27 กุมภาพันธ์ 2556

ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นใหญ่


ผู้ใดอ้างว่าอยู่ในพระองค์  ผู้นั้นต้องดำเนินชีวิตอย่างที่พระเยซูคริสต์ดำเนิน 
(1ยอห์น 2:6 อมตธรรม)

ถ้าอย่างนั้น   พระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตแบบไหน?

พระองค์มุ่งหางานที่ดีมีตำแหน่งในตะวันออกกลางหรือ?   พระองค์พยายามทำงานหนักเพื่อมีบ้านหลังใหญ่สวยหรู   และพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีหรือ?   พระองค์ซื้อรถหรูคันใหม่ หรือ อูฐที่แข็งแรงลักษณะดีหรือ?   พระองค์คบค้าหาเพื่อนฝูงที่มีบารมีชื่อเสียงหรือ?   พระองค์ตีสนิทกับคนที่สามารถช่วยพระองค์ได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน  หรือเอื้อให้ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของพระองค์รุ่งเรืองมั่นคงหรือ?   หรือพระองค์คบค้ากับคนที่มีอำนาจหนุนเสริมพันธกิจที่พระองค์ทำหรือ?   แล้วชีวิตครอบครัวของพระองค์เป็นอย่างไรบ้าง?   ภรรยาและลูกๆ ของพระองค์ล่ะเป็นเช่นไร?

พระคัมภีร์ที่เราอ่านวันนี้ทำให้ผมฉงนใจว่า  แล้วผมจะดำเนินชีวิตอย่างไร?

แล้วท่านล่ะ   ท่านคิดว่าท่านจะดำเนินชีวิตแบบไหน?

อะไรคือสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับชีวิตของเรา?

พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า    ถ้าเราเรียกตนเองว่าเป็นคริสตชน   หรืออ้างตนว่าเป็นสาวกของพระคริสต์   เราต้อง “ดำเนินชีวิตอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงดำเนิน” 

สำหรับผมแล้ว  ผมเห็นว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์สำแดงว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพระองค์คือ  การที่พระองค์ทรงมีพระเจ้าพระบิดาเป็นเอกเป็นใหญ่ในชีวิตของพระองค์   ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำและดำเนินชีวิตก็เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระบิดา   เป็นการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า   มิใช่เพื่อเกียรติยศชื่อเสียงของพระองค์เอง   การกระทำทั้งสิ้น  การดำเนินชีวิตทุกขณะของพระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตตามแบบความรักเมตตาของพระบิดา “...เพราะว่าพระองค์(พระบิดา)ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน  และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม... เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเป็นคนดีพร้อมเหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” (มัทธิว 5:45, 48 ฉบับมาตรฐาน)  “เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1ยอห์น 4:8, 16 ฉบับมาตรฐาน)

การมีชีวิตตามอย่างพระเยซูคริสต์หมายถึงการที่เรามีชีวิตที่ “รักซึ่งกันและกัน”  พระเจ้าก็จะสถิตในพวกเรา   และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์ในเรา” (1ยอห์ 4:12)

นอกจากนั้นแล้ว ยอห์นยังได้สอนเราอีกว่า   “อย่ารักโลกและสิ่งของในโลก  ถ้าใครรักโลกความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น” (1ยอห์น 2:15)  “เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และ ตัณหาของตา   และความทะนงใจในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก” (ข้อ 16)  “โลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป   แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์”

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ   เมื่อใดก็ตามที่เราติดตามสิ่งอื่นใดมากกว่าติดตามพระคริสต์   เราเป็นคริสตชนที่กำลังฉ้อฉลและจะหลงวนเวียนใต้อำนาจของบาปชั่ว   เราต้องการการทรงนำ   เราต้องติดตามพระคริสต์   แล้วเราต้องนำคนอื่นให้มาถึงพระคริสต์ด้วย!

“อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้  แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ  แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่   เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า   จะได้รู้ว่าอะไรดี  อะไรเป็นที่ชอบพระทัย  และอะไรยอดเยี่ยม” (โรม12:2 ฉบับมาตรฐาน)   “...ท่านทั้งหลายรู้ว่าการเป็นมิตรกับโลกนั้นคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้าไม่ใช่หรือ?   ...ใครก็ตามที่ต้องการเป็นมิตรกับโลก  ก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า” (ยากอบ 4:4 ฉบับมาตรฐาน)  “...ถ้าข้าพเจ้ากำลังเอาใจมนุษย์อยู่  ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ทาสของพระคริสต์” (กาลาเทีย 1:10 ฉบับมาตรฐาน)

ให้เรากลับไปยังรากฐานแห่งชีวิตของเรา   ให้เราเริ่มต้นวันใหม่ของเราด้วยการอธิษฐานทูลขอพระเจ้า  ได้เมตตาสำแดงว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างพระเยซูคริสต์อย่างไร   หลักการรากฐานที่เข้าใจได้ง่ายๆ คือ   การที่เราให้พระเจ้าทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในการดำเนินชีวิตของเรา   กระทำและดำเนินชีวิตทุกอย่าง ด้วยความรักเมตตาของพระองค์เพื่อถวายพระเกียรติ และ สรรเสริญยกย่องพระองค์ 

วันนี้ให้เรามีความสุขกับการกระทำงาน และ ดำเนินชีวิตเพื่อพระคริสต์ครับ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

25 กุมภาพันธ์ 2556

Lent 6: ความเชื่อศรัทธา…มองทะลุสิ่งที่เห็น


อ่าน สดุดี 121

ข้าพเจ้าเงยหน้าดู(ภูเขา)เนินเขาทั้งหลาย
ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากไหน?
ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
(สดุดี 121:1-2  อมตธรรม,  ในวงเล็บสำนวนฉบับมาตรฐาน)

ในช่วงเวลา Lent หรือมหาพรตในปีนี้   ผมขอเชิญชวนพวกเราใคร่ครวญถึงความเชื่อศรัทธาของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา   ความเชื่อศรัทธาของเราย่อมมีผลต่อความสัมพันธ์ที่เรามีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า    เปาโลได้สอนถึงเรื่องความเชื่อไว้ในจดหมายฝากหลากหลายตอน   และเรื่องความเชื่อศรัทธาเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่าน   ความเชื่อศรัทธาของท่านเป็นเรื่องจริงที่ปรากฏแล้วในประสบการณ์ชีวิตของผู้เชื่อคนอื่นๆ และ ประสบการณ์ชีวิตของท่านเอง   ดังนั้น จึงทำให้ท่านมั่นใจ และ ไว้วางใจที่จะติดตามพระคริสต์ด้วยชีวิตของท่านแม้ว่าท่านต้องเผชิญกับหลายสิ่งที่ในชีวิตท่านที่ยังไม่ปรากฏเป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรมของตน   ท่านสอนว่า “เพราะว่าเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ   ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่เรามองเห็น” (2โครินธ์ 5:7)

สดุดีข้างต้นบทนี้  เขียนจากประสบการณ์ตรงของอิสราเอล   ผู้ประพันธ์เพลงบทนี้เพื่อใช้ร้องโต้ตอบกันของบรรดาผู้เดินทางจาริกไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  อิสราเอลต้องเดินทางผ่านทะเลทรายที่กว้างเวิ้งว้าง   แล้วต้องเผชิญหน้ากับภูเขาที่สูงชัน  และเดินทางเรียบข้างทางที่ฝั่งหนึ่งเป็นหน้าผาที่สูงตระหง่าน  แต่อีกฝั่งหนึ่งเป็นหุบเหวที่ลาดลึกสุดลูกหูลูกตา   และที่สำคัญคือเขาจะต้องออกแรงเดินขึ้นทางชันของภูเขา

เมื่อผู้จาริกสู่กรุงเยรูซาเล็มเขามองเห็นภูเขา...   ใช่เขาเห็นภูเขาที่สูงตระหง่าน   เขารู้ว่าเขาต้องออกแรงทุ่มกำลังที่จะปีนป่ายเขาลูกนี้ไปให้ได้

แต่ผู้จาริกเหล่านี้มองเห็นมากกว่าภูเขาที่สูงชัน  ที่ใหญ่โต  ตั้งมั่นคง หนักแน่น   พวกเขามองเห็นพระผู้ทรงสร้างภูเขานี้   แผ่นดินโลกนี้   ยิ่งกว่านั้น  เขาเห็นผู้ทรงสร้างสวรรค์ที่มิได้ประจักษ์เห็นด้วยสายตาของเขา

ใช่แล้วครับ  ผู้จาริกเหล่านี้เมื่อมองภูเขา  พวกเขาเห็นภูเขา   แต่ด้วยความเข้มแข็งของความเชื่อศรัทธา   เขามองทะลุเห็นเบื้องหลังของภูเขาที่ตั้งตระหง่าน  ใหญ่โต  มั่นคง   เขาเห็นถึงพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และโลก    ความเชื่อศรัทธามิได้อยู่ที่ความยิ่งใหญ่ และ ความมั่นคงของภูเขา    แต่ความเชื่อศรัทธาของพวกเขาอยู่ที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างภูเขาที่สง่า มั่นคง ใหญ่โตนี้   และพระองค์มิได้สร้างเพียงภูเขานี้เท่านั้น   แต่ทรงสร้างทั้งแผ่นดินโลก  จักรวาล  และสวรรค์ด้วย

ยิ่งกว่านั้น พวกเขามองทะลุเห็นถึง การทรงช่วยเหลือ การอุปถัมภ์ค้ำชูที่พระเจ้าทรงมีในชีวิตของตน    ท่ามกลางความอันตรายในการจาริก   เมื่อมองเห็นภูเขาที่สูงทะมึนพวกเขากลับมองทะลุเห็นถึงการทรงอารักขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า   ผู้ทรงตื่นอยู่เสมอ   ปกป้องพวกเขาให้พ้นจากภยันตรายทั้งสิ้น   พวกเขาเห็นถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ทรงอารักขาเขาทุกเวลา “ทั้งการเข้าการออก” ในชีวิตของพวกเขา  

ที่ชนอิสราเอลมองเห็นภูเขาแต่มองเห็นมากกว่าภูเขาเช่นนี้   เพราะเขามองสิ่งล้อมรอบชีวิตด้วยการมองที่มีรากฐานที่หยั่งลงในความเชื่อศรัทธา   ความเชื่อศรัทธาช่วยให้เขามองเห็นสิ่งที่มิได้ปรากฏหรือประจักษ์แก่ตาด้วย   ความเชื่อศรัทธาทำให้เขามองเห็นคุณค่าและความหมายของความทุกข์ยากแสนเข็ญในชีวิต  

ในวันนี้เมื่อเราอ่านพระวจนะ และ อธิษฐานต่อพระเจ้า   ทรงช่วยให้เรามองเห็นมากกว่า  พระคัมภีร์ตอนที่เราอ่านและเข้าใจและเห็นถึงพระองค์ผู้ทรงอยู่เบื้องหลังของเรื่องราวในพระธรรมตอนนั้น   ให้เรามั่นใจว่าเมื่อเราอธิษฐานนั้นมีมากกว่าพูดคุยกับพระเจ้าเท่านั้น

บนรากฐานแห่งความเชื่อศรัทธา   เราได้เห็นถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า   ที่เคยทำพระราชกิจของพระองค์ในอดีตกาล   พระองค์ก็ทรงประสงค์ทำพระราชกิจในชีวิตและผ่านชีวิตของเราแต่ละคนในวันนี้   และพระองค์คาดหวังการตอบสนองของเรา   ทั้งความคิด  จิตใจ  ความไว้วางใจ    การเชื่อฟังและยอมกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์

เมื่อเราอธิษฐานมิเพียงแต่เราระบายความในใจกับพระเจ้า  และพระองค์กำลังฟังเราเท่านั้น    แต่บนรากฐานแห่งความเชื่อศรัทธา   เรามั่นใจว่า  พระองค์จะทรงตอบ  ทรงกระตุ้น  ลุ้น  นำ  และชี้นำทั้งจิตสำนึก  ความเข้าใจ   ความคิด  และความตระหนักชัดว่า  อะไรคือวิถีทางที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เราดำเนินไป

ยิ่งกว่านั้น   เมื่อเราอธิษฐานบนรากฐานความเชื่อศรัทธา   เรามั่นใจว่า  สิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการให้เราดำเนิน และ กระทำแล้ว   พระองค์ทรงเตรียมพร้อมทักษะ ความสามารถ  และของประทาน  ไม่ว่าเครื่องมือ  เพื่อนฝูงรอบข้าง  หรือผู้คนหนุนช่วยพร้อม    เพียงแต่เราต้องกล้าที่จะก้าวออกไปด้วยก้าวแรกแห่งความเชื่อฟังก่อน   แล้วการเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนก้าวต่อๆ มาก็จะปรากฏเป็นจริงขึ้น   และพระเจ้าจะทรงทำให้เรามีความเชื่อศรัทธาที่เติบโต และ แข็งแรงขึ้น

ในวันนี้   เมื่อท่านมองเห็นสามี ภรรยา  ลูก  หลาน  สิ่งต่างๆ   เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   เมื่อท่านพบปะเพื่อนฝูง  เจ้านาย  ลูกน้องในที่ทำงาน   เมื่อท่านได้พบปะสังสรรค์เพื่อนสนิทมิตรสหายในวันนี้    ขอท่านมุ่งมองด้วยดวงตาแห่งความเชื่อศรัทธา   เพื่อท่านจะสามารถมองทะลุสิ่งที่เห็นไปยังองค์ผู้อยู่เบื้องหลังของสิ่งทั้งหลาย   เพื่อที่ท่านจะมองเห็นผู้ที่ค้ำจุนและยกชูชีวิตของผู้คนที่พระองค์ทรงสร้าง    มองเห็นพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของท่าน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ

1. ท่านเคยมีประสบการณ์เหมือนกับผู้เขียนสดุดี บทที่ 121 หรือไม่?  ถ้าเคยขอช่วยเล่าให้ฟังด้วย?

2. อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้การมองเห็นของท่านแต่ละครั้งมองเห็นแต่สิ่งที่ประจักษ์   แต่ไม่สามารถมองเห็นทะลุถึงคุณค่าและความหมายสำคัญสุดที่เราควรจะมองเห็นในฐานะคริสตชน  องค์ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังสิ่งที่เราประจักษ์เห็นนั้น?

ใคร่ครวญภาวนา

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า   ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงเคียงข้างข้าพระองค์ในทุกที่ทุกสถานการณ์   ขอบพระคุณสำหรับพระเมตตาคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อชีวิตของข้าพระองค์

ในวันนี้เมื่อข้าพระองค์มุ่งมองเห็นสิ่งต่างๆ รายล้อมรอบข้าพระองค์   โปรดกระตุ้นหนุนเสริมข้าพระองค์ให้ตระหนักชัดว่า   พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังสิ่งต่างๆ ที่ข้าพระองค์เห็น และ สถานการณ์ต่างๆ ที่ข้าพระองค์ได้พบเจอ   โปรดช่วยข้าพระองค์มีความเชื่อศรัทธาพอที่ข้าพระองค์จะสามารถมองทะลุสิ่งที่เห็น   เพื่อข้าพระองค์จะพบพระองค์ที่ทรงอยู่เบื้องหลังของทุกสิ่ง   และยิ่งกว่านั้นได้รู้ว่าพระองค์มีพระประสงค์อะไรในชีวิตของข้าพระองค์ในคนนั้น  สิ่งนั้น  สถานการณ์นั้นๆ  เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้  และดำเนินชีวิตตามพระประสงค์   ได้ประสบการณ์   เกิดการเติบโตในชีวิตจิตวิญญาณ

ทูลขอในพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์  อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

22 กุมภาพันธ์ 2556

Lent 5: เบื่อหน่ายพระเจ้า


ความสัมพันธ์ของเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่ม เหม็นหืนแล้วหรือ?

ในช่วงเวลา Lent มหาพรต หรือ เวลาที่เราจะเข้าใกล้ชิดพระวาทะของพระเจ้าคือพระคริสต์   วันนี้ให้เราเปิดใจตรวจสอบภายในชีวิตของตนเป็นการส่วนตัวกับพระเจ้าถึงความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระองค์ในทุกวันนี้

ไม่รู้ว่าใครเคยประสบพบเหมือนผมบ้าง  เบื่อหน่ายที่จะใกล้ชิดสัมพันธ์กับพระองค์?

ผมรู้ครับว่าเรื่องอย่างนี้เขาไม่นำมาเปิดเผยพูดกัน   เพราะเป็นเรื่องอับเฉาในชีวิต  ชีวิต “มีกลิ่นที่ไม่ค่อยดี”  สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเปิดเผย   เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ ชื่อเสียงของเราในวงการคริสตชนพลอยกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปด้วย

ครั้งหนึ่ง  ผมมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่ง   เพราะทำงานมาด้วยกันนาน   และมีความไว้วางใจกัน   เวลาประสบกับปัญหามักปรึกษากัน   ครั้งนี้ เธอแบ่งปันประสบการณ์ความรู้สึกในเรื่องที่ค่อนข้างล่อแหลมในชีวิตของเธอว่า  เธอเคยเบื่อหน่ายพระเจ้า   เธอเคยเซ็งในความสัมพันธ์กับพระองค์!

เธอเล่าถึงประสบการณ์ในวัยหนุ่มสาวที่เป็นคู่รักกัน   ทั้งสองจะหาโอกาสที่จะพบกัน พูดคุยกัน ทำอะไรด้วยกันเสมอ   ต่างฝ่ายต่างติดใจลุ่มหลงกัน  พูดถึงกันต่อหน้าคนอื่นบ่อยๆ   หรือกล่าวได้ว่าทุกนาทีมีเรื่องนี้ติดหนึบในความคิดของหนุ่มสาวคู่รัก   และเมื่อทั้งคู่จะต้องอยู่ห่างไกลจากกันก็นับวันนับคืนที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เธอหวนระลึกถึงตอนที่เธอเป็นคริสตชนใหม่ๆ   เธออ่านพระคัมภีร์ทุกวันด้วยความสัตย์ซื่อ  เธออธิษฐานเป็นประจำและบ่อย   ในความคิดของเธอชุ่มชื่นอิ่มเอมด้วยความคิดถึงพระเจ้า   และเธอจะพูดเรื่องพระเจ้ากับคนรอบข้างไม่หยุดหย่อน

แต่เมื่อเธอมีความเชื่อนานวันเข้า   ความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพระองค์เริ่มรู้สึกว่าเธอและพระเจ้าเหินห่างกัน   พูดด้วยความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา   เธอรู้เรื่องพระเจ้า  เธอรู้เรื่องราวในพระคัมภีร์ทั้งหมดหรือส่วนมาก  เธอสามารถท่องบ่นพระคัมภีร์ข้อต่างๆ เมื่อก่อนนอน    คำเทศนาเริ่มสร้างความรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เธอได้ยินมาก่อนแล้วนับครั้งไม่ถ้วน   คำอธิษฐานของเธอเป็นอย่างที่เคยอธิษฐานซ้ำซากอย่างเดิม  อธิษฐานเรื่องเก่าๆ เดิมๆ  ถ้าเป็นอาหารหรือของกินมันคงบูดเน่า หรือ เหม็นหืนไปนานแล้ว     เธอก็ยังรักพระเจ้าและติดตามพระองค์อยู่นะ   แต่ความตื่นเต้นกระตือรือร้นที่เคยมีมันเหือดหายไปไหนไม่รู้   เธอเริ่มรู้สึกแก่เฒ่าชราอ่อนแรงในความเชื่อศรัทธา   เธอบอกว่า ความเชื่อศรัทธาของเธอมันเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะเปื้อนหนา     เป็นเรื่องที่เธอไม่อยากเห็นไม่อยากมอง   เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย!

จนถึงครั้งหนึ่งเมื่อเธอมีโอกาสอยู่เงียบๆ ท่ามกลางธรรมชาติ   ความรู้สึกดังกล่าวถาโถมวนเวียนในห้วงคิดสำนึกของเธอไม่หยุดหย่อน   จนเธอเองร้องดังๆ ในจิตใจของตนเองว่า

“พระเจ้าของฉันหายไปไหน   ความสุขความกระตือรือร้นในความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าทำไมถึงอันตรธานจางหายไป   ความตื่นเต้นที่ฉันเคยได้รับเมื่อรับใช้พระองค์และรู้จักพระองค์มากขึ้นทำไมหาไม่เจออีกแล้วในชีวิตของฉัน    โอ...พระเจ้าทำไมข้าพระองค์ถึงต้องเป็นอย่างงี้?   ทำไมชีวิตถึงเหลือแต่ความเบื่อหน่าย  อับชื้น  หมางเมินในความสัมพันธ์กับพระองค์?”   ....

อย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า   เรื่องนี้เขาไม่พูดเปิดเผยหรอกครับ   แต่ถ้าพูดกันจากใจถึงใจเราต้องยอมรับว่าคริสตชนจำนวนมาก  ความสัมพันธ์ที่มีกับพระเจ้ากำลัง “เหม็นหืน” แล้ว

ในภาพยนตร์เรื่อง The Apostle  (http://www.imdb.com/title/tt0118632/)  พระเอกเป็นนักเทศน์เขาไปรู้มาว่าภรรยาของเขาคบชู้   เขาเครียดจัด  เขาเข้าไปในห้องแล้วลั่นกลอน   แล้วเริ่มส่งเสียงดังลั่นต่อว่าโต้เถียงกับพระเจ้า   ระบายทุกความรู้สึก  ความคิด  และทัศนะมุมมองของเขาในเวลานั้นที่มีต่อพระเจ้าพระผู้สร้างเขา   เขา “สำรอกอารมณ์ความรู้สึก” ทุกอย่างออกมา   จนสิ่งเหล่านี้ออกหมดสิ้นจากในชีวิตเขา   แต่ที่เขาทำเช่นนี้กระทำด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ ไม่มีสิ่งซ่อนเร้นแอบแฝงจากพระเจ้า   ดูเผินๆ แล้วดูเป็นการที่ทำให้เกิดความเรี่ยราดเปรอะเปื้อน   แต่ผมกลับมองว่านี่เป็นความงาม   เพราะสิ่งที่เขาปล่อยให้หลั่งไหลพรั่งพรูออกจากจิตใจและชีวิตของเขานั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้จากก้นบึ้งชีวิตของเขา

ในการที่เราจะขยับผลักดันให้จิตวิญญาณที่เบื่อหน่ายออกจากชีวิตของเรานั้น  ประการแรกเราจะต้องทำทุกสิ่งบนความจริงแท้และจริงใจ   เราต้องเปิดเผยต่อตนเองและพระเจ้าถึงสิ่งจริงแท้ในอารมณ์ความรู้สึกของเราในขณะนั้นว่า  ข้าพระองค์รู้สึกเบื่อหน่ายพระองค์   ไม่มีอารมณ์ที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์   คำพูดจริงใจเช่นนี้จะไม่สร้างแปลกประหลาดใจกับพระเจ้า   ตรงกันข้าม  การยอมพูดความจริง สารภาพด้วยความจริงใจกลับเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ภายหลังที่เพื่อนผมได้ระบายความจริงในจิตใจออกมาต่อพระเจ้า  แล้วจิตใจเริ่มสงบลง  เธอได้เห็นสัจจะความจริง 3 ประการคือ

1. ที่เธอเบื่อหน่ายพระเจ้ามิใช่เพราะพระเจ้าเปลี่ยนไป   มิใช่เพราะพระเจ้าเมินเฉยต่อเธอ   พระเจ้าไม่ได้แกล้งเธอ

2. ที่เธอเกิดความรู้สึกไม่ได้เป็นไปดั่งใจ หรือไม่เป็นไปอย่างที่ใจเธอปรารถนามิใช่เพราะพระเจ้าหยุดทำพระราชกิจ หรือ เกี่ยวข้องในชีวิตของเธอ

3. เธอพบว่า  เธอจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นเข้าสู่การเสริมสร้างสัมพันธภาพใหม่กับพระเจ้า   และเธอจะต้องยุติการพึ่งพิงความตื่นเต้นด้านจิตวิญญาณอย่างในอดีต   แต่มุ่งทุ่มเทพลังในชีวิตรับการทรงเสริมสร้างให้เติบโตในพระคริสต์สู่อนาคต

ถ้าเธอต้องการที่จะให้ความเชื่อศรัทธาในชีวิตของเธอมีชีวิตชีวา   เธอชัดเจนว่าชีวิตของเธอต้องมุ่งไปหาพระคริสต์   เหมือนกับเปโตรต้องตัดสินใจออกจากเรือ  เพื่อเดินบนทะเลที่กำลังปั่นป่วนไปหาพระคริสต์ที่อยู่บนคลื่นลมทะเลนั้น   จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยถ้าเธอไม่ตัดสินใจก้าวออกจากเรือที่เธอคิดว่ามันปกป้องเธอจากการจมทะเลตาย   ดังนั้น   การที่เธอรู้เท่าทันความรู้สึกของตนเองและสถานการณ์รอบข้างที่กำลังเป็นอยู่เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่ง   และนี่คือก้าวแรกการกลับสู่การแสวงหาคุณค่าความหมายและชีวิตชีวาในความสัมพันธ์กับพระเจ้า    ประการที่สองคือการที่กล้าตัดสินใจลงมือกระทำความเชื่อศรัทธาดังกล่าว   ดังคำกล่าวของ John Ortberg ที่ว่า “ถ้าท่านต้องการเดินบนน้ำทะเล  ก่อนอื่นท่านต้องออกจากเรือ”

แต่สำหรับหลายคนจะหยุดชะงักตั้งแต่ขั้นตอนแรก    เพราะเขาคนนั้นมักมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นก้าวเดินที่ยิ่งใหญ่   จู่ๆ จะให้ก้าวออกจากเรือที่เป็นแหล่งรอดปลอดภัยจากความตายแหล่งสุดท้ายของตนได้อย่างไร   แต่ความจริงก็คือว่า  ก้าวสำคัญก้าวแรกนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับต่อๆ ไป   ที่สำคัญคือก้าวไปทีละก้าว   พันลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก   และที่มั่นใจกล้าก้าวออกไปในก้าวแรกนี้เพราะเราไว้วางใจว่า  พระเยซูคริสต์ทรงพร้อมที่จะคว้าและฉุดเราไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ประสบการณ์ของพ่อแม่คริสตชนที่กำลังจะคลอดลูกคนแรกในชีวิต   การอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าของพ่อแม่คู่นี้จะไม่ธรรมดา   แต่เป็นการร้องทูลขอจากก้นบึ้งแห่งจิตใจ   ให้เราทูลขอต่อพระเจ้าทรงช่วยเราตระหนักชัด และ สัมผัสเสมอว่าพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจเสมอในทุกขณะทุกสถานการณ์ชีวิตของเรา     เมื่อเราอธิษฐานเช่นนี้เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงเคียงข้างเราในทุกขณะ   ทรงพร้อมเสมอที่กระทำพระราชกิจในชีวิตของเราเพื่อให้เราเติบโตและเข้มแข็งขึ้นในชีวิต

เราต้องตระหนักชัดถึงการทรงเคียงข้าง และ ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตเรา   เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของเรา   ดังนั้น  ให้เรายืนหยัดมั่นคงมีชีวิตตามที่เปาโลกล่าวใน 1ทิโมธี 6:11 ว่า

“แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า... 

จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด (คือหลักข้อเชื่อเท็จ  จองหอง  ลืมตัว และไม่เข้าใจอะไรเลย  หมกมุ่นอยู่กับการโต้เถียงเรื่องคำ  เกิดการอิจฉา  การแก่งแย่งชิงดี  การใส่ร้าย  การระแวงกัน  การบาดหมางแตกร้าว  และคนที่คิดว่าทางของพระเจ้าเป็นช่องทางหาเงินทองทำกำไร  และการรักเงิน  (ดูข้อ 3-5, 10 อมตธรรม)  

(แต่)ให้ใฝ่หาความชอบธรรม  ใฝ่หาทางพระเจ้า  ความเชื่อ  ความรัก  ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน   จงต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อนี้จงยึดมั่นชีวิตนิรันดร์ซึ่งทรงเรียกท่านมารับ...”  
(ข้อ 11-12 อมตธรรม)  

เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ

ในสังคมปัจจุบันดูเหมือนเรากำลังเดินพร้อมๆ กันครั้งละหลายก้าว (เดินยังไงก็ไม่รู้)   แล้วกินข้าวพร้อมๆ กันทีละหลายๆ คำ หรือ หลายช้อน   ท่านคงบอกผมว่าไม่มีใครเช่นนั้นหรอก   ที่สำคัญไม่มีใครทำได้

ในยุคปัจจุบันนี้  คนเรามักทำอะไรครั้งละหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน   เวลาสอนหนังสือในชั้นเรียน   นักศึกษาที่เอาคอมพ์เข้ามาเรียนด้วย   เวลาผู้สอนกำลังสอน  กำลังบรรยาย  กำลังพูด   เขาก็เปิดคอมพ์ค้นหาอีเมล์  เปิดอินเตอร์เน็ท   และในเวลาเดียวกันตาก็ชำเลืองไปที่โทรศัพท์ที่มีแสงไฟกะพริบว่าใครโทรมา  หรือมีข้อความอะไรที่ส่งมา   คนยุคนี้ชอบทำอะไรในเวลาเดียวกันหลายๆ อย่าง   บางคนกำลังพิมพ์รายงาน  แต่ก็เปิดอีกหน้าต่างหนึ่งแชตกับเพื่อน   และในเวลาเดียวกันเปิดฟังเพลงไปด้วย

เราขาดการมุ่งมั่นตั้งใจทำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง   แต่เราวนเวียนในกระแสวัฒนธรรมที่ทำอะไรไปพร้อมๆ กันในหลายเรื่อง   แต่ขาดการทุ่มเท ใส่ใจ  อุทิศ

คำถามคือ   ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นแบบนี้หรือเปล่า?

แล้วเราจะคาดหวังอะไรกับการที่เราจะได้ยิน ได้สัมผัส กับพระเจ้า   เมื่อเรามิได้มุ่งมั่นตั้งใจในการติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์?   และนี่คือที่มาทางหนึ่งที่เราเริ่มเบื่อหน่ายในความสัมพันธ์กับพระเจ้ามิใช่หรือ?

บ่อยครั้งมิใช่หรือที่เมื่อถึงเวลาที่เราจะสงบอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า   เราคลิกข้อพระคัมภีร์ประจำวันขึ้นอ่าน   แต่ในเวลาเดียวกันก็อดไม่ได้เมื่อแลเห็นเมล์เข้ามาในบ็อกซ์ของเรา   อดไม่ได้ที่จะเปิดดรอปบ็อกซ์ ดูว่าทีมงานได้ทำอะไรให้ก้าวหน้าไปบ้าง   เปิดดูทันทีก็เห็นว่า  จะต้องมีการแก้ไข  เรารีบแก้ไขเพื่อจะไม่เกิดการผิดพลาดในรายงานฉบับนั้น   แล้วรีบส่งกลับไป   แล้วต่อไปงานอื่น  

อนิจจาลืมไปว่าแท้จริงเรากำลังจะเริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าประจำวันนี้    เป็นเวลาที่เราจะฟังการทรงนำของพระเจ้า   บ้างก็รีบกลับมาอ่านลวกๆ ให้จบแล้วก็ปิด   ทำเช่นนี้บ่อยๆ   ชาชิน  และเริ่มรู้สึกว่าเสียเวลา   เพราะอ่านแล้วไม่เห็นได้อะไร   บางครั้งข้อพระคัมภีร์ก็ซ้ำไปซ้ำมา  นำไปสู่ความรู้สึกว่า “น่าเบื่อ” 

การที่ทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันก่อเกิดความกังวล  วุ่นวายใจ  สับสน  บางครั้งนำสู่ความวิตกกังวลได้   เวลาที่เราติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า  พระองค์ประสงค์ให้เรามุ่งมั่นเอาใจใส่อย่างจริงจังและด้วยความเต็มใจจากเรา   พระองค์ประสงค์ที่จะมีความสัมพันธ์กับเราลงในระดับลึกของชีวิตและจิตใจ   บางครั้งต้องใช้เวลา  มุ่งมั่น  และความสงบในชีวิตจิตใจของเรา

บางครั้งเราเบื่อหน่ายพระเจ้า   เพราะพระองค์ทรงประสงค์ให้เราสัมพันธ์กับพระองค์แบบเจาะจง  มุ่งมั่นกับพระองค์เท่านั้น   เราเบื่อหน่ายที่พระเจ้าใช้เวลาของเรามากไปหรือไม่   เบื่อหน่ายเพราะเราต้องอดทนเอาสิ่งที่เราสนใจเก็บไว้ก่อนหรือเปล่า?

เรากำหนดเวลาสำหรับเรากับพระเจ้าที่จะพบและสัมพันธ์กันหรือไม่?   เราเบียดบังเวลาที่มีไว้สำหรับเรากับพระเจ้าไปใช้กับสิ่งอื่น งานอื่น หรือคนอื่นหรือเปล่า?   เราเบื่อพระเจ้าเพราะพระองค์เรียกร้องเรามากเกินไปใช่ไหม?

ครั้งต่อไปเมื่อเรารู้สึกเบื่อหน่ายในสัมพันธภาพระหว่างเรากับพระเจ้า   เราน่าจะถามพระเจ้าตรงๆ ว่า  เราเหินห่างจากพระเจ้าด้วยเรื่องอะไร   ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ   พระเจ้าไม่เคยเหนื่อยล้าในการติดตามเราแต่ละคน   พระองค์ไม่หยุดที่จะรักเรา   ดังนั้น พระองค์พร้อมเสมอที่จะกระตุ้นเตือนเรา  และหนุนเสริมเรา   เมื่อเราเปิดเผยบอกด้วยความจริงใจเมื่อเรารู้สึกเบื่อหน่ายพระองค์   พระองค์จะมีหนทางที่จะช่วยเราให้ชีวิตและความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์กลับมีชีวิตชีวา   และที่สำคัญกว่านั้น  ชีวิตจิตวิญญาณของเราจะเติบโตและเข้มแข็งขึ้นครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499