20 กุมภาพันธ์ 2556

Lent 4: พระพรที่คริสตจักรละเลย


ผมมีโอกาสพูดคุยและเรียนรู้จากศิษยาภิบาล  ทีมผู้อภิบาล  คณะธรรมกิจ  และผู้นำคริสตจักร (ตัวจริงที่ไม่มีตำแหน่ง)  ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง/เมืองใหญ่   เมื่อพูดคุยถึงบริบทและวัฒนธรรมของคริสตจักรในเมืองหลวง/เมืองใหญ่   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตจักรที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานแล้ว   ผมพบสิ่งที่ได้จากการสนทนาว่า  เกือบทุกคริสตจักรต่างมีการกำหนด  นิมิตหรือวิสัยทัศน์  เป้าหมาย  จุดประสงค์  พันธกิจ กระบวนทัศน์ และ ฯลฯ

แต่ความเป็นจริงที่พบก็คือ คริสตจักรไม่เจริญเติบโต   การประกาศพระกิตติคุณมิใช่พันธกิจอันดับต้นๆ ของคริสตจักรอย่างที่เขียนไว้ในจุดประสงค์   ทีมอภิบาลและคณะธรรมกิจคริสตจักรรู้สึกดีถ้ากิจกรรมต่างๆ ในวันอาทิตย์ของคริสตจักรดำเนินไปด้วยดี   หลายกิจกรรมดังกล่าวก็ยังดำเนินต่อไปได้   แต่เป็นงานและกิจกรรมจำเจที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือเกิดประโยชน์อันใดมากนัก

จากประสบการณ์ในการทำงานคริสตจักรของศิษยาภิบาลผ่านไประยะหนึ่ง   ศิษยาภิบาลได้พบความจริงว่า   แท้จริงแล้วคริสตจักรมิได้ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการทำงานพันธกิจ   คริสตจักรมิได้อ่อนด้อยสมาชิกที่มีความสามารถและความชำนาญด้านต่างๆ  หรืองบประมาณ   และจริงๆ แล้วคริสตจักรมิได้ติดขัดที่ไม่มีจุดประสงค์ในการทำพันธกิจที่ชัดเจน    แต่ตัวปัญหาใหญ่ที่พบในคริสตจักรคือ   คริสตจักรขาดการที่จะมาร่วมกันทบทวนและสะท้อนคิด  สกัดบทเรียนจากประสบการณ์ในการทำงานกิจกรรมและพันธกิจต่างๆ ที่คริสตจักรที่ได้ทำลงไปแล้ว

คริสตจักรทำพันธกิจแต่ไม่สนใจที่จะเรียนรู้!   มิได้ใส่ใจว่าพระเจ้าทรงกระทำอะไร อย่างไรในพันธกิจที่คริสตจักรได้ทำผ่านมา   ไม่สนใจเรียนรู้ว่าพันธกิจที่ทำไปแล้วนั้นเกิดผลหรือไม่เกิดผลอย่างไร?   มิใยที่จะค้นหาว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดผลการทำพันธกิจเช่นนั้น

คริสตจักรก็เป็นชุมชนหนึ่งที่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์การทำพันธกิจของตน   ด้วยการถอดบทเรียนจากประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำพันธกิจแต่ละครั้ง   แต่ที่พบคือ  คริสตจักรมิได้มีการประเมินและวัดผลการทำพันธกิจว่า  ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวตามจุดประสงค์ที่คริสตจักรได้กำหนดไว้มากน้อยแค่ไหน/อย่างไร   และที่น่าเสียดายคือ  คริสตจักรมองข้ามโอกาสที่จะนำบทเรียนที่ได้จากการสกัดประสบการณ์ดังกล่าวมาสังเคราะห์เป็นแนวทางปฏิบัติพันธกิจในครั้งต่อๆ ไป   ซึ่งบทเรียนในแต่ละครั้งเป็นพระพรของพระเจ้าที่ให้แก่คริสตจักร

ที่ผ่านมาคริสตจักรได้ละเลยที่จะน้อมรับและตักตวงพระพรที่ได้จากการทำพันธกิจด้านต่างๆ ของคริสตจักรดังที่กล่าว   การทำพันธกิจของคริสตจักรจึงทำแบบ “ทำทิ้ง(ทำขว้าง)” ขอให้ทำเสร็จก็พอใจ   ขอให้มีการนมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์(และทุกอย่างเป็นไปด้วยดี)ก็ดีแล้ว  เป็นต้น   คริสตจักรไม่ได้มาร่วมกันทบทวนและสะท้อนคิดว่า 

  • การนมัสการพระเจ้าเช้าวันอาทิตย์ที่ทำไปเป็นอย่างไรบ้าง? 
  • เกิดผลอย่างไรบ้าง? 
  • สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตามจุดประสงค์มีอะไรบ้าง?  
  • ทำไมสิ่งดีๆ ดังกล่าวถึงเกิดขึ้นได้? 
  • จุดประสงค์ในประการใดบ้างที่ไม่เกิดขึ้น?  
  • ทำไมถึงไม่เกิดขึ้น?  
  • แล้วคริสตจักรจะแก้ไข-พัฒนาอย่างไรบ้าง  
  • คริสตจักรได้บทเรียนอะไรบ้างจากการทบทวน และ สะท้อนคิดประสบการณ์การทำพันธกิจนมัสการครั้งนี้?
  • คริสตจักรจะนำบทเรียนที่ได้รับนี้ไปเป็นแนวทางในการทำพันธกิจข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร? 
 
ประเด็นคำถามชุดนี้ควรนำมาถามเมื่อทำพันธกิจแต่ละพันธกิจเสร็จแล้ว   ไม่ว่าจะเป็นการนมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์   ชั้นเรียนรวีวารศึกษาระดับต่างๆ   กลุ่มเรียนพระคัมภีร์   กลุ่มเสริมสร้างชีวิตสาวกกลุ่มต่างๆ   พันธกิจอนุชน  และ วัยรุ่นกลุ่มต่างๆ   พันธกิจสตรีคริสเตียน   พันธกิจผู้สูงอายุ   พันธกิจการเผยแพร่พระกิตติคุณ   และพันธกิจการรับใช้บริการในชุมชนเพื่อสำแดงความรักของพระเยซูคริสต์  และ ฯลฯ

คงไม่เป็นการกล่าวหากันรุนแรงเกินไปนะครับว่า   คริสตจักร “ละทิ้งพระพร” “มองข้ามพระพร” ที่พระเจ้าประทานให้เมื่อคริสตจักรทำพันธกิจของพระองค์   และเมื่อคริสตจักร “ละทิ้งพระพร”   สมาชิกคริสตจักรก็ “อดรับพระพร” ไปด้วยครับ

คริสตจักรควรกระทำการทบทวนและสะท้อนคิดภายหลังการทำพันธกิจทุกพันธกิจที่ได้ทำแล้ว!

การกระทำเช่นนี้คือการที่เรา “น้อมรับและนับพระพร” ที่พระเจ้าประทานแก่เราผ่านพันธกิจที่เราทำด้วยกัน

ดั่งเช่นโยเซฟ   ที่เติบโตขึ้นมาด้วยนิมิตในชีวิต   แต่ท่านกลับถูกพวกพี่ๆ ขายให้กับพ่อค้า  แล้วถูกขายต่อไปเป็นคนใช้ในบ้านของโปทิฟาร์ขุนนางของฟาโรห์   ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์   ท่ามกลางชีวิตที่ผันแปรอย่างไม่คาดคิด  แทนที่จะทำให้ชีวิตของโยเซฟหมดอาลัยตายอยาก   แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น   เพราะในประสบการณ์ชีวิตของโยเซฟเขามั่นใจว่าพระเจ้าทรงอยู่กับท่าน

ประสบการณ์เกี่ยวกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่านทุกครั้ง   ท่านได้รับบทเรียนว่าพระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของท่าน   ท่านถูกพวกพี่ๆ ขาย   แต่ท่านกลับพบว่าพระเจ้าทรงให้ชีวิตและการงานประสบความสำเร็จเป็นที่พอใจของโปทิฟาร์จนตั้งให้เป็นผู้ดูแลทุกสิ่งทุกงานในบ้านแทนเจ้านาย (ปฐมกาล 39:1-6)

โยเซฟที่ตั้งอกตั้งใจทำสิ่งดีถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้า   ปฏิเสธที่จะเป็นชู้กับภรรยาของโปทิฟาร์   แต่เขากลับถูกกล่าวร้ายจนต้องโทษในคุกหลวงใต้ดิน   ในการต้องโทษจำคุกนั้นโยเซฟได้เรียนรู้อีกว่า พระเจ้าทรงอยู่กับโยเซฟ  พระเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน  ทรงให้พัศดีโปรดปรานโยเซฟ   และพระเจ้าทรงทำให้สิ่งที่โยเซฟทำนั้นสำเร็จ (ปฐมกาล 39:19-23)

จนกระทั่งเมื่อโยเซฟอายุได้ 30 ปี   ได้เข้าเฝ้าฟาโรห์เพื่อทำนายฝัน   โยเซฟยืนยันกับฟาโรห์ว่า   ที่ท่านทำนายฝันให้ฟาโรห์ได้เพราะพระเจ้าเป็นผู้ประทานคำตอบของความฝันให้กับฟาโรห์ (41:16)   นอกจากโยเซฟทำนายฝันแก่ฟาโรห์แล้ว   ท่านยังเสนอแผนการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติการกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย (ข้อ 33-36)   ในที่สุด ฟาโรห์แต่งตั้งให้โยเซฟเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดรองจากฟาโรห์เพื่อดำเนินตามแผนการที่ท่านได้เสนอนั้น

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาทุกช่วงเหตุการณ์ โยเซฟได้ทบทวน สะท้อนคิด  ใคร่ครวญและไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของท่านที่ผ่านมา   ซึ่งดูแล้วท่านมีชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ   ต้องถูกขายตัดขาดจากพ่อที่ตนรัก   ถูกจำคุกเพราะไม่ต้องการทำผิดพระประสงค์ของพระเจ้า   ท่านไม่ได้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นความทุกข์ยากโชคร้ายในชีวิตของท่าน

แต่ท่านได้สรุปบทเรียนชีวิตของตนว่า   เหตุการณ์ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นนี้เป็นการที่พระเจ้าทรงใช้ท่านให้มาเตรียมการของพระองค์เพื่อรับมือกับการกันดารอาหาร  เป็นการช่วยให้ครอบครัวของท่านรอดพ้นภัยพิบัติครั้งนี้    ท่านกล่าวกับพวกพี่ชายที่มาขอซื้อข้าว   และรู้ว่าท่านคือโยเซฟที่พวกเขาขายมานั้นว่า  “แต่เดี๋ยวนี้อย่าเสียใจไปเลย   อย่าโกรธตัวเองที่ขายฉันมาที่นี่   เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้ฉันให้มาก่อนหน้าพวกพี่  เพื่อจะได้ช่วยชีวิต...”(45:5)

โยเซฟเห็นชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ  ชีวิตที่ต้องทุกข์ยากลำบากของท่านว่า   เป็นแผนการที่เป็นพระพรของพระเจ้าสำหรับชีวิตของท่าน และ ครอบครัวใหญ่ของท่าน  และคนในสังคมชุมชนโลก(ในสมัยนั้น)   ทั้งนี้เพราะท่านใคร่ครวญ  ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ชีวิต  ท่านได้เรียนรู้ในทุกประสบการณ์ชีวิตของท่านว่า  พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย   ทรงนำ และอวยพระพร ในทุกสถานการณ์ชีวิต   ในทุกการงานที่ท่านรับผิดชอบพระเจ้าทรงประทานความสำเร็จแก่ท่าน  

เมื่อคริสตจักรทำพันธกิจด้านต่างๆ   จำเป็นอย่างยิ่งที่คริสตจักรจะต้องทบทวน สะท้อนคิด  และไตร่ตรองถึงสิ่งที่ตนได้ทำและผลที่เกิดขึ้น   เพื่อจะเรียนรู้ถึงการทรงนำ  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในคริสตจักร และ ผ่านคริสตจักร   เพื่อคริสตจักรจะได้สัมผัสถึงพระพรของพระเจ้า   และนำพระพรนั้นเป็นพลังที่จะขับเคลื่อนพันธกิจครั้งต่อๆ ไปอย่างต่อเนื่อง

Lent ปีนี้ให้เราเริ่มเรียนรู้ที่จะทบทวนและสะท้อนคิดประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในคริสตจักรและผ่านคริสตจักรของเรา   เพื่อเราจะไม่ละเลยและมองข้ามพระพรของพระเจ้าที่ประทานแก่คริสตจักรของเรา     ให้เราน้อมรับและนับพระพรของพระเจ้าทุกครั้งครับ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น