ขณะนี้ต้องยอมรับว่า
คริสตจักรในประเทศไทยมุ่งเน้นพันธกิจเรื่องการประกาศ
หรือพูดภาษาตลาดก็คือทำให้คนมาเป็นคริสเตียนมากยิ่งขึ้น และตัวชี้วัดความสำเร็จคือจำนวนคนที่มารับบัพติศมาเพิ่มมากขึ้นก็สำเร็จมาก และอีกตัวชี้วัดหนึ่งคือถ้าสามารถตั้งคริสตจักรแห่งใหม่ดูจะเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจทีเดียว
อิทธิพลความคิดเช่นนี้ตอนนี้สามารถครอบงำผู้ที่เคยทำงานด้านพัฒนาสังคมเลยทีเดียว
หรือเพราะเขาต้องพูดภาษาเดียวกับคนกลุ่มนี้ในคริสตจักรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอพูดถึงคุณภาพชีวิตในสังคมชุมชน เมื่อพูดถึงความยุติธรรมความชอบธรรมของสังคมชุมชน คนในหลายคริสตจักรกลับมองเห็นว่านั่นไม่ใช่พันธกิจที่คริสตจักรต้องทำ นั่นไม่ใช่งานของคริสเตียน พูดอย่างกับว่า
พระเจ้าไม่สนใจสังคมชุมชนอย่างนั้นแหละ
แต่ประเด็นเรื่องความยุติธรรมในสังคมชุมชนเป็นประเด็นใหญ่ที่คริสตจักรกำลังต้องเผชิญหน้าอยู่ในยุคปัจจุบัน
ก่อนอื่น
คงต้องกล่าวอย่างชัดเจนว่า
พันธกิจที่คริสตจักรทำนั้นเป็นพันธกิจของพระเยซูคริสต์ที่คริสตจักรเข้าไปร่วมกระทำในพระราชกิจของพระองค์ มิใช่กิจกรรมที่คริสตจักรอยากจะทำ หรือทำต่อๆ กันมา หรือแหล่งทุนบอกให้ทำ หรือคนถวายทรัพย์บอกว่าต้องทำ
เมื่อเราพิจารณาถึงการกระทำพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเมื่อเสด็จมาในโลกนี้มีมากมาย แต่เราคงต้องบอกแจ้งชี้ชัดว่า
พระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำนั้นมิได้เริ่มต้นด้วยพระมหาบัญชา แต่พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงส่งสาวกของพระองค์หรือคริสตจักรของพระองค์เข้าไปในสังคมโลกด้วยสิทธิอำนาจที่พระองค์ทรงมอบให้
(มัทธิว 28:18)
แล้วทรงพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นพลังที่จะกระทำตามพระบัญชาดังกล่าว
(กิจการ 1:8)
ประการต่อมาที่ต้องพิจารณาคือ
เนื้อหาพันธกิจตามพระมหาบัญชา
มิใช่พันธกิจที่มุ่งเน้นเพียงเฉพาะเรื่องการมีชีวิตใหม่หรือการมีความเชื่อใหม่ในแต่ละคนเท่านั้น แต่เป็นการสร้างสาวก หรือ
การบ่มเพาะฟูมฟักให้ชีวิตผู้เชื่อได้รับการเปลี่ยนแปลงให้มีความคิด ทัศนคติ
การตัดสินใจ และการดำเนินชีวิตเยี่ยงพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
ซึ่งการสร้างสาวกแบบพระคริสต์นี้เองที่สร้างผลกระทบอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและสร้างชุมชนขึ้นใหม่ตามพระประสงค์ของพระเจ้าด้วย
(มัทธิว 28:19)
เพราะในพระมหาบัญชานั้นมิใช่บัญชาให้สอนให้เทศน์เท่านั้น แต่ให้เขาดำเนินชีวิตประจำวันตามสิ่งที่พระคริสต์ได้สั่งพวกสาวกไว้แล้ว “สอนพวกเขา ให้ถือสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้”
(มัทธิว 28:20)
มิใช่สอนให้รู้ ให้จำ และ ตอบได้เท่านั้น
แต่สอนให้ทำตามอย่างเชื่อฟังในสิ่งที่พระองค์สั่งสาวกไว้ และนี่เองคือพลังสำคัญที่เป็นรากฐานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมและชุมชนให้มี
“ความยุติธรรม” ตามพระประสงค์ของพระองค์
ดังนั้น
พันธกิจตามพระมหาบัญชานั้นนอกจากการบอกถึงข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และให้ผู้เชื่อรับ บัพติสมาในพระนามของพระเยซูคริสต์แล้ว ยังต้องหนุนเสริมให้เขาดำเนินชีวิตอย่างเชื่อฟังตามที่พระองค์ทรงสอน
และ กระทำให้เราเห็นอย่างเป็นรูปธรรมในพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ
พันธกิจการหนุนสร้างชุมชนที่มีความยุติธรรมจึงเป็นส่วนหนึ่งกระบวนการเดียวกันในพันธกิจตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์
เมื่อคริสตจักรจะต้องรับผิดชอบในพันธกิจเรื่องความยุติธรรมในสังคม
เราสามารถเห็นภาพการทำพันธกิจนี้ได้จากพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติในชีวิต
และพระราชกิจที่ทรงกระทำดังกล่าวได้มีการยืนยันชัดแจ้งว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์ ตามที่ปรากฏในพระธรรมสดุดี บทที่ 72 (ฉบับมาตรฐาน) ความยุติธรรมที่พระเจ้าประสงค์ให้เกิดขึ้นในสังคมชุมชนคือ ผู้นำทำให้เกิดสันติสุขแก่ประชาชน(ข้อ 3) สู้คดีเพื่อคนจน ช่วยลูกของคนขัดสน และถูกบดขยี้(ข้อ 4) ความชอบธรรมเจริญขึ้น
ความสมบูรณ์พูนสุขดำรงอยู่(ข้อ 7) ช่วยกู้คนขัดสน คนยากจน คนไร้ผู้อุปถัมภ์
และคนอ่อนแอให้รอด(ข้อ 12-13) ไถ่ชีวิตของผู้ถูกบีบบังคับและการทารุณ
ชีวิตของคนเหล่านี้ประเสริฐในสายตาของพระเจ้า(ข้อ 14)
และนี่คือพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์แต่พระองค์เดียว(ข้อ 18) พระราชกิจเหล่านี้สามารถเห็นชัดอย่างเป็นรูปธรรมในพระกิตติคุณที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำ
เป็นพระราชกิจที่ทรงกระทำด้วยพระทัยที่รักเมตตาเพื่อที่จะทรงช่วยให้รอดทุกด้านในความเป็นมนุษย์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณด้วย
และพระราชกิจนี้เริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในพระเยซูคริสต์ และภาพนี้เราสามารถมองเห็นชัดได้จากบทเพลงอธิษฐานของมารีย์
เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ที่ปรากฏในพระกิตติคุณลูกา 1:46-55 ฉบับมาตรฐาน)
พระเจ้าทรงห่วงใยคนที่ต่ำต้อย(ข้อ 48) ทรงทำให้คนที่มีใจเย่อหยิ่งกระจัดกระจายไป(ข้อ 51) ถอดเจ้านายออกจากบัลลังก์
และยกผู้น้อยขึ้น(ข้อ 52)
คนอดยากอิ่มด้วยสิ่งดี คนมั่งมีไปมือเปล่า(ข้อ 53) และพระเยซูคริสต์ทรงประกาศถึงแผ่นดินของพระเจ้าที่กำลังเข้ามาในโลกนี้ (ลูก 4:18-19 ฉบับมาตรฐาน)
และพระเยซูคริสต์ทรงประกาศเจตนารมณ์ของพระองค์ว่า พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าสถิตในพระองค์เพื่อนำข่าวดีไปยังคนยากจน ประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย คนตาบอดจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า (ข้อ 18-19)
ปีแห่งความโปรดปรานหมายถึงยุคของพระเมสสิยาห์ที่เป็นเวลาที่นำความรอดมาที่ปรากฏใน
อิสยาห์ 61:1-2
เป็นปีแห่งกึ่งศตวรรษตาม เลวีนิติ 25:8-55
พันธกิจแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อาจจะสรุปเป็นภาพรวมว่า
เป็นข่าวดีแห่งการคืนดี
การเสริมสร้างสัมพันธภาพใหม่ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
และระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง
เพื่อนำมาซึ่งสังคมชุมชนที่ยุติธรรมและก่อเกิดศานติสุข ตามที่พระเยซูคริสต์ประมวลพระบัญญัติทั้งสิ้นไว้ว่า ให้รักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจสุดกำลัง
และสิ้นสุดความคิด
และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (ลูกา 10:27-28)
ดังนั้น
พันธกิจที่พระคริสต์ทรงกระทำและบัญชาให้สาวกกระทำด้วยนั้นจึงมิใช่เพียง
“พันธกิจการเสริมสร้างด้านจิตวิญญาณ” เท่านั้น
เพราะพระองค์ทรงกระทำเป็นแบบอย่างเป็นพระราชกิจที่ทรงกระทำการกอบกู้ในทุกด้านทุกมิติของชีวิต พระองค์ทรงเอาใจใส่ชีวิตทั้งชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ
สังคมความสัมพันธ์
เศรษฐกิจความอยู่รอด
วัฒนธรรมวิถีการดำเนินชีวิต
และด้านจิตวิญญาณรากฐานของการมีชีวิตอยู่
พระกิตติคุณและพระราชกิจของพระเยซูคริสต์มิได้ให้ความสนใจเพียงเฉพาะอำนาจลึกลับที่สู้กันภายในชีวิตของเราเท่านั้น
เพราะเมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสสอนและทำให้เห็นชัดเจนว่า รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองนั้น เมื่อเรารักตนเองเรามิได้รักแต่จิตวิญญาณของเราเท่านั้น แต่เรารักทุกด้านทุกมิติในการรักตนเอง ดังนั้นพระคริสต์ต้องการให้เรารักเพื่อนบ้านในทุกด้านทุกมิติของชีวิตด้วย
พระคัมภีร์เริ่มต้นจากพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ พระเจ้าทรงสร้างมิใช่วิญญาณมนุษย์เท่านั้น แต่พระเจ้าทรงสร้างธรรมชาติแวดล้อม พระเจ้าทรงสร้างร่างกายมนุษย์และใส่จิตวิญญาณ
และ พระฉายาของพระองค์ลงในมนุษย์
พระเจ้าทรงสร้างสังคมมนุษย์
พระเจ้าทรงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
และความสัมพันธ์กับบรรดาสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
สรุปได้ว่าพระองค์ทรงสร้างทั้งชีวิตภายในและทรงสร้างสภาพแวดล้อมภายนอกชีวิตด้วย(ปฐมกาล
บทที่ 1-2) และเมื่อมนุษย์ตกหลุมพรางแห่งความบาป ชีวิตของมนุษย์ก็เสื่อมเสีย ถูกทำลายและเกิดหายนะขึ้น มิใช่แต่ด้านจิตวิญญาณ และร่างกายของมนุษย์เท่านั้น
แต่รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้า และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อม
และ สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง อีกทั้งเกิดความแปลกแยกทางความคิดในตัวมนุษย์ กระทบต่อสังคมที่มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกัน แม้แต่อาชีพการงาน และความอยู่รอดของมนุษย์ (ปฐมกาลบทที่ 3-11)
แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำการพลิกฟื้นและสร้างใหม่ พระองค์ทรงสร้างใหม่ทั้งหมดของชีวิตมนุษย์
ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่ในสรรพสิ่งที่ทรงสร้างและสภาพแวดล้อม สังคมชุมชนมนุษย์ เศรษฐกิจความอยู่รอด เสริมสร้างสุขภาพกาย ใจ จิตวิญญาณ และทรงเรียกให้ผู้คนมาร่วมพระราชกิจแห่งการทรงสร้างใหม่ของพระองค์
(วิวรณ์ บทที่ 21-22)
เฉกเช่นพระบิดาให้มนุษย์คู่แรกร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในสวนเอเดนนั้น
ยิ่งกว่านั้น
ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์ได้เป็นพยานและเผยพระวจนะอย่างต่อเนื่องในสิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงกระทำ ผู้เผยพระวจนะเผชิญหน้ากล่าวโทษกษัตริย์อาหับที่โลภแย่งชิงที่ดินของนาโบทอย่างไร้ยางอาย โดยวางแผนฆ่านาโบทเสียตามคำชักจูงของเมีย(1พงศ์กษัตริย์ 21:1-19)
แม้จะเป็นเพราะจิตใจที่โลภของกษัตริย์อาหับ
แต่สร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อความยุติธรรมในสังคม? ที่ผู้เผยพระวจนะต้องลุกขึ้นเผชิญหน้า
แต่นี่เป็นความบาปที่มีอำนาจครอบงำในจิตใจชีวิตมนุษย์คนหนึ่งอย่างเยเซเบลเมียของกษัตริย์อาหับที่ออกอุบายชั่ว
และก็เป็นพลังความบาปที่แพร่เข้ามาในความคิดของอาหับ และ
มีอิทธิพลสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงถึงแก่ชีวิตของนาโบท และต่อระบบการปกครอง และ
กระทบต่อความยุติธรรมในสังคม อิทธิพลของความบาปทั้งส่วนตัวและสังคม
ทั้งสองเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดไม่สามารถแยกออกกจากกันได้ และสร้างผลกระทบต่อกันด้วย
ผู้เผยพระวจนะมิได้จำกัดเรื่องความชอบธรรมเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่มีผลกระทบและเกี่ยวเนื่องต่อความชอบธรรม
หรือ ความหายนะของสังคมชุมชนด้วย
เมื่อผู้เผยพระวจนะอิสยาห์เผยถึงการพิพากษาของพระเจ้านั้น เป็นทั้งเรื่องความเย่อหยิ่งผยอง
จองหองในแต่ละบุคคล(อิสยาห์ 2:11)
และการใช้อำนาจบังคับเอารัดเอาเปรียบคนที่อ่อนแอไม่มีกำลัง โดยการกลืนกินสวนองุ่น และ ริบของจากคนจน บีบคั้นประชากรของพระเจ้า บดขยี้หน้าคนจน(อิสยาห์ 3:14-15)
นอกจากนั้นแล้วผู้เผยพระวจนะโยเอล, มีคาห์, และมาลาคี ตลอดมาจนถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็เผยพระวจนะของพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจในทำนองเดียวกันนี้
คริสตจักรในพันธสัญญาใหม่ได้สืบทอดต่อเนื่องการเป็นพยานชีวิตเช่นเดียวกันนี้
แม้มาในสมัยคริสตจักรเริ่มแรกภายหลังที่พระเยซูคริสต์เสด็จสู่สวรรค์แล้ว สาระพระกิตติคุณที่สาวกและผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ในคริสตจักรสมัยเริ่มแรกก็ประกาศถึงทั้งการได้รับการทรงชำระในชีวิตส่วนตัว
และ การมีความสัมพันธ์ต่อกันและกันและต่อผู้คนอื่นอย่างยุติธรรม อย่างเช่น ยากอบสอนคนในคริสตจักรทั้งเรื่องส่วนตัว
เช่น การใช้ลิ้นพูดจาของแต่ละคน (ยากอบ 3:1-12)
และก็สอนถึงการกระทำที่เอารัดเอาเปรียบค่าแรงของคนทำงานซึ่งเป็นเรื่องที่อยุติธรรม ส่วนตนเองเสวยสุขบนความทุกข์ยากและความตายของคนอื่น(ยากอบ
5:1-6) และความอยุติธรรมนี้เป็นเสียงร้องขอความเป็นธรรมถึงพระเจ้า
สำหรับยากอบแล้ว
“ธรรมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระบิดานั้น
คือการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและหญิงหม้ายที่มีความทุกข์ร้อน และรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก”(ยากอบ 1:27)
ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ชายของยากอบคือพระเยซูคริสต์ได้กระทำและสอนก่อนหน้านี้แล้ว
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ซึ่งพวกท่านได้กระทำต่อคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ก็เหมือนทำกับเราด้วย”(มัทธิว
25:40)
สำหรับความคิดที่จะเอาศาสนศาสตร์ของเปาโลมาชนกับคำสอนของยากอบแบบแพะชนแกะนั้น ก็จะไม่เห็นความขัดแย้งในเรื่องนี้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ในเรื่องเกี่ยวกับความรอดในแต่ละตัวคนกับพันธกิจการดูแลเอาใจใส่ผู้เล็กน้อยอ่อนแอ
เมื่อชุมชนสาวกของพระเยซูคริสต์ที่กรุงเยรูซาเล็มยอมรับเปาโลแล้ว ได้ขอให้เปาโลทำงานด้วยการเอาใจใส่คนยากจนด้วย ซึ่งเปาโลยืนยันว่า
“ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำด้วยความกระตือรือร้นอยู่แล้ว” (กาลา-เทีย 2:10)
ถ้าเช่นนั้นคริสตจักรจะรับใช้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เช่นใดที่จะมีความสมดุลระหว่างการประกาศพระกิตติคุณกับพันธกิจการเสริมสร้างความยุติธรรมในสังคมชุมชน
จำเป็นอย่างยิ่งที่คริสตจักรจะต้องทุ่มเทในพันธกิจการเสริมสร้างรากฐานความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ แล้ววางรากฐานการดำเนินชีวิตที่มีหลักของคริสต์จริยธรรม
เพื่อผู้เชื่อในคริสตจักรจะได้ร่วมกับคริสตชนคนอื่นๆ ในการสำแดงชีวิตด้วยความรักเมตตาและเสียสละของพระคริสต์ และนี่คือจุดสร้างผลกระทบอย่างแรงต่อระบบความยุติธรรมในสังคมชุมชน แต่ก็น่าเป็นห่วงอย่างมากเช่นกันที่มีคริสตจักรที่เอาแต่เน้นด้านการเสริมสร้างความยุติธรรมในสังคมโดยมิได้สนใจว่าผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้ควรจะมีการ
“กลับใจเสียใหม่” ตามที่พระคริสต์ประกาศ
คือยอมเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ มุมมอง
ระบบคุณธรรมและคุณค่าในชีวิตตามคำสอนและตัวอย่างชีวิตของพระคริสต์ก่อน
จากนั้นวางรากฐานความเชื่อศรัทธาและแก่นหลักในการดำเนินชีวิตตามแบบพระคริสต์เพื่อจะมีพลังสร้างแรงกระทบต่อสังคมชุมชนที่คริสตจักรตั้งอยู่
และในเวลาเดียวกันในปัจจุบันนี้ที่มีหลายคริสตจักร
หรือ คริสเตียนหลายต่อหลายกลุ่มที่เน้นให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิบุคคลจนกลายเป็นสิทธิส่วนตัว
(อย่างเช่น เรื่องสิทธิทางเพศ)
โดยมิได้แสดงจุดยืนชัดเจนบนพระกิตติคุณ
และมิได้ช่วยให้เข้าใจชัดเจนว่า สิทธิของคนนั้นมาจากไหน?
และก็มีบางคริสตจักรหรือคริสเตียนบางกลุ่มอีกเช่นกันที่มุ่งเน้นสอนถึงการมีจริยธรรมในชีวิตส่วนตัวเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่พระเจ้า และคาดหวังลึกๆ ว่าพระเจ้าจะอวยพระในสิ่งที่ตนต้องการ
และทั้งสองขั้วนี้ก็มิใช่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
ในที่นี้ผู้เขียนมิได้ต่อต้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือบัญญัติในคริสต์ศาสนา และก็มิได้ยืนกรานไม่เห็นด้วยกับกลุ่มที่เน้นการกระทำยุติธรรมในสังคมเพื่อสังคม
แต่มิได้มีความเชื่อบนรากฐานของพระกิตติคุณ คริสตจักรทำเรื่องยุติธรรมในสังคมอย่างเช่น องค์กรรัฐ(สังคมสงเคราะห์)
หรือ กลุ่ม เอ็นจีโอ ทั่วไป
เพราะเขาไม่จำเป็นต้องสนใจว่า
ที่เขากระทำกับคนยากคนจนคนเล็กน้อย
คนไร้ที่พักพิง คนติดยาเสพติด คนหิวโหย
คนที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์
หรือ คนที่ถูกตัดสิทธิให้เกิดมาในโลกเกี่ยวข้องกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์หรือไม่อย่างไร แต่คริสเตียนและคริสตจักรทำพันธกิจกับผู้เล็กน้อยด้อยโอกาสดังกล่าวเพราะ หัวใจที่รักเมตตาและเสียสละอย่างพระคริสต์
และกระทำเพราะเป็นการสำแดงความรักของพระคริสต์แก่ผู้คนเหล่านั้นเพื่อเขาจะได้สัมผัสกับความรักเมตตาของพระองค์
คงไม่มีสูตรหรือทฤษฎีที่จะบอกว่าทำพันธกิจอย่างไรที่จะเกิดความสมดุลย์ระหว่างการประกาศพระกิตติคุณกับการสำแดงความรักของพระคริสต์เพื่อสร้างสังคมชุมชนที่ยุติธรรม แต่อาจจะตอบได้ว่า ในเมื่อชีวิตสาวกของพระคริสต์คือการมีชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างให้เติบโตขึ้นอย่างพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวันแล้ว
เราก็จะต้องสนใจในสิ่งที่พระคริสต์สนพระทัย
สนใจและเอาใจใส่ในผู้คนที่พระคริสต์สนใจและเอาใจใส่ และกระทำต่อคนเหล่านั้นอย่างที่พระคริสต์ทรงกระทำ คือรัก เมตตา และเสียสละชีวิตเพื่อคนเหล่านี้ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ
สังคม ความอยู่รอด และจิตวิญญาณ
อย่างที่พระคริสต์ทรงเอาใจใส่และกอบกู้ทั้งชีวิต ทุกด้านทุกมิติของชีวิต
พระเยซูคริสต์ไม่เคยให้ผู้คนจากพระองค์ไปด้วยความหิวโหย
เมื่อสาวกแนะนำพระเยซูคริสต์ว่าปล่อยให้ประชาชนกลับบ้าน แต่พระคริสต์กลับบอกว่า
“พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด”(ลูกา 9:13 ฉบับมาตรฐาน) ยากอบสอนว่า เมื่อพี่น้องขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า
แล้วมาขอความช่วยเหลือจากท่าน
ท่านจะกล่าวกับเขาว่า “ขอให้กลับไปอย่างเป็นสุข ให้อบอุ่น และอิ่มหนำสำราญเถิด”(ยากอบ 2:16 ฉบับมาตรฐาน)เช่นนั้นหรือ?
แต่สำหรับพระคริสต์แล้วจะต้องสำแดงความรักเมตตาต่อคนๆ นั้น และเป็นความรักเมตตาต่อทั้งชีวิตของคนๆ นั้น
เมื่อพระเยซูคริสต์เล่าเรื่องอุปมาคนสะมาเรียผู้มีใจเมตตาเสร็จ พระองค์ถามผู้ชำนาญการเรื่องธรรมบัญญัติว่า ใครคือเพื่อนบ้านของคนที่ถูกโจรปล้นและถูกทำร้าย นักชำนาญการธรรมบัญญัติตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูคริสต์ตรัสตอบเขาว่า
“ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น” (ลูกา 10:37 ฉบับมาตรฐาน)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น