25 มิถุนายน 2555

รับใช้ด้วยรักและเสรี


พี่น้องทั้งหลาย  ที่ทรงเรียกท่านนั้นก็เพื่อให้มีเสรีภาพ
แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่านเพื่อปลดปล่อยตัวตามวิสัยบาป(ตามเนื้อหนัง ความอยาก ใจปรารถนาของตนเอง)
แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก
บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
หากท่านยังคอยกัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน 
(กาลาเทีย 5:13-15 อมตธรรม ในวงเล็บของผู้เขียน)         

พระเยซูคริสต์ได้บัญชาให้คนที่ติดตามพระองค์ว่าให้รับใช้กันและกัน  เป็นคำสอนที่คริสตชนภูมิใจว่าเป็นคำสอนที่ดีและเป็นคำสอนที่เป็นจุดเด่นประการหนึ่งของคริสต์ศาสนา   แต่ในชีวิตจริงคริสตชนน้อยคนนักที่ถ่อมใจถ่อมชีวิตยอมเชื่อฟังและทำตามอย่างเต็มใจ   เพราะการที่ใครจะทำตามพระบัญชานี้ได้ต้องเป็นคนที่ “ยอมถ่อม” และยอมที่จะเป็นผู้ให้หรือเป็นผู้ที่จะยอมสูญเสียสิ่งอื่นๆ เพื่อสามารถทำตามพระบัญชาประการนี้ได้   การรับใช้กันและกัน การรักคนอื่นก่อนเป็นเรื่องของการ “ยอมสละตนเอง” (เยี่ยงพระคริสต์)   และยิ่งถ้าเป็นการ “ยอมสละตนเอง” แก่คนที่เรามองว่า เป็นคนที่ไม่เอาไหน  เป็นคนที่เราไม่ชอบหน้า  คนที่เราไม่เห็นคุณค่า  คนที่เรารู้สึกว่าขัดขวางทางของเราที่จะไปสู่เป้าหมายปลายทาง  หรือ คนที่เรามองว่าเป็นคนมีปัญหา   โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะให้เรายอมสละตนเองให้กับคนที่มาขวางทางใจปรารถนาของเราได้อย่างไรกัน?

วันนี้ผมถูกเสียงในใจถามตรงๆ ว่า “ที่ว่ารับใช้ รับใช้ นั้นหมายความว่าอะไรกันแน่?”

ใช่ซินะ  เราพูดคำนี้จนติดปาก แต่เราไม่ได้ทำจนติดเป็นนิสัย

เมื่อทบทวนภาพชีวิตของพระเยซูคริสต์   ทำให้เกิดความละอายใจที่เราพูดเรื่องการรับใช้มากมาย   แต่การกระทำกลับหาเจอยากและบ่อยครั้งที่เราทำตรงกันข้ามกับการรับใช้ที่เราพูดถึง   เมื่อใคร่ครวญถึง “การรับใช้” ของพระคริสต์   ทำให้เห็นตัวอย่างของพระองค์ แล้วทำให้ตนเองรู้สึกว่ามีชีวิตที่ห่างไกลจากภาพเหล่านั้นเสียเหลือเกิน

พระเยซูคริสต์ทรงยอมสละทุกอย่างในสวรรค์สถานแล้วยอมถ่อมพระองค์ลงมามีชีวิตท่ามกลางมนุษย์
ยอมอยู่ใต้มนุษย์ที่ไม่ให้เกียรติแก่พระองค์  อยู่ท่ามกลางมนุษย์ที่อ่อนแอ ใจโลเล

พระเยซูคริสต์รักแม้แต่คนที่ปฏิเสธ และ ต่อต้านพระองค์

พระเยซูคริสต์มิเพียงมีใจถ่อมลงเท่านั้น  พระองค์ดำเนินชีวิตที่ถ่อมด้วย ยอมล้างเท้าให้เหล่าสาวกของพระองค์
ซึ่งแทนที่สาวกจะล้างเท้าให้กับพระองค์   หน้าที่ล้างเท้านี้คือหน้าที่ของทาสรับใช้  และเมื่อพระองค์
สอนว่า ให้เรารับใช้ซึ่งกันและกัน  ก็สอนให้เรารับใช้เยี่ยงทาสต่อกันและกันด้วย  ไม่ใช่รับใช้ตามฐานะ
ตำแหน่งอย่างหลักคิดของพวกเรา

พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าพระบิดา  แต่สำแดงให้เราเห็นแล้วว่า จิตวิญญาณของพระองค์คือรับใช้
คนอื่น  รับใช้มนุษย์ที่พระองค์มาอยู่ด้วย  ด้วยใจรักและเมตตาอย่างไร้ขอบเขตและเงื่อนไข   ทั้งๆ ที่
พระองค์รู้อยู่แก่ใจว่า สาวกเหล่านี้จะทอดทิ้งพระองค์ในยามวิกฤติก็ตาม พระองค์ก็ยังรับใช้สาวกเหล่านี้

การรับใช้ที่สำคัญสูงสุดของพระเยซูคริสต์คือ การรับใช้ด้วยการให้ชีวิตของพระองค์เองแก่ทุกคน  ในขณะที่ทุกคนตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความบาปชั่ว (โรม 5:8)   ดังนั้น  การรับใช้ของพระคริสต์มิใช่รับใช้ด้วยริมฝีปาก  แต่เป็นการรับใช้เป็นนิสัยและเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของพระองค์  การรับใช้เป็นทั้งจุดยืนในชีวิต ความคิด ท่าที และการกระทำทุกอย่างในชีวิต   ในฐานะที่เราเรียกตนเองว่า “คนติดตามพระคริสต์” “สาวกของพระเยซู” เราควรรับการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเราให้เติบโตขึ้นเป็นอย่างพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน

ดังนั้น “การรับใช้” เริ่มต้นจากการที่ “เรายอมตายจากความเห็นแก่ตัวในตนเอง” ทั้งวิธีคิด  ทัศนคติ  สิ่งกระตุ้นเร้าดลใจ สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นรากฐานก่อน   จากนั้น ตั้งเป้าหมายชีวิตว่า จะมีชีวิตและดำเนินชีวิตทุกวันเพื่อมีชีวิตที่ถวายพระเกียรติและเป็นที่สรรเสริญพระเจ้า   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ผู้คนได้เห็นและสัมผัสกับการดำเนินชีวิตการรับใช้ของเราในแต่ละวันแล้วคนเหล่านั้นเกิดจิตใจขอบพระคุณ และ สรรเสริญพระเจ้า (มิใช่เพียงสรรเสริญจากปากของเราเองเท่านั้น)

ทุกวันนี้หลายต่อหลายคนที่พยายามทุกวิถีทางที่จะให้ชีวิตก้าวไปสู่ความสุขและความสำเร็จ “ตามใจปรารถนา ตามความคิดความเข้าใจของตนเอง”  ผลที่ได้รับคืออะไร?
ความเหน็ดเหนื่อย  ล้า  อ่อนแรงอ่อนใจ
ความสิ้นหวัง
ความไม่พอใจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่พอใจคนอื่น
ความเครียด  ความกังวล
ความโกรธ  พัฒนาไปสู่ความเกลียด
ความเศร้าเสียใจ  ย่อท้อ  ...

ความพึงพอใจ สงบและสุขใจ จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน   พระองค์จะทรงชี้แนะเราถึงการถ่อมชีวิตจิตใจของเราแล้วให้ความสนใจเอาใจใส่ชีวิตจิตใจของผู้อื่นแทนใจปรารถนาของตนเอง  ที่เราทำสิ่งเหล่านี้ได้เพราะ พระเยซูคริสต์จะทรงหนุนเสริมพลังแก่เราทั้งในความคิดความเข้าใจ  ทัศนคติ  ท่าทีที่แสดงออก  ตลอดจนการกระทำและการดำเนินชีวิตประจำวันของเราโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์  เวลาเช่นนั้นเองเราจึงสามารถรับใช้ผู้อื่นเยี่ยงพระคริสต์   และในเวลานั้นเองที่เกิดพระพรทั้งในชีวิตของเรา  เพื่อนบ้าน และคนที่เป็นศัตรูของเราด้วย

เสรีภาพในชีวิตจิตใจที่แท้จริงคือ   มีเสรีภาพที่จะรับใช้ด้วยรักเมตตาอย่างพระคริสต์ที่เป็นรักเมตตาที่ไร้ขอบเขตและเงื่อนไข   เป็นเสรีภาพที่อยู่เหนือความยิ่งใหญ่สำคัญของตนเอง  เป็นเสรีภาพที่ “ยอมและถ่อม”   เป็นเสรีภาพที่รับใช้   เป็นเสรีภาพที่ให้ด้วยรักแทนการเรียกร้องด้วยความชอบธรรม   เป็นชีวิตที่อยู่เพื่อเพื่อนมนุษย์ตามพระประสงค์ของพระเจ้าแทนใจปรารถนาของตนเอง   เป็นชีวิตที่ได้ยินเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าแทนการบูชาติดยึดกับเสียงของตนเอง

วันนี้เรามีเสรีภาพในพระเยซูคริสต์ที่จะรับใช้ผู้คนตามแบบพระคริสต์และตามพระประสงค์ของพระเจ้าหรือยัง?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น