อ่านพระธรรมเอเฟซัส 1:1-2
“...จาก
ข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ถึง
ประชากรของพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัส ผู้สัตย์ซื่อในพระเยซูคริสต์” (เอเฟซัส 1:1 อมตธรรม)
ในที่นี้เปาโลเริ่มต้นเขียนจดหมายด้วยการแนะนำตนเองว่า
ตัวท่านเป็น “อัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า” (ข้อ 1)
โดยปกติแล้วเรามักเคยชินกับการขึ้นต้นจดหมายโดยบอกถึงผู้ที่เราเขียนจดหมายถึง
แล้วจะบอกถึงตนเองในฐานะผู้เขียนจดหมายในตอนท้าย แต่ตามวัฒนธรรมในสมัยของเปาโลจะเริ่มต้นแนะนำหรือกล่าวถึงตนเอง(ผู้เขียน)ก่อนและตามด้วยการกล่าวถึงผู้รับจดหมาย
ในจดหมายที่เขียนถึงผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัส
เปาโลกล่าวถึงตนเองว่าเป็น “อัครทูต”
คำว่าอัครทูตนี้แปลมาจากภาษากรีกคำว่า อพอสโตโลส apostolos
คำนี้มีความหมายว่า “คนที่ถูกส่งออกไป”
คำกรีกคำนี้มักถูกใช้หมายถึง คนส่งสาร หรือ
ผู้สื่อสารที่ผู้มีอำนาจส่งออกไปเพื่อนำข่าวสารที่ผู้ส่งต้องการสื่อให้ไปถึงผู้รับ
กรณีของเปาโลในที่นี้ท่านถูกส่งโดยพระเยซูคริสต์ให้นำเอาข่าวดีเรื่องความรอดไปยังผู้รับสาร ยิ่งกว่านั้น ท่านนำข่าวสารแห่งความรอดไปในฐานะอัครทูต
ท่านมิได้ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งต่อสารแห่งข่าวดีเท่านั้น
ท่านมิได้ทำหน้าที่เทศนาพระกิตติคุณเท่านั้น
แต่ท่านทำหน้าที่เป็นผู้หนุนเสริมให้เกิดการก่อตั้งชุมชนของผู้เชื่อศรัทธาที่ดำเนินชีวิตประจำวันตามข่าวดีที่ตนเชื่อให้เห็นได้เป็นรูปธรรมด้วยชีวิตที่สัตย์ซื่อต่อพระเยซูคริสต์
คริสตชนปัจจุบันบางท่านมักใช้คำว่า “อัครทูต”
ในความหมายถึงตำแหน่ง จึงมองว่าอัครทูตคือ “คนในฐานะพิเศษ”
ที่มีอำนาจรองลงมาจากพระเจ้า
แล้วก็นำเอาวิธีคิดวิธีเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนี้มาประยุกต์ใช้กับตำแหน่งในคริสตจักรที่เน้นความสำคัญที่มีอำนาจไม่ว่าจะเป็น
“ศาสนาจารย์ ศิษยาภิบาล หรือ ผู้ปกครอง
ไม่เว้นแม้แต่มัคนายก”
ซึ่งในด้านหนึ่งก็เชื่อว่านี่เป็นการทรงเรียกจากพระเจ้าและเป็นผู้ที่พระเจ้าใช้ พระเจ้าส่งออกไปทำในสิ่งที่พระองค์ประสงค์ แต่เพราะยุคที่คริสต์ศาสนาตกอยู่ใน
“การคุ้มครอง” ของผู้มีอำนาจในการปกครอง จึงกำหนดโครงสร้างการปกครองคริสตจักร
จึงมองตำแหน่งต่างๆ ว่าแต่ละตำแหน่งมีอำนาจอะไรบ้าง ทำอะไรได้บ้าง จึงทำให้ความคิดความเข้าใจผิดเพี้ยนไปจากฐานะ
“ผู้ที่พระเจ้าส่งออกไปตามพระประสงค์ของพระองค์”
แต่กลายเป็นผู้ที่ได้รับการสถาปนาแต่งตั้งให้มี “ตำแหน่ง” “สมณศักดิ์”
แล้วมีอำนาจที่จะทำตามหน้าที่ที่มอบหมายจากองค์กรคริสตจักร ที่บ่อยครั้ง “ละทิ้ง” หรือ “หลงลืม”
พระประสงค์ของพระเจ้า
แต่จำเป็นที่เราจะต้องหันกลับมาหาพระเยซูคริสต์ที่เป็นต้นกำเนิดที่ทรงเรียกเราแต่ละคน
แล้วทรงส่งเราให้ออกไปทำตามพระประสงค์ที่เจาะจงชัดเจนของพระองค์
การทรงเรียกและการทรงใช้ของพระเจ้าไม่ต้องพึ่งพิงเลียนแบบผ่านระบบประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากในรัฐสภา
เรามิได้รับการทรงเรียกผ่านองค์กรคริสตจักรเพื่อจะมีตำแหน่งแล้วถึงจะมีอำนาจที่จะรับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนให้เป็นคนรับใช้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ขอเน้นชัดที่นี้ว่า
พระเจ้าทรงส่งเราแต่ละคนทุกคนอย่างมีพระประสงค์ที่แน่ชัดให้เข้าใช้ชีวิตท่ามกลางชุมชนสังคมโลก เพื่อรับใช้พระองค์ตามพระประสงค์ในชีวิตประจำวันทุกวัน พระองค์ประสงค์ใช้ชีวิตของเราให้เป็นพยานถึงความรักและพระเมตตาคุณของพระเจ้าผ่านการดำเนินชีวิต ท่าทีที่เราแสดงออก คำพูดที่เราสื่อออกไป และการกระทำที่เป็นพลังอย่างเป็นรูปธรรม
ให้เราเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ที่เกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์ในชุมชนสังคมโลก และเราต้องไม่ลืมว่าเราถูกส่งจากพระเยซูคริสต์ให้มีชีวิตท่ามกลางชุมชนโลกในฐานะประชากรแห่งแผ่นดินของพระองค์เอง
ยิ่งกว่านั้น เราจะต้องตระหนักชัดว่า
พระเจ้าทรงส่ง “คริสตจักร”
เข้าไปในชุมชนสังคมโลกเพื่อสำแดงแบบอย่างรูปธรรมแห่งสัจจะความจริงและพลังอำนาจของพระกิตติคุณของพระเจ้า ของพระคุณของพระเจ้า
มิใช่สัจจะความจริงและพลังอำนาจตามองค์กรคริสตจักร
(ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างคริสตจักร ธรรมนูญ หรือระเบียบ หรืองบประมาณองค์กรคริสตจักร)
แต่เป็นสัจจะและพลังของข่าวดีของพระเยซูคริสต์
ซึ่งเราสามารถเห็นและเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นในเอเฟซัสบทที่ 3
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์มีชีวิตในโลกนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือ
ทำพันธกิจของพระคริสต์ คำว่า “มิชชั่น” หรือในภาษาไทยที่เราแปลว่า “พันธกิจ” มาจากภาษาลาตินว่า “มิชชั่น mission”
ซึ่งมีความหมายว่า “ทำในสิ่งที่ถูกส่งออกไป” เราคงมีโอกาสใคร่ครวญสัจจะความจริงในเรื่องนี้เพิ่มขึ้น
ในแต่ละวัน
พระเยซูคริสต์ทรงมีพระประสงค์ส่งเราแต่ละคนให้เข้าไปในสังคมชุมชนโลก ไม่ว่าในที่ทำงาน โรงเรียน
โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย ครอบครัว
ทีมกีฬา ในการพักผ่อน
ในชั้นเรียน หรือกลุ่มเพื่อน และ ฯลฯ ท่านเชื่อหรือไม่ครับ ที่ที่เราอยู่ในวันนี้คือที่ที่พระเจ้าทรงส่งเราแต่ละคนเข้าไปอยู่ในที่นั่น
ในฐานะประชาชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้าที่ถูกส่งให้มาอยู่อย่างมีพระประสงค์ที่ชัดเจน
คำถามเพื่อการใคร่ครวญ
1. ท่านเคยคิดว่า
ท่านคือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งท่านเข้าไปในที่ที่ท่านอยู่อย่างมีพระประสงค์หรือไม่?
2. ท่านคิดและเข้าใจว่า ท่านถูกส่งโดยพระเจ้าให้เข้าไปอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวันทุกวัน
หรือพระเจ้าทรงส่งท่านเข้าไปในชุมชนสังคมโลกในการทำพันธกิจพิเศษเป็นบางครั้งเท่านั้น?
3. ท่านคิดว่าชีวิตของท่านจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ถ้าท่านเชื่ออย่างจริงจังว่าพระเจ้าทรงส่งท่านไปในทุกๆที่ที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ ในทุกๆความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และในทุกๆสถานการณ์ชีวิต?
ใคร่ครวญภาวนา
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงเลือกเปาโลให้เป็น
“อัครทูต” ของพระองค์
ทำให้พระประสงค์ของพระองค์ส่งผลกระทบถึงชีวิตของข้าพระองค์ในทุกวันนี้
ขอบพระคุณพระองค์ทรงยังทรงเลือกและส่งผู้คนอย่างที่ทรงกระทำมาแล้วในคริสตจักรสมัยเริ่มแรก
ถึงแม้ว่าพระองค์มีพระประสงค์ในรายละเอียดที่ส่งข้าพระองค์ต่างจากเปาโล
แต่แท้จริงแล้วพระองค์เองคือผู้ส่งข้าพระองค์เข้าไปในชุมชนสังคมโลก
เพื่อรับใช้พระองค์ตามพระประสงค์
และรับใช้คนในสังคมชุมชนนั้นในพระนามของพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า
โปรดให้ข้าพระองค์มีความเชื่อที่ชัดเจนมั่นคงในเรื่องนี้
เพื่อข้าพระองค์จะสามารถมีชีวิตในที่ที่ข้าพระองค์เป็นอยู่แต่ละวัน
ให้ทำตามที่พระประสงค์ที่ส่งให้ข้าพระองค์มาอยู่ที่นี่ อาเมน
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
081-289-4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น