบมาเป็นตัวอย่าง
แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของโยเซฟ ดูเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้าย
ตั้งแต่ถูกพวกพี่ชายเกลียดเพราะพ่อรักโยเซฟมากกว่า เพราะโยเซฟ “ปากมาก” “แสดงตัวว่าอยู่ฐานะเหนือกว่า” ในที่สุดถูกพี่ชายขายให้กับพ่อค้า
โยเซฟถูกขายต่อให้กับนายทหารในอียิปต์ โยเซฟถูกใส่ร้ายว่าพยายามข่มขืนเมียของนาย โยเซฟถูกขังในคุกหลวง โยเซฟถูกเพื่อนอดีตนักโทษในคุกหลวงลืม
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายทั้งสิ้น
ยิ่งกว่านั้นถ้าเรามาพิจารณาแต่ละเหตุการณ์เราจะไม่พบเป้าประสงค์ หรือ เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของโยเซฟเลย
ถ้าเราแยกพิจารณาและหาคำตอบแต่ละสถานการณ์เราจะไม่พบคุณค่าความหมายของเป้าหมายปลายทางในเหตุการณ์ทั้งหมดเลย สิ่งที่พบจะมีแต่ “ความเจ็บปวด” “ความอยุติธรรม” “ทำไมพระเจ้าให้เกิดเหตุการณ์อย่างงี้กับเรา?” เราจะไม่สามารถพบคำตอบด้วยการพยายามหาคำตอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแยกส่วนเช่นนี้ เพราะเราไม่สามารถรู้และมองเห็นว่าเป้าหมายปลายทางสถานการณ์ชีวิตของโยเซฟ
หรือ ของเราคืออะไรกันแน่
ดังนั้นเราจึงคาดคะเนและพยายามหาเหตุผลเพื่อจะตอบสถานการณ์นั้นทั้งๆ ไม่รู้ว่า
เป้าหมายปลายทางของเหตุการณ์นั้นนำไปสู่ที่ไหน
แต่เราเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไปบอกว่าเป้าหมายปลายทางจะเป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้าย
เราจึงคาดคะเนหรือตัดสินลงไปว่าเป้าหมายปลายทางต้องเป็นสิ่งเลวร้ายด้วย
เราจึงมีคำถามมากมายต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต
จากบทเรียนชีวิตของโยเซฟผมได้เรียนรู้ว่า
การมองสถานการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นต้องมองสถานการณ์แต่ละสถานการณ์อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อกัน จนเป็นเหตุให้เกิดพลังร่วม ที่เราแปลจากภาษาอังกฤษคำว่า
synergy ที่มาจากภาษากรีกว่า “sunergon” ซึ่งมีความหมายว่า
การเอาองค์ประกอบตั้งแต่สองอย่างเป็นต้นไปมาร่วมเข้ากันกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกัน ทำให้เกิดพลังขับเคลื่อนใหม่ สิ่งใหญ่
ประโยชน์ใหม่ รสชาติใหม่ เช่น
ผมต้มน้ำ เอาข่า ตะไคร้ลงไปต้ม เมื่อเดือดแล้ว ผมใส่กุ้งสด น้ำพริกเผา
พริกขี้หนูสัก 2-3 เม็ด น้ำมะนาว
น้ำปลา
เมื่อได้รสชาติกลมกล่อมแล้ว
ผมใส่ใบมะกรูด (ไม่ใส่ผงชูรส)
เมื่อเดือดแล้วปิดฝาหม้อปิดแก๊ส
ผมได้ต้มยำกุ้งครับ
เป็นอาหารชนิดหนึ่ง
รสชาติใหม่
ถ้าคนที่ไม่ชอบเข้าห้องครัว อาจจะดูจากประสบการณ์ธรรมดา เช่น
กาแฟที่เราดื่ม
เราจะตักกาแฟผงสำเร็จรูปลงในแก้วกาแฟตามความเข้มที่เราต้องการ จากนั้นบางท่านก็ใส่น้ำตาล และ
ครีมตามชอบ แล้วเอาน้ำร้อนๆชงลงในแก้นั้น จากนั้นเอาช้อนคนให้เข้ากัน เราจะได้กาแฟร้อนกลิ่นหอมกรุ่นรสกลมกล่อม เราไม่สามารถแยกออกเป็นแต่ละอย่างต่อไป เช่น เป็นกาแฟ
น้ำตาล ครีม และน้ำร้อน แต่เราจะได้กาแฟร้อนรสชาติใหม่ เป็นต้น
การที่เราจะใส่กาแฟเท่าใด ครีมกี่ช้อน
หรือ น้ำตาลมากน้อยแค่ไหนนั้น
อยู่ที่เป้าหมายปลายทางครับว่าเราต้องการดื่มกาแฟรสชาติแบบไหนเป็นตัวกำหนดว่าเราจะใส่อะไรเท่าใดลงในแก้วกาแฟของเรา เป้าหมายปลายทางเป็นตัวให้ความหมายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเราจะมองแบบ synergy หรือ พลังร่วมที่เกิดขึ้นใหม่
เช่นเดียวกับที่โยเซฟมองสถานการณ์ชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก
ความเสี่ยงต่ออันตรายที่เกิดขึ้นในชีวิตของตน
เมื่อแต่ละเหตุการณ์เกิดขึ้น
โยเซฟอาจไม่สามารถเข้าใจหรือให้คำตอบได้ว่า ทำไมถึงเกิดขึ้นเช่นนั้น แต่สิ่งที่โยเซฟและคนรอบข้างรู้และบอกได้คือ
พระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับโยเซฟในทุกสถานการณ์ชีวิต
และเป็นพระปัญญาของเขา
แต่เมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปทีละเหตุการณ์ และสัมผัสการทรงสถิตอยู่และการทรงทำงานของพระเจ้าในเหตุการณ์ต่างๆ ในที่สุดโยเซฟจึงได้เห็น สัมผัส
และเข้าใจถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่เป็นเป้าหมายปลายทางในชีวิต และด้วยการมองทุกสถานการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นแบบ
“สถานการณ์ร่วม” synergy ว่าเป็นกระบวนเหตุการณ์เดียวกัน จึงได้เห็นพระประสงค์ใหญ่ของสถานการณ์ร่วม ดั่งคำพูดที่โยเซฟพูดกับพี่ชายของตนว่า
“...อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายฉันมาที่นี่ เพราะพระเจ้าทรงใช้ฉันให้มาก่อนหน้าพวกพี่...” (ปฐมกาล 45:5 ฉบับมาตรฐาน) คุณค่าความหมายของสถานการณ์ย่อยถูกแปลเปลี่ยนและมีความหมายใหม่เมื่อมองจากพระประสงค์ของพระเจ้าที่เป็นเป้าหมายปลายทางสถานการณ์ชีวิตทั้งสิ้นของโยเซฟ แทนที่จะมองว่าเป้าหมายที่ขายโยเซฟเพื่อขจัดโยเซฟออกไปเสียจากครอบครัว
จากพ่อที่ลำเอียง แต่กลับมองว่านี่คือ
ส่วนหนึ่งในพระราชกิจที่พระเจ้า ทรงกระทำในชีวิตโยเซฟ ตามแผนการใหญ่หรือพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้น ไม่ต้องแค้น ไม่ต้องโกรธตนเอง คำถามชีวิตถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แล้วโยเซฟชี้ให้เห็นถึง “สถานการณ์ร่วม”
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตนนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าว่า
“...พระเจ้าทรงใช้ฉันมาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต...เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พวกพี่
และช่วยชีวิตของพวกพี่ไว้ด้วยการช่วยกู้อันยิ่งใหญ่” (ข้อ 5, 7)
เมื่อโยเซฟชี้ถึงพระประสงค์ซึ่งเป็นเป้าหมายทางสถานการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นกับโยเซฟแล้ว
โยเซฟเอาเป้าหมายปลายทางนี้ไปตีความในสิ่งที่ยังค้างคาในใจของพี่ๆ ที่ขายเขาให้กับพ่อค้า ในมุมมองใหม่และสายตาใหม่ว่า “ฉะนั้น
มิใช่พี่เป็นผู้ให้ฉันมาที่นี่
แต่พระเจ้าทรงให้มา...”(ข้อ 8)
ด้วยมุมมองและรากฐานความเชื่อแบบนี้เองที่เปาโลกล่าวกับคริสตชนในกรุงโรมว่า
พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราแต่ละคน แต่ละกลุ่ม
แต่ละคริสตจักร แต่ละสถาบัน แต่ละชุมชนให้เกิดสิ่งดีแก่บรรดาคนที่รักพระองค์
(โรม 8:28) กล่าวคือ
คริสตชนจะไม่ตัดสินหรือเข้าใจในสถานการณ์แต่ละสถานการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้นๆ
และ อย่างแยกส่วนจากสถานการณ์ชีวิตอื่นๆ
แต่จะรอคอยเพื่อที่จะเห็นเป้าหมายปลายทางสถานการณ์ชีวิต
เพื่อจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่กระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเรา แล้วค่อยนำเป้าหมายปลายทางนั้นมาตีความ
เรียนรู้ และเข้าใจในแต่ละสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ผ่านมา
สำหรับคริสตชนแล้ว
ไม่จำเป็นจะต้องตอบคำถามในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต
แต่ในทุกสถานการณ์ชีวิตเราเชื่อและยอมที่จะให้พระเจ้าทรงเสริมสร้างเราขึ้นใหม่ตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อเราจะมีชีวิตที่เติบโต แข็งแรง และเกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์
เพื่อเราจะเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ในทุกสถานการณ์ชีวิต และเพื่อให้เกิดสิ่งดี ที่มิใช่เพื่อเราคนเดียว หรือ พวกเราเท่านั้น
แต่สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นกับคนที่รักพระเจ้านั้นเพื่อมวลชนตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ดังเรื่องโยเซฟที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ในเหตุการณ์ภัยแล้ง มิใช่เพื่อครอบครัวใหญ่ของโยเซฟเท่านั้น แต่เพื่อคนอียิปต์ และคนที่ภูมิภาคแถบนั้นด้วย
“ผลดี”
ในที่นี้หมายความถึงอะไรกันแน่?
ที่เปาโลกล่าวว่า
“...พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดี” เรามีคำถามว่า
ผลดีที่ว่านี้หมายถึงอะไรกันแน่
โดยปกติทั่วไปแล้ว เมื่อกล่าวถึง
“ผลดี” เรามักหมายถึงสิ่งดีๆ ที่เราอยากให้เกิดกับตน สิ่งดีๆ ที่เราอยากได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพของเรา ความสุข
ความสัมพันธ์ที่มั่นคง
ชีวิตที่ยืนยาว มีเงินมีทอง มีอาหารพอเพียงเลี้ยงครอบครัว มีงานที่มีคุณค่าความหมายสำหรับเรา มีที่อยู่อาศัย มีเครื่องอำนวยความสะดวก รวมความแล้วสิ่งดีหรือผลดีที่ว่านี้คือสภาพแวดล้อมชีวิตที่ดีที่เราอยากได้อยากเป็น แต่อย่างไรก็ตามสิ่งดี หรือ
ผลดีในชีวิตของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันออกไป
คำถามก็คือ
แล้วพระคัมภีร์มองสิ่งดีหรือผลดีในชีวิตอย่างที่เรามองๆ กันตามที่กล่าวข้างต้นหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระธรรมตอนนี้ “ผลดี”
ที่เปาโลกล่าวถึงนั้นหมายความถึงอะไรกันแน่? ถ้าเราอ่านต่อไปอีกข้อหนึ่งเราจะพบว่า
“เพราะบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว
พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์...” (ข้อ
29 อมตธรรม) พระธรรมข้อนี้ชี้ชัดว่า
พระเจ้าทรงกำหนดเป้าหมายปลายทางชีวิตของผู้ที่พระองค์ทรงเลือกนั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว และเป้าหมายปลายทางที่ทรงกำหนดนั้นจะเกิดผลดี และผลดีในที่นี้เปาโลหมายถึง การที่มีชีวิตที่เป็นเหมือนพระบุตรของพระเจ้า นั่นคือการที่มีชีวิตเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป็นผลดีที่พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดขึ้น
ในที่สุดชีวิตของเราเกิดผลดีคือมีชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์
พระธรรมตอนนี้กล่าวชัดเจนว่า “พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดี” นั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเราเพื่อให้เกิดผลดี คือเพื่อให้เรามีชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์” หรือเราสามารถกล่าวในอีกนัยหนึ่งคือ ทุกๆ อย่างที่ดึงเราให้ออกห่างหรือมีชีวิตที่แตกต่างจากพระคริสต์คือผลเลวสิ่งชั่วในชีวิตของเรา เปาโลกล่าวชัดว่า พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในทุกๆ
สิ่งให้เกิดผลดี (ข้อ 28 อมตธรรม)
ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบาก
ทำให้โศกเศร้าเสียใจ ชื่นชมยินดี หรือ
ฯลฯ มิได้หมายความว่า
ผลที่ไม่ดีในแต่ละเหตุการณ์ทำให้เกิดผลดี
แต่เปาโลหมายความว่า พระเจ้าทรงกระทำกิจของพระองค์ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เกิดในชีวิตของเราจนนำไปสู่ให้เกิดผลดีคือเกิดการเปลี่ยนแปลงเติบโตในชีวิตของเราให้เป็นเหมือนพระคริสต์
ดังนั้น ชีวิตของเราที่ต้องผ่านพบกับชีวิตที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่มีพระคริสต์กระทำกิจในชีวิตของเรา เราเกิดการเรียนรู้จากพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และเราสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้นั้นเป็นความสว่างสำหรับดำเนินชีวิต
จึงไม่แปลกที่มนุษย์เรียนรู้เมื่อเจ็บป่วยมากกว่าเมื่อสุขสบาย เราทุ่มเทอธิษฐานมากเมื่อเรากลัวมาก เมื่อเรามีต้องการความมั่นใจมากขึ้น และสถานการณ์ความทุกข์ยาก ความโศกเศร้า
การสูญเสีย หรือประสบการณ์ที่พบว่าเราเลือกผิดพลาดในชีวิต สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเบ้าหลอมชีวิตของเรา เพื่อให้เกิดผลดีในชีวิตตามพระประสงค์
และที่สำคัญคือพระเจ้าจะไม่ยอมล้มเลิกแม้เรายอมแพ้หรือล้มเลิกก็ตาม
พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเรา ในขณะที่ชีวิตของเรายังขรุขระเป็นตะปุ่มตะป่ำ ต้องได้รับการเจียรนัยขัดเอาผิวหินออกไป เพื่อให้เนื้อเพชรสะท้อนประกายแสงได้ พระองค์ไม่มีความประสงค์หรือตั้งใจให้เราต้องเกิดความเจ็บปวดหรือบาดแผลในชีวิต แต่จุดประสงค์ของพระองค์คือ ในที่สุดชีวิตของเราจะเป็นเหมือนพระคริสต์
ปัญหาใหญ่
ปัญหาหลักในความเข้าใจของเราต่อโรม 8:28 คือ
“ผลดีที่เราเข้าใจและผลดีของพระเจ้านั้นแตกต่างกัน”
เราต้องการมีเงินมีทอง
เราต้องการความสุข
เราต้องการความสำเร็จในชีวิต
เราต้องการชีวิตที่สงบ
ชีวิตยืนยาว และบอกว่าสิ่งเหล่านี้คือ
“ผลดี” ในชีวิต
แต่ผลดีในความหมายของพระเจ้าคือ
ผลดีจากการที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเราผ่านทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อเสริมสร้าง
เปลี่ยนแปลงเราให้มีชีวิตที่เป็นเหมือนพระบุตร
นั่นรวมถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราด้วยหรือ? ใช่แล้ว
นั่นรวมถึงสถานการณ์ที่ทำให้เราเจ็บปวดบาดลึกลงในชีวิตด้วยหรือ? ใช่แล้ว
นั่นรวมถึงเวลาที่ชีวิตของเราต้องฉีกขาดและแตกหักด้วยหรือ? ใช่แล้ว
นั่นรวมถึงเวลาที่เราตกลงในกับดักและกระทำบาปชั่วด้วยหรือ? ใช่แล้ว
นั่นรวมถึงเวลาที่เราไม่แน่ใจและสงสัยพระเจ้าอย่างมากด้วยหรือ? ใช่แล้ว
นั่นรวมถึงเวลาที่เราต่อว่า ก่นด่า
หรือสาปแช่งพระเจ้าด้วยหรือ? ใช่แล้ว
เรารู้ว่า
พระเจ้าประสงค์กระทำพระราชกิจในทุกสถานการณ์ชีวิตของเรา
แต่ในเวลาเดียวกัน
เราก็รู้ว่ามีอีกหลายอย่างเหลือเกินที่เรายังไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้และมั่นใจได้คือ
พระเจ้ายังสถิตใกล้ชิดเรา
พระองค์กระทำพระราชกิจในชีวิตของเราและผ่านชีวิตของเรา
และพระองค์ทรงมีพระประสงค์ในชีวิตของเราด้วย ประเด็นที่ตามมาคือ แล้วเราจะตอบสนองต่อพระราชกิจในชีวิตของเราอย่างไร
ไม่จำเป็นอธิบายในสิ่งที่เราไม่รู้
บางครั้งคริสตชนบางคนพยายามให้คำตอบต่อสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนหรือคนใกล้ชิด
คนรอบข้าง หรือเพื่อนฝูง
เพียงเพื่อจะปกป้องพระเจ้าให้ผู้คนเห็นเชื่อพระเจ้าในเชิงบวก ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องนั้นๆ ที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้ามีพระประสงค์อะไร การพยายามตอบคำถามที่เราไม่รู้ไม่มีคำตอบเพียงเพื่อปกป้องพระเจ้าเป็นความคิดและแนวทางการกระทำที่ผิดพลาด หรือพูดตรงๆ ว่า
เราไม่ต้องพยายามปกป้องพระเจ้า
แท้จริงแล้วเราเป็นเหมือนเด็กที่มองหน้าคุณพ่อ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้และเข้าใจทั้งหมดว่าคุณพ่อคิดอะไร อย่างไร
แค่ไหน และมีแผนการอย่างไรในแต่ละสถานการณ์ชีวิต แต่เรามั่นใจว่า
พ่อของเรามีสติปัญญาและเชื่อมั่นว่าจะตอบสนองสถานการณ์ต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ให้เกิดผลดี
แต่สิ่งที่เรารู้อย่างมั่นใจคือพ่อรักเราและอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เราจะตอบคนต่างๆ
ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตให้เราตอบเฉพาะที่เรารู้และมั่นใจเท่านั้น สิ่งที่ไม่รู้ก็บอกตรงๆ ว่าไม่รู้ แต่บอกเขาถึงความมั่นใจของเราว่าสิ่งที่แน่นอนคือในทุกสถานการณ์พระเจ้าอยู่ด้วย
คุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ากับระบบคุณค่าของเรา
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า บ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย
และระบบที่เรายึดถือและใช้ในชีวิตปัจจุบันนี้ของเราอาจจะแตกต่างจากระบบคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราต้องชัดเจนว่า
เรามิได้สรรเสริญพระเจ้าเพราะเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่ที่เราสรรเสริญพระเจ้าเพราะท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายในชีวิตของเรา
พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตที่ประสบความมืดมิดของเราให้เกิดผลดี จากโรม 8:28
ให้บทเรียนสำคัญแก่เราว่า
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ไม่ว่ามันจะเลวร้ายสักปานใด
ไม่ว่าเราได้รับการกระทำที่ไม่เป็นธรรมแค่ไหนก็ตาม
พระเจ้าทรงอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเหล่านั้นกับเราด้วย พระองค์มิได้ทอดทิ้งเรา พระองค์อยู่กับเราและทำพระราชกิจตามพระประสงค์ของพระองค์ท่ามกลางสถานการณ์ที่มืดมิด และความมืดมิดดังกล่าวจะกลับกลายเป็นความสว่างในชีวิตของเราในที่สุด
คริสตชนไม่จำเป็นจะต้องตอบทุกคำถามในชีวิตที่กำลังประสบความทุกข์ยากลำบาก
แต่ให้เราตอบคำถามที่สำคัญคือ
พระเจ้าอยู่ไหนเมื่อเรายากลำบาก?
คำตอบคือพระเจ้าอยู่ด้วยกับเราในทุกความทุกข์ยากลำบาก
และพระองค์รู้ว่าพระองค์จะทำอะไรอย่างไรในสถานการณ์นั้น และเรารู้และมั่นใจว่าพระองค์จะทรงกระทำให้เกิดผลดีตามพระประสงค์ของพระองค์ นั่นก็เป็นคำตอบที่เพียงพอในชีวิตของเราแล้ว!
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499