เรารู้ว่า
เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า
คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
(โรม 8:28 ฉบับมาตรฐาน)
เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อ(ให้เกิด)ผลดีจริงหรือ?
นี่เป็นการพูดด้วยภาษาความเชื่อด้านจิตวิญญาณ หรือ
เป็นความจริงในชีวิตทุกวันนี้ของเรา?
คำกล่าวในโรม 8:28 เป็นจริงอย่างที่พูดหรือ?
แต่ดูเหมือนว่าตรงกันข้ามกับชีวิตจริงปัจจุบันมิใช่หรือ?
·
ลูกสาวอายุ 17 ปี ชนะเลิศการประกวดการเป่าฟลุทของประเทศ ได้รับรางวัลให้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาในต่างประเทศ ขับรถไปส่งเพื่อนกลับบ้าน กลับมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
·
สุภาพร จบการศึกษาปริญญาตรี ได้เข้าทำงานองค์กรการกุศลต่างประเทศ
แต่เพราะวิกฤติเศรษฐกิจโลกเงินบริจาคลดน้อยลง เธอถูกให้ออกจากงาน ในขณะที่บ้านกำลังผ่อน ลูกกำลังเรียน
·
ประกาศิต ร้อยตำรวจเอกหนุ่ม
เข้าจับกุมชายหนุ่มขับรถเบนซ์ที่เป็นผู้ค้ายาเสพติด
ขณะที่คนในรถเปิดกระจกได้กระชากปืนพกของประกาศิตแล้วยิ่งร้อยตำรวจเอกหนุ่มคนนี้เสียชีวิตคาที่ ท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้คนที่การจราจรกำลังคับคั่ง!
·
สนธิชัย อาจารย์หนุ่มทางด้านคอมพิวเตอร์
ตัดสินใจเข้ารับการอบรมในสถาบันการการเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้รับใช้พระเจ้าในต่างประเทศ
เมื่อกลับมาและกำลังได้รับเชิญให้เป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรแห่งหนึ่งในสลัม
ภรรยาขอหย่าเพราะไม่ต้องการที่จะเป็นภรรยาของคนที่มีอาชีพเป็นศิษยาภิบาล
เหตุการณ์เหล่านี้จะร่วมกันก่อผลดีได้อย่างไร? แล้วเรายังจะเชื่อพระธรรมโรม 8:28 ได้อยู่หรือไม่เนี่ย?
เรารู้ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า
คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
(โรม 8:28 ฉบับมาตรฐาน)
ถ้าพูดแบบเปิดใจตรงไปตรงมา
ในพระธรรมข้อนี้มีความเคลือบแคลงใจอย่างน้อยในสองคำที่เปาโลใช้ในที่นี้
1. เป็นคำสัญญาที่เราทำใจเชื่อยาก
พระธรรมตอนนี้เขียนว่า “เรารู้ว่า
เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันเกิดผลดี...” (ฉบับมาตรฐาน) เมื่ออ่านประโยคดังกล่าวผมถามในใจว่า
อาจารย์เปาโลครับ ผมจะแน่ใจได้แค่ไหนว่า เรารู้?
ผมบอกได้เลยครับอาจารย์เปาโลว่า คนส่วนใหญ่ในพวกเราไม่รู้ครับ
พวกเราหวังว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อให้เกิดผลดี เราหวังให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ และเราก็เชื่อว่ามันควรเป็นไปเช่นนั้น แต่เรารู้จริงๆหรือไม่ว่านั่นจะเกิดจริงแน่นอน?
2. เป็นคำสัญญารวมเอาสิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าจะอยู่ในประโยคนี้ “เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดี...” นี่คือเหตุการณ์ทุกอย่าง เป็นไปได้จริงหรือว่า “ทุกๆ เหตุการณ์”
ร่วมกันก่อให้เกิดผลดี ทุกเหตุการณ์จริงๆ หรือ? ผมว่ามันน่าจะเพียง “บางเหตุการณ์”
ร่วมกันทำให้เกิดผลดี
แต่ผมเข้าใจและยอมรับว่า
ในเหตุการณ์ที่ทุกข์ยากลำบากเราจะได้เรียนรู้บทเรียนแห่งความเชื่อที่ไม่สามารถเกิดขึ้นด้วยวิธีการอื่น
และผมก็ยอมรับเช่นกันว่าบางเหตุการณ์ร่วมกันก่อให้เกิดผลดีได้ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างว่า
ทุกเหตุการณ์ร่วมกันแล้วก่อให้เกิดผลดี?
คำกล่าวเช่นนี้ดูจะจริงเมื่อเป็นคำกล่าวในเชิงคริสต์ศาสนศาสตร์
หรือดูจริงเมื่อเป็นคำกล่าวทางด้านความเชื่อศรัทธา แต่จะเป็นจริงในทุกแง่มุมในชีวิตทุกด้านหรือ?
ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
เลยที่คนส่วนใหญ่จะบอกว่า พระธรรมโรม 8:28
เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ผู้คนชื่นชอบ จะมีหลายคนที่เป็นพยานว่า เมื่อเขาเจ็บป่วย
พระคัมภีร์ข้อนี้เป็นยาที่ชโลมจิตวิญญาณของเขา เมื่อคนที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รัก
พระธรรมข้อนี้เป็นกำลังที่ช่วยให้เขาสามารถข้ามทะลุในเวลาที่แสนเจ็บปวดนั้น
และเมื่อต้องถูกกระหน่ำด้วยมรสุมแห่งชีวิต
พระคัมภีร์ข้อนี้ให้ความหวังที่ทำให้ชีวิตเดินต่อไปได้
อย่าตกใจนะครับถ้าผมจะบอกว่า จากที่เคยพูดคุยกับเพื่อนฝูง คนรู้จัก
นักศึกษาพระคริสต์ธรรม หรือเพื่อนศิษยาภิบาลหลายท่านที่มีความสงสัยเรื่องนี้ในจิตใจ
เมื่อเขาได้ยินข้อความในพระธรรมตอนนี้
ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องจรรโลงจิตวิญญาณ แต่เป็นเหมือนว่าตนกำลังถูกเยาะเย้ยล้อเลียน ด้วยคำถามว่า
“หมายความว่าอะไรกันแน่ที่ว่า
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดกับเราในชีวิตร่วมกัน(ทำให้)ก่อเกิดผลดี”
ที่พูดอย่างนี้หมายความว่าอะไรกันแน่?
ความเจ็บป่วยเป็นผลดีหรือ
การถูกฆ่าตายเป็นผลดีหรือ
การหย่าร้างเป็นผลดีหรือ
การฆ่าตัวตายเป็นผลดีหรือ
การตายของเด็กอายุเพียงน้อยนิดเป็นผลดีหรือ
ที่ว่า “ผลดี” นั้นหมายความว่าอะไรกันแน่?
คงต้องยอมรับว่า บางครั้งที่มีการใช้พระคัมภีร์ข้อนี้ไปในทางที่ผิด หรือ
ใช้ไปในความหมายที่คลาดเคลื่อนจากความตั้งใจของเปาโล บ่อยครั้งที่พระคัมภีร์ข้อนี้ถูกโยนใส่คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก
เหมือนกับว่าพระคัมภีร์ข้อนี้สามารถตอบปัญหาชีวิตได้ทุกเรื่องทุกประเด็น
เมื่อมีการใช้พระคัมภีร์ข้อนี้อย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความหมายเดิมของเปาโลย่อมทำให้เกิดผลกระทบด้านตรงกันข้ามกับที่เปาโลตั้งใจให้เกิดขึ้น
ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบพระคัมภีร์ข้อนี้ พระคัมภีร์ข้อนี้ก็ยังอยู่ในพระคัมภีร์ของคริสตชน จะไม่หายไปไหน ทำให้เราต้องกลับมาถามคำถามพื้นฐานว่า แล้วเรายังเชื่อในพระคัมภีร์โรม 8:28 ได้หรือไม่?
ข้อพิจารณาสี่ประการที่จะช่วยเราในการตอบคำถามข้างต้นนี้ ดร. เวอนอน กราวดส์ (Dr. Vernon
Grounds) ผู้อำนวยการวิทยาลัยพระคริสต์ธรรมเดนเวอร์
(president of Denver Seminary)
เป็นผู้ที่ให้ข้อพิจารณาทั้งสี่ประการดังกล่าว ซึ่งผมไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน
เราต้องเริ่มต้นกับพระเจ้า
สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านพระคัมภีร์เข้าใจคลาดเคลื่อน
หรือ
เกิดความสงสัยต่อสัจจะความจริงในข้อพระคัมภีร์บางข้อเพราะขึ้นอยู่กับการแปลพระคัมภีร์
ผมขออนุญาตใช้ตัวอย่างการแปลพระคัมภีร์ในภาษาไทย โดยใช้โรม 8:28 เปรียบเทียบสำนวนแปล 3 สำนวนด้วยกันดังนี้
สำนวนแปล 1 ฉบับมาตรฐาน
“เรารู้ว่า
เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า...”
สำนวนแปล 2 ฉบับ 1971
“เรารู้ว่า
พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง...”
สำนวนแปล 3
อมตธรรม
“เรารู้ว่า ในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์...”
เราเห็นความต่างในสำนวนแปลของทั้ง
3 สำนวนใช่ไหมครับ?
สำนวนแปลแรก
เน้นความสำคัญที่เหตุการณ์ต่างๆ ร่วมกันก่อให้เกิดผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า ในขณะที่สำนวนแปลที่สอง
เน้นว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง(ในทุกเหตุการณ์) ส่วนสำนวนที่สาม เน้นว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำให้เกิดผลดีในทุกสิ่งแก่คนที่รักพระองค์
ซึ่งการเน้นจุดสำคัญที่แตกต่างกันเช่นนี้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ผู้อ่านพระคัมภีร์มีโอกาสที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ที่แตกต่างกันออกไป หรือคลาดเคลื่อนจากความหมายดั้งเดิมได้ ในที่นี้ผมมิได้หมายความสำนวนไหนแปลผิดและสำนวนไหนแปลถูก แต่ผมเพียงต้องการตั้งข้อสังเกตว่า
คริสต์ศาสนศาสตร์ของผู้แปลพระคัมภีร์มีส่วนสำคัญและสร้างผลกระทบต่อผู้อ่านพระคัมภีร์เป็นอย่างมาก
(และที่แปลแตกต่างกันนี้ก็ต้องยอมรับว่า
ต้นฉบับในภาษาเดิมของพระคัมภีร์มีลักษณะไม่ชัดเจนที่จะฟันธงลงไปได้ ดังนั้น
ศาสนศาสตร์ของผู้แปลจึงมีผลพลังต่อความคิด ความเชื่อ
และความเข้าใจของผู้อ่านพระคัมภีร์)
ในสำนวนแปลแรก
ผลดีที่เกิดขึ้นเป็นการเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ ร่วมกันแล้วเกิดผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า ความเชื่อที่ให้พระเจ้ามีบทบาทตอนท้ายสุด แต่ผู้เชื่อประเภทนี้เชื่อในเหตุการณ์ทั้งสิ้น
แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าสลดแต่ในตอนสุดท้ายพระเจ้าจะทรงกระทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องเกิดผลดี ความเชื่อของคนประเภทนี้เป็นความเชื่อแบบ
“ทอดลูกเต๋า” จะมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบางครั้งดี บางครั้งเลว เหมือนทอดลูกเต๋าบางครั้งได้บางครั้งเสีย
คนกลุ่มนี้จะเชื่อต่อไปว่าในที่สุดพระเจ้าจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี
เกิดผลดี
แล้วความเชื่อเช่นนี้ต่างอะไรกับการเชื่อแบบคนที่เชื่อ “โชคชะตา”
เพียงผู้เชื่อกลุ่มนี้คาดหวังให้พระเจ้าทำทุกอย่างให้เกิดผลดีในตอนท้ายเท่านั้น ผู้เชื่อกลุ่มนี้มักจะกล่าวว่า
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นพระพร” นั่นคงเป็นเรื่องเล่าในนิยาย มิใช่ในชีวิตจริง
ในความเป็นจริงแล้ว ในทุกเหตุการณ์ของชีวิต คริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นเหตุการณ์ และทรงอยู่ในตอนท้ายเหตุการณ์ และพระองค์ทรงอยู่ในตลอดทุกๆ สถานการณ์ของชีวิต พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในทุกๆ เหตุการณ์ในชีวิตของเรา
มิใช่โชคชะตาที่เป็นผู้กำหนดผลที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา และนี่เป็นคำตอบตรงต่อคำถามที่ว่า
“แล้วพระเจ้าอยู่แห่งหนใดเมื่อเราเจ็บปวดในชีวิต?” พระเจ้าอยู่ตั้งแรกแรกเริ่มของเหตุการณ์?
หรือ พระเจ้าอยู่ตอนท้ายของเหตุการณ์?
คำตอบจาก โรม 8:28 สำนวนแปลที่สามบอกเราว่า
พระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นก่อนเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น
และพระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นด้วยเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น และพระองค์ยังทรงอยู่ที่นั่นหลังเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว
พระองค์อยู่ที่นั่นและทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในสถานการณ์นั้นๆ “ในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์”(อมตธรรม)
เด็กเล็กมักกลัวความมืดในเวลาค่ำคืน
ที่เด็กกลัวมากเพราะเขามองอะไรไม่เห็นในความมืด เขาร้องไห้ด้วยความกลัว
จนกว่าพ่อหรือแม่เข้าไปในห้องนั่งลงบนเตียงและอุ้มเด็กน้อยไว้ พร้อมกับบอกว่า “ไม่ต้องกลัว
พ่ออยู่กับลูก” ความกลัวมลายหายไปเมื่อพ่อมาอยู่ด้วย” เช่นกัน ในทุกสถานการณ์ที่เลวร้ายในชีวิต เป็นเสมือนชีวิตตกอยู่ในความมืดมิด ทำให้เราเกิดความประหวั่นกลัว
แต่เราจะหายกลัวเมื่อรู้ว่าพระบิดาอยู่ด้วยในความมืดมิดแห่งชีวิตนั้น สถานการณ์ชีวิตยังอยู่ในความมืดมิด แต่เพราะพระเจ้าอยู่ในความมืดมิดแห่งชีวิตกับเรา นั่นทำให้ทุกสิ่งในชีวิตแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และนี่คือมุมมองของคริสตชนตามพระคัมภีร์
แม้เหตุการณ์ทุกข์ยากเลวร้ายเกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรา หรือ แก่ชีวิตคนที่เรารัก เพื่อนบ้านเพื่อนฝูงของเราก็ตาม
มุมมองที่ว่า
ในทุกสถานการณ์ชีวิตพระเจ้าทรงอยู่ด้วย
นี่คือจุดสร้างความแตกต่างอย่างมากมายต่อการดำเนินชีวิตและความเชื่อศรัทธา ในตอนต่อไปเราจะร่วมกันพิจารณาต่อไปว่า
แล้วเราจะมีมุมมองเช่นนี้ได้อย่างไร
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น