แต่ข้าพระองค์ทุกข์ยากและเจ็บปวด ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์
พิทักษ์รักษาข้าพระองค์
ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามของพระเจ้าด้วยบทเพลง ข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ
...
ขอให้บรรดาผู้ถ่อมใจเห็นการนั้นและยินดี
ท่านเสาะหาพระเจ้า
ขอให้ใจของท่านฟื้นชื่นขึ้น
พระยาเวห์ทรงฟังคนขัดสน
และมิได้ดูหมิ่นคนของพระองค์ที่ถูกจำจอง
(สดุดี 69:29-33)
วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะความเจ็บปวดของข้าพเจ้า บาดแผลของข้าพเจ้าก็สาหัส
แต่ข้าพเจ้าเคยว่า
“แท้จริงนี่เป็นความเจ็บป่วย
และข้าพเจ้าจะต้องทนเอง”
เพราะว่าผู้เลี้ยงแกะก็เขลา และไม่ได้ทูลถามพระยาเวห์
เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่จำเริญขึ้น
และฝูงแกะของเขาก็กระจัดกระจายไป
(เยเรมีย์ 10:19, 21)
พระเจ้าทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ
หยดจากตาของเขาทั้งหลาย
และความตายจะไม่มีอีกต่อไป
ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป
เพราะยุคเดิมผ่านพ้นไปแล้ว
(วิวรณ์ 21:4)
การรู้สึก “เจ็บ” หรือ “ปวด”
เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ทั้งด้านร่างกาย และ จิตใจ รวมถึงจิตวิญญาณของคนเรา
การรู้สึกเจ็บปวดมักถูกมองไปในทางลบ เป็นความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์ เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องการได้รับหรือให้เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเอง
เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วเกิดผลกระทบเชิงลบ ทำให้เกิดความหดหู่ใจ ทุกข์ ทรมาน
ตลอดจนหงุดหงิด
หรือเกิดความเครียด ดังนั้น หลายคนจึงพยายามหลีกเลี่ยง หรือ
ป้องกันมิให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดในชีวิต
แท้จริงแล้วการที่พระเจ้าทรงสร้างแต่ละคนมาให้สามารถรับรู้ความรู้สึกด้านต่างๆ รวมถึงการรู้สึกเจ็บปวดในชีวิตของเราด้วย กล่าวได้เต็มปากว่า การรู้สึกเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของ “การมีชีวิต”
ในมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง
และเราควรขอบพระคุณพระเจ้าอย่างมากที่ให้ “การรู้สึกเจ็บปวด”
เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและการเจริญเติบโตของชีวิต ทั้งนี้เพราะการที่คนเรา “รู้สึกเจ็บปวด”
ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณนั้นเป็นสัญญาณเตือนถึง “อันตราย เหตุร้าย
ความเสื่อมทรุด” กำลังคืบคลานเข้าปะทะชีวิตของเรา อาจจะทางร่างกาย จิตใจ หรือจิตวิญญาณ
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเผลอไปจับกาน้ำที่ร้อนจัด เพราะเรารู้สึกร้อน ศูนย์ประสาทของเราสั่งการให้เราหดมือของเราออกทันที หรือ การที่เราปวดศีรษะ
เราจะค้นหาสาเหตุว่าอะไรที่ทำให้เราปวดศีรษะ
เพื่อที่จะหาทางบำบัดเยียวยาให้หายจากการปวดศีรษะ ยิ่งกว่านั้น
ถ้ารู้ต้นเหตุของการทำให้เกิดการปวดศีรษะ
เราก็จะได้หลีกเลี่ยง หรือ เลิกที่จะกระทำ
หรือไม่นำตนเองเข้าสู่ภาวะแห่งต้นเหตุของการทำให้ปวดศีรษะดังกล่าว
ผมเคยอ่านคู่มือสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อน ในหัวข้อสิ่งที่พึงระวัง มีสองประการที่ผมจำได้คือ ผู้ป่วยโรคเรื้อนไม่ควรใช้ของมีคม และ ไม่ควรนั่งผิงไฟ หรือ
นั่งใกล้กองไฟ
ในคู่มือให้เหตุผลว่า
เพราะในส่วนของร่างกายที่ถูกทำลายจากโรคเรื้อน ประสาทความรู้สึกจะหมดสภาพการรับรู้ จึงทำให้ร่างกายบริเวณนั้นๆ หมดความรู้สึก และถ้าผู้ป่วยโรคเรื้อนใช้ของมีคมและถูกบาดก็จะไม่มีความรู้สึก ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ในทำนองเดียวกัน การที่ผู้ป่วยโรคเรื้อนนั่งผิงไฟ นั่งใกล้กองไฟอาจจะถูกไฟลามไฟลวก แต่เนื่องจากไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด หรือ
ความรู้สึกแสบร้อน
ไฟก็จะลวกไหม้ผู้ป่วยคนนั้นและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ในด้านหนึ่งการรู้สึกเจ็บปวดย่อมมีคุณมากมายต่อการขับเคลื่อนการดำรงชีวิตของเรา
เพราะเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย จิตใจ
และจิตวิญญาณของเรา อยู่ที่ท่าทีและการตอบสนองของคนๆ
นั้นต่อสัญญาณที่เกิดขึ้นในชีวิตของตน
พระเจ้าทรงสร้างระบบความรู้สึก และ
จิตสำนึกไว้ในระบบการขับเคลื่อนชีวิตของคนเรา
เพื่อเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงสภาพชีวิตที่กำลังเป็นอยู่เฉกเช่นปรอทที่บอกถึงอุณหภูมิในร่างกายของเรา ความเจ็บปวดเป็นระบบภูมิคุ้มกันของชีวิตที่สะท้อนให้เรารู้ถึงภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา คนๆ นั้นจะ “หยุด”
การขับเคลื่อนชีวิตให้ช้าลง
และเพ่งพินิจพิจารณาถึงสาเหตุ และ ภัยที่กำลังคืบคลาน หรือ
ถาโถมเข้ามาในชีวิตของเรา
และมีสติที่จะรับมือ หรือ หลีกเลี่ยง ป้องกันภัยเหล่านั้น
ดังนั้น
เมื่อการเจ็บปวดเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
อยู่ที่ว่าเรามองการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นว่าเป็นภัยคุกคามทำลายความสุขของเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจที่จ้องล้างผลาญเรา
หรือเราจะมองการเจ็บปวดด้วยมุมมองสายตาแห่ง “ความเป็นมิตร”
ที่หวังดีและส่งสัญญาณเตือนภัยที่กำลังแทรกซึม หรือ จู่โจมเข้ามาในชีวิตของเรา
เพื่อเราจะสามารถตอบสนองอย่างรู้เท่าทัน
สำหรับคริสตชนแล้ว
การที่เรายังมีความเจ็บปวดในชีวิต นั่นเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเรายังมีชีวิตอยู่
และเป็นโอกาสที่เราจะเพ่งพินิจพิจารณาชีวิตของเราที่กำลังขับเคลื่อนไป พร้อมๆ กับแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าท่ามกลางความเจ็บปวดนั้น
เพื่อเราจะพบประกายสว่างแห่งชีวิตที่จะจุดไฟชีวิตของเราให้สว่างมีพลังขับเคลื่อนไปในเส้นทางชีวิตตามพระประสงค์อีกครั้งหนึ่ง
โรคที่น่ากลัวสำหรับคริสตชนในปัจจุบันคือ
“โรคจิตวิญญาณด้านชา” หรือ ที่ผมชอบใช้คือ “โรคจิตวิญญาณตายด้าน” คนกลุ่มนี้หมดความรู้สึกทางจิตวิญญาณ ดังนั้น
จึงหมดโอกาสที่จะรู้เท่าทันสภาพชีวิตจิตวิญญาณของตนเอง
นอกจากชีวิตจิตวิญญาณตกอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงและภัยอันตรายโดยเจ้าตัวไม่ตระหนักสำนึกแล้ว ชีวิตจิตวิญญาณของคนๆ นั้นจะไม่พบกับการปรับเปลี่ยน พัฒนา
การเจริญเติบโต
และเกิดผลในชีวิตต่อไป
การรับมือกับความเจ็บปวดในชีวิต
บุคคลหนึ่งที่ผมชื่นชอบในการดำเนินชีวิตของเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตของเขาต้องได้รับการเจ็บปวด
ทั้งที่เป็นเพราะท่าทีหรือการกระทำของตนเองในชีวิต หรือการที่ได้รับการตอบโต้ที่รุนแรงเกินพอดี
หรือได้รับความเจ็บปวดในชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม
แต่สิ่งที่ผมชื่นชมในตัวโยเซฟเมื่อเขาได้รับความเจ็บปวดในชีวิตคือ เขามิได้ถามว่าทำไมความเจ็บปวดนี้ถึงเกิดขึ้นกับตน
เขามิได้พยายามค้นหาหรือพิสูจน์ว่าใครทำให้เขาเจ็บปวดในชีวิต แต่เมื่อเขาได้รับความเจ็บปวดในชีวิตเขาถามว่า
พระเจ้าประสงค์ให้เขาทำอะไรอย่างไรในสถานการณ์ของความเจ็บปวดนั้น
เขาแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าในเวลาเช่นนั้น และเขาเฝ้าดูพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของเขาและผ่านชีวิตของเขา ในชีวิตที่เจ็บปวดของโยเซฟเขากลับได้รับพระพรและเป็นพระพรสำหรับคนอื่น และพระเจ้าทรงใช้ชีวิตของเขาอย่างเป็นกระบวนการเป็นขั้นเป็นตอนเลยทีเดียว
ชีวิตของโยเซฟได้รับความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เป็นเหตุการณ์ความเจ็บปวดในชีวิตครั้งใหญ่ๆ
เช่น
1. โยเซฟถูกพี่ชายขายให้กับพ่อค้าชาวมีเดียน ทำให้เขาต้องถูกแยกจากพ่อที่เขารักและผูกพัน ต้องไปอยู่ในอียิปต์แผ่นดินต่างแดน (ปฐมกาล 37:12-36)
2. ถูกขายเป็นทาส ต้องเป็นทาสรับใช้และทำงานในบ้านของโปทิฟาร์
(ปฐมกาล 39:1-6)
3. ถูกใส่ร้ายจากนายหญิง และ
ถูกขังในคุกนักโทษเด็ดขาด ทั้งๆ ที่ตนพยายามรักษาชีวิตมิให้ทำผิดจริยธรรมทางเพศ
(ปฐมกาล 39:7-23)
4. ถูกเพื่อนที่เคยติดคุกด้วยกันที่โยเซฟทำนายฝันให้อย่างแม่นยำและถูกต้อง ได้รับการปลอดปล่อยจากการติดคุก แล้วลืมโยเซฟทั้งๆ ที่สัญญากันอย่างมั่นเหมาะว่าจะช่วยโยเซฟ
(ปฐมกาล 40:1-23)
แต่เมื่อย้อนทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของโยเซฟกลับพบว่า
ชีวิตของเขาเหมือนก้าวขึ้นบันไดไปทีละก้าวอย่างที่มีการวางแผนชัดเจนไว้
กล่าวคือ...
ถ้าโยเซฟไม่ถูกขายมายังอียิปต์
เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะเป็นทาสรับใช้ในบ้านของโปทิฟาร์,
ถ้าเขาไม่ได้เป็นทาสรับใช้ในบ้านของโปทิฟาร์
เขาก็จะไม่พบกับนายหญิงที่มายั่วยวนทางเพศ,
ถ้าเขาไม่ปฏิเสธที่จะทำตามใจปรารถนาของนายหญิง
โยเซฟก็จะไม่ติดคุก,
แต่ถ้าโยเซฟไม่ติดคุก
เขาก็จะไม่พบกับเพื่อนสองคนที่โยเซฟช่วยทำนายฝัน,
ถ้าโยเซฟมิได้ทำนายฝันให้เพื่อนนักโทษอย่างถูกต้อง
ก็ไม่มีโอกาสที่ฟาโรห์จะรู้ว่าโยเซฟทำนายฝันได้อย่างถูกต้องแม่นยำและเป็นจริง,
ถ้าโยเซฟไม่มีโอกาสที่จะทำนายฝันให้แก่ฟาโรห์
ฟาโรห์ก็ไม่มีโอกาสได้พบโยเซฟ
และเห็นถึงการที่พระเจ้าสถิตในโยเซฟ,
ถ้ามิใช่เพราะฟาโรห์ได้เห็นว่าพระเจ้าสถิตกับโยเซฟ
โยเซฟอาจจะไม่ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่แทนฟาโรห์,
ถ้าโยเซฟไม่เป็นมหาอุปราช ก็จะไม่มีโอกาสบริหาราชการแผ่นดินอียิปต์ในการรับมือกับภัยแล้ง,
ถ้าโยเซฟมิได้เป็นมหาอุปราชแห่งอียิปต์ในเวลานั้น ไม่รู้ว่าภัยแล้ง 7
ปีในครั้งนั้นจะคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาลแค่ไหน
รวมทั้งครอบครัวใหญ่ของยาโคบด้วย
น่าสังเกตว่า
ทุกขั้นตอนของการเจ็บปวดในชีวิต ทำให้เกิดสิ่งดีในสถานการณ์ความเจ็บปวดนั้นๆ อีกทั้งยังส่งต่อไปสู่สถานการณ์ใหม่ๆ โยเซฟไม่รู้ว่าข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดความเจ็บปวดในชีวิตสิ่งที่เขาเฝ้ามองและใคร่ครวญคือ พระเจ้ามีพระประสงค์อะไร พระองค์กำลังจะทำอะไร และเพื่อที่จะทรงให้เกิดอะไรขึ้น
โยเซฟสรุปประสบการณ์ตลอดชีวิตของเขา ครั้งเมื่อเปิดเผยตนกับพวกพี่ๆ ในอียิปต์ว่า “แต่บัดนี้อย่าเสียใจและอย่าโกรธตนเองที่ได้ขายเรามาที่นี่
เพราะว่าพระเจ้าทรงส่งเรามาล่วงหน้าพวกพี่เพื่อช่วยคนทั้งหลาย... ดังนั้น จึงไม่ใช่พวกพี่ที่ส่งเรามาที่นี่ แต่เป็นพระเจ้าเอง...” (ปฐมกาล 45:5,
8 อมตธรรม)
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
ไม่ว่าชีวิตของเราจะตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นไรก็ตาม ได้สร้างความเจ็บปวดแค่ไหนแก่ชีวิตเราก็ตาม โปรดสงบและรู้เถิดว่า
พระเจ้าทรงมีแผนการของพระองค์ในชีวิตของเราที่ตกในความเจ็บปวดนั้น เพื่อกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา และ
ผ่านชีวิตของเรา
จนเกิดผลตามแผนการของพระองค์ มิใช่ตามใจปรารถนาของเรา
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น