ผมมีโอกาสพูดคุยและเรียนรู้จากศิษยาภิบาล ทีมผู้อภิบาล
คณะธรรมกิจ และผู้นำคริสตจักร (ตัวจริงที่ไม่มีตำแหน่ง) ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง/เมืองใหญ่
เมื่อพูดคุยถึงบริบทและวัฒนธรรมของคริสตจักรในเมืองหลวง/เมืองใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตจักรที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานแล้ว ผมพบสิ่งที่ได้จากการสนทนาว่า เกือบทุกคริสตจักรต่างมีการกำหนด นิมิตหรือวิสัยทัศน์ เป้าหมาย
จุดประสงค์ พันธกิจ กระบวนทัศน์
และ ฯลฯ
แต่ความเป็นจริงที่พบก็คือ
คริสตจักรไม่เจริญเติบโต
การประกาศพระกิตติคุณมิใช่พันธกิจอันดับต้นๆ ของคริสตจักรอย่างที่เขียนไว้ในจุดประสงค์
ทีมอภิบาลและคณะธรรมกิจคริสตจักรรู้สึกดีถ้ากิจกรรมต่างๆ ในวันอาทิตย์ของคริสตจักรดำเนินไปด้วยดี หลายกิจกรรมดังกล่าวก็ยังดำเนินต่อไปได้ แต่เป็นงานและกิจกรรมจำเจที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือเกิดประโยชน์อันใดมากนัก
จากประสบการณ์ในการทำงานคริสตจักรของศิษยาภิบาลผ่านไประยะหนึ่ง ศิษยาภิบาลได้พบความจริงว่า
แท้จริงแล้วคริสตจักรมิได้ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการทำงานพันธกิจ คริสตจักรมิได้อ่อนด้อยสมาชิกที่มีความสามารถและความชำนาญด้านต่างๆ
หรืองบประมาณ และจริงๆ
แล้วคริสตจักรมิได้ติดขัดที่ไม่มีจุดประสงค์ในการทำพันธกิจที่ชัดเจน แต่ตัวปัญหาใหญ่ที่พบในคริสตจักรคือ คริสตจักรขาดการที่จะมาร่วมกันทบทวนและสะท้อนคิด
สกัดบทเรียนจากประสบการณ์ในการทำงานกิจกรรมและพันธกิจต่างๆ ที่คริสตจักรที่ได้ทำลงไปแล้ว
คริสตจักรทำพันธกิจแต่ไม่สนใจที่จะเรียนรู้!
มิได้ใส่ใจว่าพระเจ้าทรงกระทำอะไร
อย่างไรในพันธกิจที่คริสตจักรได้ทำผ่านมา
ไม่สนใจเรียนรู้ว่าพันธกิจที่ทำไปแล้วนั้นเกิดผลหรือไม่เกิดผลอย่างไร?
มิใยที่จะค้นหาว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดผลการทำพันธกิจเช่นนั้น
คริสตจักรก็เป็นชุมชนหนึ่งที่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์การทำพันธกิจของตน ด้วยการถอดบทเรียนจากประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำพันธกิจแต่ละครั้ง แต่ที่พบคือ
คริสตจักรมิได้มีการประเมินและวัดผลการทำพันธกิจว่า ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวตามจุดประสงค์ที่คริสตจักรได้กำหนดไว้มากน้อยแค่ไหน/อย่างไร และที่น่าเสียดายคือ คริสตจักรมองข้ามโอกาสที่จะนำบทเรียนที่ได้จากการสกัดประสบการณ์ดังกล่าวมาสังเคราะห์เป็นแนวทางปฏิบัติพันธกิจในครั้งต่อๆ
ไป ซึ่งบทเรียนในแต่ละครั้งเป็นพระพรของพระเจ้าที่ให้แก่คริสตจักร
ที่ผ่านมาคริสตจักรได้ละเลยที่จะน้อมรับและตักตวงพระพรที่ได้จากการทำพันธกิจด้านต่างๆ
ของคริสตจักรดังที่กล่าว
การทำพันธกิจของคริสตจักรจึงทำแบบ “ทำทิ้ง(ทำขว้าง)” ขอให้ทำเสร็จก็พอใจ
ขอให้มีการนมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์(และทุกอย่างเป็นไปด้วยดี)ก็ดีแล้ว
เป็นต้น
คริสตจักรไม่ได้มาร่วมกันทบทวนและสะท้อนคิดว่า
- การนมัสการพระเจ้าเช้าวันอาทิตย์ที่ทำไปเป็นอย่างไรบ้าง?
- เกิดผลอย่างไรบ้าง?
- สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตามจุดประสงค์มีอะไรบ้าง?
- ทำไมสิ่งดีๆ ดังกล่าวถึงเกิดขึ้นได้?
- จุดประสงค์ในประการใดบ้างที่ไม่เกิดขึ้น?
- ทำไมถึงไม่เกิดขึ้น?
- แล้วคริสตจักรจะแก้ไข-พัฒนาอย่างไรบ้าง
- คริสตจักรได้บทเรียนอะไรบ้างจากการทบทวน และ สะท้อนคิดประสบการณ์การทำพันธกิจนมัสการครั้งนี้?
- คริสตจักรจะนำบทเรียนที่ได้รับนี้ไปเป็นแนวทางในการทำพันธกิจข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร?
ประเด็นคำถามชุดนี้ควรนำมาถามเมื่อทำพันธกิจแต่ละพันธกิจเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการนมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์ ชั้นเรียนรวีวารศึกษาระดับต่างๆ กลุ่มเรียนพระคัมภีร์ กลุ่มเสริมสร้างชีวิตสาวกกลุ่มต่างๆ พันธกิจอนุชน และ วัยรุ่นกลุ่มต่างๆ พันธกิจสตรีคริสเตียน พันธกิจผู้สูงอายุ พันธกิจการเผยแพร่พระกิตติคุณ
และพันธกิจการรับใช้บริการในชุมชนเพื่อสำแดงความรักของพระเยซูคริสต์ และ ฯลฯ
คงไม่เป็นการกล่าวหากันรุนแรงเกินไปนะครับว่า คริสตจักร “ละทิ้งพระพร” “มองข้ามพระพร”
ที่พระเจ้าประทานให้เมื่อคริสตจักรทำพันธกิจของพระองค์ และเมื่อคริสตจักร “ละทิ้งพระพร” สมาชิกคริสตจักรก็ “อดรับพระพร” ไปด้วยครับ
คริสตจักรควรกระทำการทบทวนและสะท้อนคิดภายหลังการทำพันธกิจทุกพันธกิจที่ได้ทำแล้ว!
การกระทำเช่นนี้คือการที่เรา
“น้อมรับและนับพระพร” ที่พระเจ้าประทานแก่เราผ่านพันธกิจที่เราทำด้วยกัน
ดั่งเช่นโยเซฟ ที่เติบโตขึ้นมาด้วยนิมิตในชีวิต แต่ท่านกลับถูกพวกพี่ๆ ขายให้กับพ่อค้า แล้วถูกขายต่อไปเป็นคนใช้ในบ้านของโปทิฟาร์ขุนนางของฟาโรห์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ท่ามกลางชีวิตที่ผันแปรอย่างไม่คาดคิด แทนที่จะทำให้ชีวิตของโยเซฟหมดอาลัยตายอยาก แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะในประสบการณ์ชีวิตของโยเซฟเขามั่นใจว่าพระเจ้าทรงอยู่กับท่าน
ประสบการณ์เกี่ยวกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่านทุกครั้ง ท่านได้รับบทเรียนว่าพระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของท่าน ท่านถูกพวกพี่ๆ ขาย แต่ท่านกลับพบว่าพระเจ้าทรงให้ชีวิตและการงานประสบความสำเร็จเป็นที่พอใจของโปทิฟาร์จนตั้งให้เป็นผู้ดูแลทุกสิ่งทุกงานในบ้านแทนเจ้านาย
(ปฐมกาล 39:1-6)
โยเซฟที่ตั้งอกตั้งใจทำสิ่งดีถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ปฏิเสธที่จะเป็นชู้กับภรรยาของโปทิฟาร์ แต่เขากลับถูกกล่าวร้ายจนต้องโทษในคุกหลวงใต้ดิน ในการต้องโทษจำคุกนั้นโยเซฟได้เรียนรู้อีกว่า
พระเจ้าทรงอยู่กับโยเซฟ พระเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน ทรงให้พัศดีโปรดปรานโยเซฟ และพระเจ้าทรงทำให้สิ่งที่โยเซฟทำนั้นสำเร็จ
(ปฐมกาล 39:19-23)
จนกระทั่งเมื่อโยเซฟอายุได้
30 ปี ได้เข้าเฝ้าฟาโรห์เพื่อทำนายฝัน โยเซฟยืนยันกับฟาโรห์ว่า ที่ท่านทำนายฝันให้ฟาโรห์ได้เพราะพระเจ้าเป็นผู้ประทานคำตอบของความฝันให้กับฟาโรห์
(41:16)
นอกจากโยเซฟทำนายฝันแก่ฟาโรห์แล้ว
ท่านยังเสนอแผนการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติการกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
(ข้อ 33-36)
ในที่สุด
ฟาโรห์แต่งตั้งให้โยเซฟเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดรองจากฟาโรห์เพื่อดำเนินตามแผนการที่ท่านได้เสนอนั้น
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาทุกช่วงเหตุการณ์
โยเซฟได้ทบทวน สะท้อนคิด
ใคร่ครวญและไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของท่านที่ผ่านมา ซึ่งดูแล้วท่านมีชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ต้องถูกขายตัดขาดจากพ่อที่ตนรัก
ถูกจำคุกเพราะไม่ต้องการทำผิดพระประสงค์ของพระเจ้า ท่านไม่ได้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นความทุกข์ยากโชคร้ายในชีวิตของท่าน
แต่ท่านได้สรุปบทเรียนชีวิตของตนว่า
เหตุการณ์ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นนี้เป็นการที่พระเจ้าทรงใช้ท่านให้มาเตรียมการของพระองค์เพื่อรับมือกับการกันดารอาหาร เป็นการช่วยให้ครอบครัวของท่านรอดพ้นภัยพิบัติครั้งนี้
ท่านกล่าวกับพวกพี่ชายที่มาขอซื้อข้าว
และรู้ว่าท่านคือโยเซฟที่พวกเขาขายมานั้นว่า “แต่เดี๋ยวนี้อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายฉันมาที่นี่
เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้ฉันให้มาก่อนหน้าพวกพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต...”(45:5)
โยเซฟเห็นชีวิตที่ลุ่มๆ
ดอนๆ
ชีวิตที่ต้องทุกข์ยากลำบากของท่านว่า
เป็นแผนการที่เป็นพระพรของพระเจ้าสำหรับชีวิตของท่าน และ
ครอบครัวใหญ่ของท่าน และคนในสังคมชุมชนโลก(ในสมัยนั้น) ทั้งนี้เพราะท่านใคร่ครวญ ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ชีวิต ท่านได้เรียนรู้ในทุกประสบการณ์ชีวิตของท่านว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ทรงนำ และอวยพระพร ในทุกสถานการณ์ชีวิต ในทุกการงานที่ท่านรับผิดชอบพระเจ้าทรงประทานความสำเร็จแก่ท่าน
เมื่อคริสตจักรทำพันธกิจด้านต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่คริสตจักรจะต้องทบทวน
สะท้อนคิด
และไตร่ตรองถึงสิ่งที่ตนได้ทำและผลที่เกิดขึ้น เพื่อจะเรียนรู้ถึงการทรงนำ พระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในคริสตจักร และ
ผ่านคริสตจักร
เพื่อคริสตจักรจะได้สัมผัสถึงพระพรของพระเจ้า และนำพระพรนั้นเป็นพลังที่จะขับเคลื่อนพันธกิจครั้งต่อๆ
ไปอย่างต่อเนื่อง
Lent
ปีนี้ให้เราเริ่มเรียนรู้ที่จะทบทวนและสะท้อนคิดประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในคริสตจักรและผ่านคริสตจักรของเรา
เพื่อเราจะไม่ละเลยและมองข้ามพระพรของพระเจ้าที่ประทานแก่คริสตจักรของเรา
ให้เราน้อมรับและนับพระพรของพระเจ้าทุกครั้งครับ!
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น