ระบบเศรษฐศาสตร์ในแผ่นดินของพระเจ้า
อ่าน
มัทธิว 20:1-16
แผ่นดินสวรรค์เป็นเช่นเจ้าของสวนองุ่นที่ออกไปแต่เช้าเพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนของตน
เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละหนึ่งเดนาริอันแล้วพวกเขาก็ไปทำงานในสวนองุ่น...
ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานเมื่อบ่ายห้าโมงเย็นรับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน ฝ่ายคนที่มาก่อนนึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน
เมื่อพวกเขารับเงินแล้วจึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียวกลับได้เท่าๆ กับเราที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน
แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า “เพื่อนเอ๋ยเราไม่ได้โกงนะ
ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ... เราพอใจจะให้คนมาทีหลังเท่าๆ กันกับท่าน เงินของเรา
เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ
หรือว่าท่านอิจฉาเพราะเห็นเราใจกว้าง”
(ข้อ 1-2, 9-15
อมตธรรม)
คนในสมัยพระเยซูคงมีความรู้สึกว่า พระเยซูเป็นคนที่พวกเขาเข้าใจยาก เดาใจไม่ถูก
หลายๆ เรื่องพระองค์มีความคิดและพฤติกรรมที่ทวนกระแสสังคม และประเพณีนิยมที่คนส่วนใหญ่ยึดถือทำตาม ยิ่งพวกผู้นำศาสนายิว นักการเมือง
คนมั่งมี คงกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราไม่เข้าใจคนบ้านนอกคนนี้”
ในสายตาของประชาชน
พระเยซูคริสต์เป็นที่เคารพนับถือในด้านศาสนา แต่ไม่มีตำแหน่งในวงการศาสนา เป็นคนที่เติบโตในบ้านนอก
พระองค์สอนให้สาวกที่ติดตามเป็นคนเคร่งครัดในธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่พระองค์กลับคบค้าสมาคมกินข้าวกินปลาร่วมกับพวกคนเก็บภาษี คนนอกรีต
รวมทั้งหญิงโสเภณี
คำสอนของพระเยซูฟังดูแปลกแตกต่างจากพวกธรรมาจารย์
ฟาริสี และผู้นำศาสนายิวคนอื่นๆ
พระองค์บอกว่าคนมั่งมีจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากยิ่งกว่าอูฐจะลอดรูเข็มเสียอีก แล้วอย่างงี้ใครจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้
เมื่อหญิงหม้ายนำเงินเพียงไม่กี่สตางค์มาถวายที่พระวิหารแต่พระองค์บอกว่าหญิงหม้ายนำเงินมาถวายพระเจ้ามากกว่าเศรษฐีที่นำเงินมาถวายจำนวนมาก
พระเยซูอยู่เคียงข้างคนยากคนจน คนด้อยโอกาส
คนที่ถูกสังคมตราหน้าหน้าว่าบาปหนา
คนเจ็บป่วยที่สังคมรังเกียจกีดกัน
คนที่ผีสิงผีเข้า
แต่ทำไมพระองค์ปล่อยให้หญิงคนหนึ่งชโลมบนพระเศียรของพระองค์ด้วยน้ำมันหอมนารดาที่ราคาแพงลิบลิ่วเป็นหมื่นเป็นแสนบาทในปัจจุบัน ทำให้เสียของ
แทนที่จะขายน้ำมันหอมนั้นแล้วเอาเงินไปช่วยคนยากคนจน คนเจ็บป่วยอดอยาก
อุปมาที่เราอ่านในวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างแรงงาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำมาหากิน การอยู่รอด
เป็นเรื่องเศรษฐกิจ มุมมองและระบบคุณค่าของพระองค์ก็สร้างความรู้สึกงงงวยขัดแย้งขึ้นในสังคมตอนนั้นด้วยเช่นกัน
บนหลักคิดของคนทั่วไปทั้งมั่งมีและยากจนต่างมองว่า คนทำงานมาก คนทำงานหนัก ควรได้รับค่าจ้าง
มากกว่าคนทำงานน้อย
คนทำงานเพียงชั่วครู่ชั่วยาม
ดังนั้น
หลักค่าจ้างแรงงานในที่นี้คือความสัมพันธ์ระหว่างงานที่ทำกับเงินค่าจ้างที่ได้รับ เป็นมุมมองเศรษฐศาสตร์แบบ พ.ศ. 2504 ยุคผู้ใหญ่ลี หรือจอมพล
สฤษดิ์ ธนรัตน์ ที่มีสโลแกนว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน
บันดาลสุข”? ที่มองว่า ทำงานเพื่อทำเงิน ทำเงินเพื่อสร้างความสุข?
แต่พระเยซูคริสต์กล่าวถึงระบบคุณค่าในแผ่นดินของพระเจ้าถึงงานและเงินที่แตกต่างสวนทางกับหลักคิดของคนในสังคมยุคนั้น และก็รวมถึงยุคนี้ด้วย น่าสังเกตว่า
- เจ้าของสวนองุ่นตกลงกับคนที่มาทำงานแต่เช้าตรู่ว่าค่าแรงทั้งวันในการทำงานคือ หนึ่งเดนาริอัน หนึ่งเดนาริอันเป็นค่าจ้างแรงงานที่พอนำไปเลี้ยงชีวิตครอบครัวได้หนึ่งวัน หลักคิดการทำงานในแผ่นดินของพระเจ้าคือ ทำงานเพื่อคุณค่าความหมายของชีวิต ทำงานเพื่อการมีกินมีอยู่ของครอบครัว การทำงานเป็นความรับผิดชอบ
- เรื่องของแรงงานจะต้องอยู่บนรากฐานของความยุติธรรม ในที่นี้ความยุติธรรมมีสองนัยยะด้วยกันคือ เจ้าของสวนองุ่นทำตามที่สัญญาตกลงกันเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้าง นัยยะที่สองคือ ในการตกลงเรื่องค่าจ้างแรงงานจะไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน กล่าวคือ ค่าจ้างแรงงานต้องพอที่ผู้ใช้แรงงานจะมีพอนำไปเลี้ยงดูครอบครัวและชีวิตของตนเอง สำหรับแผ่นดินของพระเจ้า การทำงานเป็นเรื่องของชีวิตของตนและครอบครัว เป็นเรื่องคุณค่าของชีวิตและความรับผิดชอบต่อกันและกัน มิใช่เพียง “ทำงานเพื่อทำเงิน”
- ความยุติธรรมเรื่องค่าจ้างแรงงานในแผ่นดินของพระเจ้าต้องเป็นความยุติธรรมที่ควบคู่ไปกับความเมตตากรุณา ระบบคุณค่าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่สามารถแยกความยุติธรรมออกจากความเมตตากรุณา ในอุปมานี้จึงแสดงออกชัดเจนว่า แม้แรงงานแต่ละกลุ่มมาทำงานในเวลาที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนได้รับค่าจ้างแรงงานพอนำไปเลี้ยงดูเพื่อความอยู่รอดในครอบครัวในวันนั้น ดังนั้น ค่าจ้างแรงงานในที่นี้จึงเป็นระบบความยุติธรรมที่เปี่ยมล้นด้วยความรักเมตตากรุณาจากเจ้าของสวนองุ่น ที่พระองค์ต้องการให้ค่าแรงงานเพื่อการดำรงชีวิตและอยู่รอดของผู้ทำงาน แต่มิใช่ให้เพราะทำงานมากหรือน้อย ตำแหน่งสูงหรือไม่มีตำแหน่ง
สำหรับแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว การงานความรับผิดชอบอาจจะแตกต่างกันไป
แต่ผลตอบแทนจากแรงงานต่างได้รับความเมตตาจากเจ้าของสวนหรือพระเจ้า ซึ่งสวนกระแสคิดกับสังคมทั่วไปที่ ความแตกต่างของงานที่ทำ เป็นตัวกำหนดค่าตอบแทน รายได้
แรงงานที่ได้รับ
และที่สำคัญคือกระแสสังคมมีมุมมองว่า “ทำงานเพื่อทำเงิน” จนตกหลุมพรางว่า
“คุณค่าชีวิตอยู่ที่เงินค่าแรงที่ได้รับ”
งานใด ตำแหน่งใดที่ได้เงินค่าจ้างหรือค่าตอบแทนน้อย ทำให้ผู้ทำงานคนนั้นรู้สึกว่างานที่ทำ และ
ตนเองด้อยคุณค่ากว่าคนที่ทำงานแล้วได้รับค่าตอบแทนแรงงานมากกว่าตน
ขอตั้งข้อสังเกตว่า
ตามระบบคุณค่าในแผ่นดินของพระเจ้า
ตำแหน่ง ความชำนาญ หน้าที่การงาน
และความรับผิดชอบ
มิใช่ตัวกำหนดความแตกต่างค่าจ้างแรงงาน
และในเวลาเดียวกันอัตราหรือจำนวนของค่าจ้างแรงงานมิใช่ตัวบ่งชี้ถึงความสามารถ และความสำคัญของงานที่ทำ หรือความแตกต่างในคุณค่าของคนทำงาน
แต่การทำงาน และ การได้ค่าตอบแทนจากการทำงานในแผ่นดินของพระเจ้าเป็นพระคุณของพระเจ้า
เพราะการทำงานเกิดจากการทรงเรียกของพระเจ้า การทำงานคือการที่เราเข้ามาร่วมพระราชกิจของพระองค์ “ในสวนองุ่น” ของพระองค์
สำหรับค่าแรงงานที่ได้รับนั้นแท้จริงเป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงประทานแก่เราให้สามารถมีอยู่มีกินมีชีวิตรอดได้ และทุกชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้าในสวนองุ่นของพระองค์ต่างมีคุณค่าความหมายทั้งสิ้น
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ
1. ทุกวันนี้ท่านมีมุมมองต่องานที่ท่านทำและรับผิดชอบอย่างไรบ้าง?
2.
ถ้าในคำอุปมาของพระเยซูที่เราศึกษาใคร่ครวญในวันนี้ พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของสวนองุ่น
เรื่องราวอุปมาเรื่องนี้สอนถึงระบบเศรษฐกิจแห่งพระคุณอย่างไรบ้าง?
3.
ท่านคือใครในอุปมาเรื่องนี้?
ท่านเป็นคนงานที่มาทำงานในสวนองุ่นตั้งแต่เช้า และรู้สึกไม่พอใจกับค่าแรงที่ได้รับ หรือ
ท่านเป็นแรงงานที่มาทำงานในช่วงบ่าย
ทำงานเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ได้แรงงานเต็มวัน?
ทำไมท่านถึงคิดว่าท่านเป็นคนทำงานในกลุ่มดังกล่าว? และมีความรู้สึกเช่นใดบ้าง?
4.
ท่านได้เรียนรู้บทเรียนอะไรบ้างจากวิธีคิดของเจ้าของสวนองุ่น?
ใคร่ครวญภาวนา
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
น้ำพระทัยอันกว้างขวางของพระองค์เหนือที่ข้าพระองค์จะเข้าใจได้
ความคิดเรื่องความยุติธรรมของพระองค์ก็แตกต่างจากวิธีคิดของข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะใส่ใจอย่างละเอียดถ้วนถี่ในวิถีการทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์
ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระเมตตากรุณาอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์
ในวันนี้เมื่อข้าพระองค์ทำงานใดๆ โปรดกระตุ้นเตือนให้ข้าพระองค์สำนึกว่า
พระองค์ทรงเรียกให้ข้าพระองค์มาร่วมกระทำในพระราชกิจของพระองค์ในงานนั้นๆ
และโปรดช่วยให้ข้าพระองค์กระทำงานนั้นด้วยจิตใจที่ขอบพระคุณพระองค์
ด้วยความมุ่งมั่นสนองตอบพระประสงค์ของพระองค์ และขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณของพระองค์ที่ประทานผ่านมาทางน้ำพักน้ำแรงของการทำงาน อาเมน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น