ความคิดเรื่องประชาธิปไตยตามกระแสสังคมผลประโยชน์นิยมตามอิทธิพลของบริโภคนิยมในปัจจุบัน ทำให้คริสตชนต้องกลับมาทบทวนและใคร่ครวญตนเองว่า
บนรากฐานแห่งความเชื่อศรัทธาของเราอะไรคือจุดยืนของเราในการดำเนินชีวิตคริสเตียนในสังคมโลกนี้
ประเด็นหนึ่งที่พึงนำมาพิจารณาคือ
“จะรักเมตตาหรือจะเรียกร้อง(สิทธิ)” แท้จริงแล้วในฐานะคริสตชนเราเชื่อว่า “สิทธิ”
เป็นของประทานจากพระเจ้ามิใช่ “เป็นสิ่งที่เรามีเอง” ปัจจุบันเรามักเข้าใจว่า
“สิทธิ(เป็น)ของเรา” เราต้องเรียกร้องทวงคืนมาถึงจะมีความยุติธรรม ดังนั้น เราจึงมักแยกเรื่องสิทธิ(ของ)เรา
ออกจากความรักเมตตาของพระเจ้า ที่เราพึงมีพึงให้ตามคำสอนของพระคริสต์
แต่เรามักไปยึดเอาหลักคิดประชาธิปไตยแบบผลประโยชน์นิยมสำคัญผิดคิดว่าเป็นหลักยึดทางความเชื่อของคริสตชน ดั่งตัวอย่างในเรื่องของ เอซาวกับยาโคบ
ที่เกิดการขายสิทธิบุตรหัวปี(ปฐมกาล 25:27-34) ซึ่งเป็นสิทธิของเอซาวที่ได้แต่กำเนิด เป็นสิทธิที่ได้จากเบื้องบนที่เอซาวจะต้องเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่คนในตระกูลและสืบทอดตระกูลต่อไป แต่เพราะความหิวและความอยากและขาดความอดทนในชีวิตจึงถูกหลอกล่อจากยาโคบผู้เป็นน้องที่เสนอซื้อขายแลกเปลี่ยนสิทธิบุตรหัวปีกับถั่วแดงต้มร้อนๆ
เพียงถ้วยเดียว
ทั้งสองคนมีส่วนที่ควรได้รับคำประณาม
ที่มิได้เห็นคุณค่าของสิทธิที่เป็นของประทานจากเบื้องบน และ
มิได้เคารพต่อผู้ประทานสิทธินี้แก่ตน
จึงเกิดการซื้อ-ขายสิทธิขึ้น
และการซื้อ-ขายสิทธิครั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับ
ผลประโยชน์ของเอซาวดูจะเป็นผลประโยชน์ใกล้ตัวระยะสั้นคือความหิวจะได้รับการเติมเพิ่มด้วยถั่วแดงต้มและขนมปัง ในขณะที่ยาโคบมองว่าสิทธินี้จะทำให้ตนมี
“อำนาจ” ในการปกครองตระกูล และ ครอบครองทรัพย์สินผลประโยชน์ที่มากกว่า ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือ
ยาโคบช่วงชิงโอกาสในขณะที่พี่ชายหิวและอยาก
โดยการเสนอข้อแลกเปลี่ยนซื้อขายสิทธิครั้งนี้
จะว่าไปก็ดูเหมือนว่ายาโคบเป็นคนที่ฉลาด(แกมโกง)กว่า ซึ่งอาจจะเป็นลักษณะผู้นำที่คนยิวนิยม อย่างที่คนไทยบางกลุ่มนิยมชมชอบคนอย่างศรีธนญชัย
ก็อาจเป็นไปได้ แต่ในฐานะคริสตชนผมยอมรับไม่ได้
ผมหมายความว่า
พระเยซูคริสต์ได้เห็นต่างในเรื่องนี้
คำสอนชุดแรกในพระกิตติคุณมัทธิว
5:38-48 ได้บันทึกว่า
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า
“ตาแทนตา ฟันแทนฟัน’
ส่วนเราบอกพวกท่านว่า
อย่าต่อสู้คนชั่ว
ถ้าใครตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย
ถ้าใครต้องการจะฟ้องศาล
เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่าน
ก็จงสละเสื้อคลุมให้เขาด้วย
ถ้าใครจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
ถ้าเขาขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่ต้องการขอยืมจากท่าน” (5:38-42 ฉบับมาตรฐาน)
แทนที่จะสนใจและให้ความสำคัญกับสิทธิอันพึงจะมีของเรา
บนรากฐานของพระคัมภีร์เราต้องไม่ลืมหรือละเลยการที่มีความรักเมตตาต่อคนที่เอาเปรียบ
หรือ ศัตรูคู่กัดของเรา
และพร้อมที่จะให้อภัยแก่คนที่ข่มเหงเรา
พระคริสต์สอนว่า “แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน”
(5:44)
คริสตชนต้องรู้จักที่จะ
“ปล่อย” และ “วาง” สิทธิแห่งตนเองลง
แต่ควรยึดถือความสัมพันธ์และการดำเนินชีวิตในฐานะประชากรแห่งแผ่นดินของพระคริสต์ แต่นี่มิได้หมายความว่าเราเห็นด้วยหรือยอมให้มีการเหยียบย่ำ
เอาเปรียบ ทำร้ายคนจนคนเล็กน้อยในสังคม
แต่ประเด็นในที่นี้คือ เราจะมีท่าทีและตอบสนองต่อคนเช่นนั้นอย่างไรต่างหาก เราจะตอบสนองคนเหล่านี้ตามหลักการในพระคัมภีร์ได้อย่างไร กล่าวคือ คริสตชนมิใช่ผู้ตัดสินพิพากษาลงโทษความผิดของคนอื่นแต่ในสถานการณ์ที่ขาดแคลนความรักเมตตาเช่นนี้ คริสตชนควรเป็นผู้สำแดง หยิบยื่น และเติมเต็มความรักของพระเจ้าในสถานการณ์ดังกล่าวมากกว่าการยืนขึ้นเรียกร้องสิทธิของตน
หลายคนคงตะโกนในใจดังๆ
ว่า “ทำอย่างงี้แล้วอ้ายพวก...นั้นมันจะได้รู้ตัวและสำนึกผิดได้อย่างไรล่ะ?” บอกตามตรงนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
จะทำให้คนที่เราไม่ชอบเหล่านี้รู้ตัวสำนึกอย่างไร แต่ผมรู้แน่แก่ใจว่า หนึ่ง ผมมิใช่ผู้ที่จะพิพากษาตัดสินเขา
นั่นเป็นหน้าที่ของพระเจ้า
อีกอย่างหนึ่ง
ผมไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปเปลี่ยนความคิดของเขา นอกจากพระเจ้าอีกเช่นกัน
แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้คือจากรูปแบบชีวิตของพระคริสต์ เมื่อพระองค์ถูกเอารัดเอาเปรียบ
ถูกทำร้ายและทำลายจากศัตรูของพระองค์ เมื่อพระองค์ถูกสาวกของพระองค์ละทิ้ง ถูกศิษย์โปรดหัวแก้วหัวแหวนปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ถูกขายโดยสาวกวงในของพระองค์เอง ถูกตอกตรึงบนกางเขน สิ่งที่พระองค์ตอบโต้คือ
อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้ว่า “...โปรดยกโทษพวกเขา” (ลูกา 23:34)
แต่คงมีบางท่านสวนแย้งแสกหน้าไร้สำเนียงในความคิดว่า
“ที่พระเยซูทำเช่นนี้ได้เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราเท่านั้นนี่” ใช่ครับ
ถ้าโดยลำพังในความเป็นมนุษย์ของพระองค์ย่อมทำเช่นนี้ไม่ได้ครับ แต่เราท่านมิได้เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมเท่านั้นนะครับ คริสตชนมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพร้อมกระทำพระราชกิจภายในชีวิตของเราด้วยครับ
อยู่ที่ว่าเราจะยอมทำตามการทรงนำแห่งพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ เราต้องไม่ลืมว่า พระองค์พร้อมและประสงค์ทำพระราชกิจในชีวิตของเรา
และ ผ่านชีวิตของเราครับ
พระกิตติคุณลูกา
6:29 ได้บอกกับเราว่า
การที่เราสามารถหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้กับศัตรูของเรานั้นเพราะเรารักเมตตาศัตรูของเรา
“จงรักศัตรูของท่าน และทำดีแก่คนที่เกลียดชังท่าน” (ข้อ 27) นั่นคือ
ให้สำแดงความรักมิใช่เรียกร้องตามสิทธิ
การที่เราให้ความรักมอบความเมตตาสำแดงความกรุณาเราไม่ได้สูญเสียอะไร แต่สิ่งที่จะได้คือพระพรของพระเจ้า
และหวังอย่างยิ่งว่าผู้คนจะได้สัมผัสกับความรักของพระคริสต์ นั่นคือจุดเริ่มในการเปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมและชุมชนครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น