สาวคริสตชนวัย 16 ปีนอนเหยียดอยู่บนที่นอน ตาเหม่อลอยมองขึ้นไปที่เพดาน น้ำตาไหลเล็ดลอดออกจากดวงตา
เธอตกเป็นเป้าสายตาของพ่อแม่ที่ยืนอยู่ที่ปากประตูห้องที่มองมายังเธอ ตอนนั้นเธอหมดความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
เธอเพิ่งเกิดปากเสียงเถียงกันอย่างรุนแรงกับพ่อแม่ของเธอ การถกเถียงดังกล่าวลามปามไปยังเรื่องความสงสัยเคลือบแคลงพระเจ้าที่ได้แทงลอดงอกขึ้นในจิตใจของเธอในขวบปีที่ผ่านมา
เมื่อคำพูดที่สงสัยเคลือบแคลงที่เธอมีในพระเจ้าหลุดออกมาจากปากของเธอที่ตอบโต้อย่างร้อนแรงกับพ่อแม่นั้น เป็นคำพูดที่เธอพูดจากความจริงใจของเธอไร้สิ่งเคลือบแฝง
ความเชื่อศรัทธาที่ได้รับการหล่อหลอมในชั้นเรียนรวีวารศึกษาดูเหมือนจะกำลังละลายไหลหายไปกับการสงสัย
แต่ในสถานการณ์นั้นเธอยังจำภาพอย่างชัดเจนถึงพ่อแม่ที่ยืนมองมายังเธอด้วยความสงบ
เมื่อเธอบอกเขาทั้งสองถึงสิ่งที่เธอสงสัยไม่เชื่อศรัทธาอีกต่อไป
แม่ไม่ได้ตอบโต้ด้วยขู่สำทับให้หยุดพูดเช่นนั้น และพ่อเองก็ไม่ได้โน้มน้าวพูดจาให้เธอคล้อยหรือเปลี่ยนความคิด เขาทั้งสองพูดอย่างปกติกับเธอว่า ทุกคนก็มีความสงสัยเคลือบแคลงได้ทั้งนั้นเพราะมิเช่นนั้นแล้วเขาคนนั้นก็จะไม่มีความเชื่อศรัทธาที่เป็นของตนเอง
จากนั้นทั้งพ่อและแม่บอกกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า
เขารักลูกสาวนะ แล้วเดินไปจากห้องของเด็กสาว ลูกสาวรู้อยู่แก่ใจว่าทั้งสองมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของตนเพื่ออธิษฐานเผื่อลูกสาวที่เขารัก
ตั้งแต่วินาทีนั้นเอง
เธอจนตรอกหมดทางออกที่จะแสวงหาเส้นทางกลับสู่วิถีแห่งความเชื่อศรัทธาที่เคยรู้สึกมั่นคงแบบเดิมๆ
ที่เธอเคยเติบโตมา
เธอใช้เวลาหลายเดือนในการอ่านข้อมูลความจริงเชิงประวัติศาสตร์ อ่านถึงเรื่องราวอุโมงค์ที่ว่างเปล่า อ่านถึงหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระศพของพระเยซูคริสต์จะถูกพวกสาวกลักเอาไปซ่อน
เธออ่านหนังสือข้อเขียนทางคริสต์ศาสนศาสตร์ และปรัชญา
และอ่านหนังสือที่ผู้คนเป็นพยานถึงความเชื่อศรัทธาของเขา เธอมีโอกาสพูดคุยกับผู้คนที่เธอไว้วางใจ และในที่สุดเธอได้เห็นหลักฐานความจริงและประจักษ์พยานชีวิตที่ทำให้เธอกลับมายังความรักของพระเยซูคริสต์อีกครั้งหนึ่ง
เธอไม่ได้เห็นพระเยซูคริสต์ด้วยตาของเธอเอง
แต่เธอกลับรู้แน่แก่ใจว่าคนในครอบครัวรักเธอ และรู้ตระหนักชัดว่าพระเจ้าก็รักเธอ
เธอไม่ได้เห็นความรักที่เป็นตัวเป็นตน แต่เธอได้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากความรัก
ความรักที่ว่านี้ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธออย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เธอสามารถที่จะนิ่ง สงบ
และมั่นคงในสถานการณ์ที่ลำบากสุดๆ
เธอได้เห็นถึงความงามในธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง ในยามอาทิตย์อัสดง สร้างความฉงนสนเท่ห์ในเรื่องราวของข่าวประเสริฐ
เธอเกิดความรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า
สิ่งเหล่านี้ที่ทำให้เธอยืนยงคงมั่นในความเชื่อศรัทธาพระเจ้า
ความเชื่อศรัทธาได้เข้ามาในชีวิตของเธอและผ่านการรู้ตระหนักชัดจากสิ่งที่กล่าวนี้
ถ้าปราศจากพื้นที่ว่างในชีวิตที่พ่อแม่ให้แก่เธอในเวลานั้น ที่เธอมีโอกาสได้คิดใคร่ครวญ มีคำถามที่สงสัย มีความคิดที่เคลือบแคลง และพรั่งพรูด้วยคำถามที่ยากแก่การตอบ เธอคงเดินออกจากเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธาของเธอไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
ความจริงที่ผมได้พบเมื่อมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนฝูงหลายคนที่เดินออกจากเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธาของเขา มีเรื่องราวที่ละม้ายคล้ายคลึงกันคือ “เมื่อฉันเริ่มมีปัญหาในจิตใจ ฉันเริ่มตั้งคำถามจากปัญหาเหล่านั้น คนในโบสถ์ต่างบอกกับฉันว่า ขอให้คุณมีเพียงความเชื่อเท่านั้นก็พอแล้ว (พูดอย่างกับตราหน้าว่าเราไม่มีความเชื่อ)”
เมื่อเรามองเข้าไปยังดวงตาของผู้คนกลุ่มนี้ ดูเหมือนมีผ้าคลุมหน้าบางๆ มาคลุมกั้นอยู่ ซึ่งเรามักมองว่านั่นเป็นผ้าคลุมหน้าแห่งความดื้อดึง แข็งขืน
ไม่ยอมเชื่อฟัง เป็นคนที่ล่วงหล่นลงในหุบเหวแห่งความเจ็บปวดในชีวิต คนกลุ่มนี้ถูกคริสตจักรกระทำให้เจ็บปวด หรืออาจจะเป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากสิ่งต่างๆ มิได้เป็นไปตามตาม
“มาตรฐานสูงส่ง” ที่เจ้าตัวได้คาดฝันเกินเลยจากความเป็นจริง หรือชีวิตต้องถลอกปอกเปิกเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความเชื่อศรัทธา
ที่ผ่านมาในชีวิต บ่อยครั้งใช่ไหมที่คริสตจักร
หรือ พวกคริสตชน “หัวเก๋ากึ๊ก” มักจะใช้คำว่า “ความเชื่อ”
เป็นเหมือนไม้พองตีหัวเราเมื่อตอบคำถามยากๆ ของเราไม่ได้ ที่แท้จริงเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่ “ฟาดหัว” เราด้วยคำพูดประเภทที่ว่า เรื่องนี้เธอต้องมีความเชื่อ หรือ
ต้องมีความเชื่อมากกว่านี้! พูดอย่างงี้ก็กำลังตราหน้าเราว่า
“ไม่มีความเชื่อ” หรือ “มีความเชื่อที่หน่อมแน้มอ่อนหัด” แทนที่จะตอบแบบสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมความเชื่อได้มีโอกาสพิจารณาและร่วมกันค้นหาคำตอบด้วยกัน แต่
“คนที่คิดว่ามีความเชื่อที่เข้มแข็งเพียงพอ”
กลับตอบคำถามของผู้ร่วมความเชื่อด้วยการ “ตราหน้า ตัดสิน” ลงไปว่า เราต้องมีความเชื่อที่มาก
ที่แข็งแรงกว่านี้” และซ่อนประโยคความหมายที่แท้จริงที่ว่า
“คุณนะความเชื่ออ่อนแอ” ไว้ให้เราเข้าใจและเจ็บปวด แล้วก็มักลงเอยสอนเราอีกว่า ให้อธิษฐานมากกว่านี้
พูดในลักษณะที่ว่าที่คุณมีคำถาม
ที่คุณสงสัย เป็นปัญหาในตัวคุณ
เพราะคุณอธิษฐานน้อย อธิษฐานไม่เพียงพอคุณเลยมีคำถามแบบนี้ คุณต้องกลับไปอธิษฐานมากกว่านี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ เพื่อนผู้ร่วมความเชื่อที่มีคำถามจากปัญหาที่ตอบยากในชีวิตจนได้รับบาดแผลและรับความบาดเจ็บในชีวิตเพราะการตอบสนองอย่างขอไปทีของคริสตชน
“ที่แข็งแรง”
แล้วตามด้วยการหายหน้าจากโบสถ์ที่เขาเคยมาร่วมนมัสการพระเจ้า เขาแสวงหาที่จะอยู่กับคริสตชนกลุ่มที่ไม่กลัวที่จะถูกถามคำถามจากปัญหาที่ตอบยากๆ หรือไม่พวกเขาก็พากันละทิ้งความเชื่อความศรัทธาที่เขาเคยมีอยู่นั้น
ผมเองอยากรู้จริงๆ ว่า
ที่เราคริสตชนที่ยกตัวเองว่าเป็นผู้มี “ความเชื่อศรัทธาที่เข้มแข็ง”
แล้วตอบคำถามจากปัญหาที่ตอบยากอย่างที่กล่าวข้างต้นนั้น เพราะเราไม่สนใจคำถามของเพื่อนผู้ร่วมความเชื่อกลุ่ม
หรือ เพราะเรากลัวที่จะต้องตอบคำถามที่ตอบยาก หรือ กลัวคำถามที่เราไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร เลยตอบแบบ “ตีตราและตัดสิน” ให้เขาตกเป็นจำเลยเป็นคนผิด ที่เรากระทำเช่นนั้นอาจจะเป็นการพลั้งเผลอ
หรือ คุ้นชินกับการกระทำเช่นนี้
เพราะมันช่วยรักษาหน้าของเราหรือเปล่า?
หรือช่วยให้เรารู้สึกดีกับตนเองว่าเราเป็นคริสตชนชั้นสูงกว่าเขา? หรือเรากลัวที่จะเปิด “ผอบปัญหาตอบยาก” เพราะกลัวว่ามันเป็นเรื่องคริสต์ศาสนศาสตร์ และ
เรื่องราวชีวิตที่เราไม่คุ้นชินหรือไม่?
ถ้ามองด้วยสายตาของผู้คนในสังคมที่มิใช่คริสตชน ผู้คนกลุ่มนี้มองว่าคริสตชนมักเป็นกลุ่มชนที่มองว่าตนเองมีความเชื่อศรัทธาที่ถูกต้องเป็นจริงแต่เพียงผู้เดียว
และที่ถูกต้องเป็นจริงนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ตรรกะในการหาเหตุผล หรือไม่ต้องค้นหาวิจัยถึงหลักฐานความจริง คริสตชนจึงถูกมองจากสายตาของคนข้างนอกว่า เป็นพวกที่มีความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างที่งมงายเท่านั้น
สิ่งที่คริสตชนคิดว่าตนเป็นคริสตชนที่
“แข็งแรง” จะต้องตระหนักและเอาใจใส่คือ
มีคริสตชนในคริสตจักรของเราที่เกิดความสงสัยเคลือบแคลงด้วยคำถามจากปัญหาที่ตอบยากเหล่านี้ด้วย คริสตชนกลุ่มนี้ในคริสตจักรของเราเวลามาร่วมนมัสการพระเจ้าในคริสตจักร พวกเขาสัมผัสสัมพันธ์กับเพื่อนคริสตชนที่เขาพบวันอาทิตย์ มองหน้าคนที่นั่งข้างๆ ที่กำลังฟังเทศนา
เขาเกิดความรู้สึกที่ประหลาดใจแกมสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่เป็นปัญหาและมีคำถามในชีวิตทุกวันนี้แต่เพียงผู้เดียว
ความจริงแล้ว
คนที่จริงใจและกล้าแสดงออกถึงความสงสัยเพื่อแสวงหาความจริงในความเชื่อศรัทธาของเขาบางคนเป็นการเปิดสิ่งที่เคลือบคลุม
สงสัย ผิดหวัง ความไม่พึงพอใจกับความเชื่อศรัทธาที่เขามีอยู่
คนที่โลกรู้จักดีคือ C.S.Lewis
เดิมเป็นผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า
แต่กลับใจเชื่อพระเจ้าในช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
ที่เขามีโอกาสถกเถียงสนทนาคำถามจากปัญหาที่ตอบยากกับ G.K.Chesterton และ J.R.R.Tolkien
เราสามารถพบคริสตชนหลายต่อหลายคนในประวัติศาสตร์ที่มาเชื่อศรัทธาในพระเจ้าด้วยการที่เขามีโอกาสที่จะถามคำถามจากประเด็นปัญหาที่ตอบยาก แล้วคริสตชนในคริสตจักรไม่หลบลี้ หรือ
หลบหลีกที่จะค้นหาคำตอบต่อประเด็นคำถามชีวิตที่ตอบยากเหล่านั้นร่วมกับเขา
แต่ถ้าคริสตชนตอบคำถามผู้อยากรู้อยากเห็นอยากได้รับคำตอบต่อคำถามที่ตอบยากเหล่านี้อย่างขอไปที ด้วยสูตรตายตัวของคริสตชน หรือด้วยท่าทีแบบยกตนข่มท่านในความเชื่อศรัทธา แล้วรีบปิดฉากการสนทนาด้วยการสอนแนะเขาว่า
เขาควรจะเชื่อศรัทธาในพระเจ้ามากกว่านี้
เขาต้องอธิษฐานมากกว่านี้
มักเป็นการปิดฉากความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นของคริสตชนเหล่านั้นในคริสตจักร ด้วยการที่พวกเขาจะออกไปจากคริสตจักรเพื่อจะแสวงหาชุมชนที่จะร่วมกับเขาในการแสวงหาคำตอบในคำถามที่ตอบยากในชีวิตของเขา
ขอตั้งข้อสังเกตว่า คริสตชนที่ตัดสินใจเชื่อศรัทธาพระเจ้าเพราะการพบกับคำตอบต่อคำถามที่ตอบยากในชีวิตนั้น
เรามักพบว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นประชากรที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพ
และเกิดผลในแผ่นดินของพระเจ้า
ในโลกที่พร้อมพูนด้วยข้อมูลข่าวสารและเต็มไปด้วยสารพัดคำถามในชีวิตเป็นเครื่องกระตุ้นการขับเคลื่อนชีวิตและพันธกิจของคริสตจักร ในที่นี้ผมเห็นชัดเจนว่ารากฐานสำคัญสำหรับคริสตชนประการแรกคือการที่คริสตจักรจะต้องเอาใจใส่เสริมหนุนให้เกิดการวางรากฐานที่แข็งแรงของคริสตชนที่หยั่งรากลึกลงในพระวจนะ
เราต้องเรียนรู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในขบวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกและมนุษยชาติ และคริสตจักรต้องไม่กลัวคำถามที่มาจากปัญหาชีวิตที่ตอบยาก ถ้าคริสตชนไม่เคยสงสัยเคลือบแคลงในความเชื่อศรัทธาของตน
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้แจ้งตระหนักชัดในการรู้ถึงความเชื่อศรัทธาน้อยเหลือเกิน(จนไม่สนใจจะถามอะไร)
ชุมชนคริสตจักรต้องกล้าที่จะหนุนเสริมซึ่งกันและกันให้กล้าที่จะถามคำถามที่มาจากปัญหาชีวิตที่ตอบยาก เพราะนี่เป็นหนทางหนึ่ง
วิธีการหนึ่งที่จะหนุนเสริมให้สมาชิกคริสตจักรกล้าที่จะเจาะลึกลงในสัจจะความจริงในความเชื่อศรัทธาในเรื่องนั้นๆ เพื่อสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนจะได้เรียนรู้
ตระหนักชัด
และเติบโตขึ้นในความเชื่อศรัทธาของตน
จากประสบการณ์ในความเชื่อศรัทธาของผมได้เรียนรู้และตระหนักชัดว่า
พระเจ้าทรงอยู่และดำเนินเคียงข้างไปกับชีวิตของผม
ไม่ว่าในเวลาที่ผมเชื่อไว้วางใจอย่างมากในพระองค์ หรือในเวลาที่ผมเกิดความสงสัยเคลือบแคลง หรือ
แม้แต่กำลังจะสิ้นหวังในพระองค์ผมพบแล้วว่า
พระองค์ยังเคียงข้างชีวิตของผม
เมื่อโยชูวาต้องรับช่วงการนำอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญาที่ครอบครองโดยประเทศต่างๆ
ที่เข้มแข็งและมีกำลังมาก
ไม่แปลกที่โยชูวาจะมีคำถามมากมายในใจของเขาที่ถามพระเจ้า
เขาสงสัยเหลือเกินว่ากองกำลังประชาชนแบบอิสราเอลจะสู้กับกองกำลังพันธมิตรในแผ่นดินคะนาอันได้หรือไม่? ประชาชนและบรรดาผู้นำอิสราเอลเชื่อใจเขาและสนับสนุนในการนำของเขาหรือไม่?
ทำไมแผ่นดินพระสัญญาถึงครอบครองด้วยชนชาติอื่น
ทำไมพระเจ้าไม่ขับไล่พวกเขาให้ออกจากแผ่นดินนี้ไปก่อน
แล้วมอบแผ่นดินนี้ให้พวกอิสราเอลที่จะตั้งประเทศใหม่? แล้วโยชูวาคงถามในใจของตนว่า แล้วจะนำพวกอิสราเอลนี้อย่างไรดี?
ความจริงที่โยชูวารู้ก็คือ ตลอดระยะการเดินทางมาหลายสิบปีนี้ พระเจ้าทรงเดินทางร่วมกับพวกเขา ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเขา แต่ทรงดูแลเขา และช่วยให้เขาเติบโตขึ้น ดังในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 31:6
พระยาเวห์ตรัสหนุนเสริมกำลังใจและความมั่นใจแก่โยชูวาว่า
“...จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือครั่นคร้ามเขาเลย
เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระยาเวห์พระเจ้าของท่าน
พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่าน” (ฉบับมาตรฐาน)
พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอในทุกเวลาแม้ในเวลาที่เรามองหาพระองค์ไม่เห็น สิ่งที่ผมทูลขอต่อพระเจ้าคือขอให้ชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนที่อ้าแขนเปิดรับทั้งคนที่มีความสงสัยเคลือบแคลงในความเชื่อศรัทธา
และเป็นชุมชนของผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาที่เข้มแข็งมั่นคงด้วย และที่สำคัญคือ
ให้คนในชุมชนคริสตจักรต่างหนุนเสริมเพิ่มพลังความเชื่อศรัทธาแก่กันและกัน
เพื่อชุมชนคริสตจักรจะเป็นชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้า
ที่ผู้คนพร้อมที่จะเข้ามาร่วมชีวิตภายใต้การครอบครองของพระเจ้าในแผ่นดินของพระองค์ อาเมน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น