08 มิถุนายน 2555

ความเชื่อที่เห็นแก่ตัว


อ่านยอห์น 6:22-27
วันรุ่งขึ้นประชาชนที่อยู่อีกฟากเห็นว่าก่อนหน้านั้นที่นั่นมีเรืออยู่ลำเดียว  และพระเยซูไม่ได้ลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก  พวกสาวกไปกันเองตามลำพัง   มีเรือลำอื่นๆ จากทิเบเรียสมาจอดใกล้ๆ ที่ซึ่งประชาชนได้กินขนมปังหลังจากที่ได้ทรงขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว  เมื่อเขาเห็นว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น   จึงลงเรือมายังเมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซู
เมื่อประชาชนพบพระองค์ที่อีกฟากของทะเลสาบก็ทูลถามพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาถึงที่นี่เมื่อใด”   พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  พวกท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ  แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม   อย่าขวนขวายหาอาหารที่เน่าเสียได้   แต่หาอาหารที่คงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน  พระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรมนุษย์แล้ว  (อมตธรรม)

เราเคยถามตนเองหรือไม่ว่าเวลาที่เราสนใจและคิดถึงพระเยซู เราคิดถึงพระองค์ในแง่ไหนมากกว่ากัน   ทุกวันนี้เราสนใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร?   หรือสนใจว่าพระองค์สามารถทำอะไรเพื่อเราบ้าง?   คงต้องยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า จะด้วยการรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ลึกลงไปในจิตใจใต้จิตสำนึกของเรา   เมื่อเราคิดถึงพระเยซูเราคิดถึงความช่วยเหลือ  เราคิดถึงสิ่งที่พระองค์จะประทาน  เราคิดถึงสิ่งที่เราจะทูลขอต่อพระองค์   น้อยครั้งนักที่เราจะคิดและสำนึกว่าพระองค์เป็นใคร   หรือเราต้องการรู้จักพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้นว่าพระองค์คือผู้ใด

เรื่องประเด็นเช่นนี้มิใช่สิ่งใหม่  พระองค์พบกับปัญหาเช่นนี้ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงกระทำพันธกิจในโลกนี้  ฝูงชนเสาะแสวงตามหาพระเยซู   เพื่อทูลขอให้พระองค์กระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพวกเขา หรือ เพื่อให้พระองค์กระทำในสิ่งที่ตนต้องการ   และพระองค์ทรงรู้เท่าทันถึงแรงกระตุ้นที่ทำให้พวกเขาแสวงหาพระองค์

หลายครั้งเป็นการยากที่จะแยกแยะชัดเจนว่า  การที่เราเข้าใกล้ชิดพระองค์เพื่อจะใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยทำ(หรือพูดให้เพราะหน่อยก็คือประทาน)บางสิ่งบางอย่างที่เราต้องการ กับ การที่เราเข้ามาใกล้ชิดพระองค์ด้วยจิตใจที่ถ่อมด้วยมีความจำเป็นต้องการพระองค์ช่วยในสิ่งที่เรากำลังเผชิญหน้าในชีวิต   ยิ่งกว่านั้นในบางเรื่องที่เราเข้าไปทูลขอต่อพระองค์เป็นการทูลขอแบบ “กดดัน” พระองค์ หรือไม่ก็เร่งรัดพระองค์   และบางครั้งก็มีความคิดและใจปรารถนาให้พระองค์ทรงกระทำตามแนวทางหรือวิธีการที่เราต้องการมากกว่าการที่เราทูลขอให้เรามีใจปรารถนาสอดคล้องตามพระประสงค์ของพระองค์  หรือ  ทูลขอให้พระองค์ทรงเปิดเผยให้เราได้เข้าใจและเห็นถึงพระประสงค์ของพระองค์ในเรื่องนั้นหรือสถานการณ์นั้นๆ   และที่สำคัญคือทูลขอให้ทุกสิ่งทุกสถานการณ์ชีวิตของเราเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์   บ่อยครั้งเหลือเกินสิ่งที่เราเรียกว่า “ความเชื่อศรัทธา”   แท้จริงคือวิญญาณแห่งความต้องการใคร่ได้ใคร่มีของเราเองมากกว่า

เราต้องตระหนักชัดเสมอว่า ความจำเป็นต้องการของเรามีเวลาที่จะจบสิ้น   แต่พระคริสต์ทรงเป็นอยู่ตลอดไป   ถ้าการอธิษฐานของเราเป็นเพียงการที่เราทูลขอในสิ่งที่เราต้องการจากองค์พระผู้เป็นเจ้า   เราได้สูญเสียโอกาสที่สำคัญยิ่งที่จะรู้จักกับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เราจะใช้ชีวิตนิรันดร์กาลกับพระองค์   ให้เราใช้เวลาที่จะใกล้ชิดติดสนิทกับพระคริสต์   แล้วเราจะเกิดความชื่นชมยินดีในสัมพันธภาพใกล้ชิดตลอดกาลกับพระองค์

ในแต่ละวัน เราสนิทชิดเชื้อกับพระองค์มากแค่ไหน?  การที่เราจะใกล้ชิด ติดสนิท และมีสามัคคีธรรมกับพระองค์มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับใจปรารถนาของเรา  เพราะพระองค์ทรงเปิดโอกาสและประทานสิทธิในการที่เราจะเข้าใกล้ชิดพระองค์ได้เสมอ   เราได้ใช้ทุกเวลาและโอกาสในการที่จะเรียนรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้นหรือไม่?   ถึงแม้ว่าพระเจ้าพอพระทัยที่เราอธิษฐานต่อพระองค์  และพระองค์ประสงค์ให้เราทูลทุกเรื่องในชีวิตของเราต่อพระองค์   แต่พระองค์ก็มีพระประสงค์ให้เรามีชีวิตที่ใกล้ชิดและชื่นชมยินดีที่ได้อยู่กับพระองค์ด้วยเช่นกัน

ในวันนี้ ให้เราสลัดทิ้ง ความเชื่อศรัทธาที่เห็นแก่ตัว   ความเชื่อศรัทธาแบบบริโภคนิยม  ที่คิดแต่จะได้



ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น