01 กุมภาพันธ์ 2556

คริสตจักรมีพื้นที่สำหรับ “ความสงสัย” หรือไม่?


สาวคริสตชนวัย 16 ปีนอนเหยียดอยู่บนที่นอน   ตาเหม่อลอยมองขึ้นไปที่เพดาน   น้ำตาไหลเล็ดลอดออกจากดวงตา   เธอตกเป็นเป้าสายตาของพ่อแม่ที่ยืนอยู่ที่ปากประตูห้องที่มองมายังเธอ   ตอนนั้นเธอหมดความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง   เธอเพิ่งเกิดปากเสียงเถียงกันอย่างรุนแรงกับพ่อแม่ของเธอ   การถกเถียงดังกล่าวลามปามไปยังเรื่องความสงสัยเคลือบแคลงพระเจ้าที่ได้แทงลอดงอกขึ้นในจิตใจของเธอในขวบปีที่ผ่านมา

เมื่อคำพูดที่สงสัยเคลือบแคลงที่เธอมีในพระเจ้าหลุดออกมาจากปากของเธอที่ตอบโต้อย่างร้อนแรงกับพ่อแม่นั้น  เป็นคำพูดที่เธอพูดจากความจริงใจของเธอไร้สิ่งเคลือบแฝง   ความเชื่อศรัทธาที่ได้รับการหล่อหลอมในชั้นเรียนรวีวารศึกษาดูเหมือนจะกำลังละลายไหลหายไปกับการสงสัย

แต่ในสถานการณ์นั้นเธอยังจำภาพอย่างชัดเจนถึงพ่อแม่ที่ยืนมองมายังเธอด้วยความสงบ   เมื่อเธอบอกเขาทั้งสองถึงสิ่งที่เธอสงสัยไม่เชื่อศรัทธาอีกต่อไป   แม่ไม่ได้ตอบโต้ด้วยขู่สำทับให้หยุดพูดเช่นนั้น   และพ่อเองก็ไม่ได้โน้มน้าวพูดจาให้เธอคล้อยหรือเปลี่ยนความคิด   เขาทั้งสองพูดอย่างปกติกับเธอว่า  ทุกคนก็มีความสงสัยเคลือบแคลงได้ทั้งนั้นเพราะมิเช่นนั้นแล้วเขาคนนั้นก็จะไม่มีความเชื่อศรัทธาที่เป็นของตนเอง   จากนั้นทั้งพ่อและแม่บอกกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า เขารักลูกสาวนะ   แล้วเดินไปจากห้องของเด็กสาว   ลูกสาวรู้อยู่แก่ใจว่าทั้งสองมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของตนเพื่ออธิษฐานเผื่อลูกสาวที่เขารัก

ตั้งแต่วินาทีนั้นเอง   เธอจนตรอกหมดทางออกที่จะแสวงหาเส้นทางกลับสู่วิถีแห่งความเชื่อศรัทธาที่เคยรู้สึกมั่นคงแบบเดิมๆ ที่เธอเคยเติบโตมา

เธอใช้เวลาหลายเดือนในการอ่านข้อมูลความจริงเชิงประวัติศาสตร์   อ่านถึงเรื่องราวอุโมงค์ที่ว่างเปล่า  อ่านถึงหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระศพของพระเยซูคริสต์จะถูกพวกสาวกลักเอาไปซ่อน   เธออ่านหนังสือข้อเขียนทางคริสต์ศาสนศาสตร์  และปรัชญา  และอ่านหนังสือที่ผู้คนเป็นพยานถึงความเชื่อศรัทธาของเขา   เธอมีโอกาสพูดคุยกับผู้คนที่เธอไว้วางใจ   และในที่สุดเธอได้เห็นหลักฐานความจริงและประจักษ์พยานชีวิตที่ทำให้เธอกลับมายังความรักของพระเยซูคริสต์อีกครั้งหนึ่ง   เธอไม่ได้เห็นพระเยซูคริสต์ด้วยตาของเธอเอง   แต่เธอกลับรู้แน่แก่ใจว่าคนในครอบครัวรักเธอ   และรู้ตระหนักชัดว่าพระเจ้าก็รักเธอ

เธอไม่ได้เห็นความรักที่เป็นตัวเป็นตน   แต่เธอได้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากความรัก   ความรักที่ว่านี้ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธออย่างต่อเนื่อง   ช่วยให้เธอสามารถที่จะนิ่ง  สงบ  และมั่นคงในสถานการณ์ที่ลำบากสุดๆ   เธอได้เห็นถึงความงามในธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง   ในยามอาทิตย์อัสดง   สร้างความฉงนสนเท่ห์ในเรื่องราวของข่าวประเสริฐ   เธอเกิดความรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า   สิ่งเหล่านี้ที่ทำให้เธอยืนยงคงมั่นในความเชื่อศรัทธาพระเจ้า   ความเชื่อศรัทธาได้เข้ามาในชีวิตของเธอและผ่านการรู้ตระหนักชัดจากสิ่งที่กล่าวนี้

ถ้าปราศจากพื้นที่ว่างในชีวิตที่พ่อแม่ให้แก่เธอในเวลานั้น  ที่เธอมีโอกาสได้คิดใคร่ครวญ  มีคำถามที่สงสัย  มีความคิดที่เคลือบแคลง  และพรั่งพรูด้วยคำถามที่ยากแก่การตอบ   เธอคงเดินออกจากเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธาของเธอไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว

ความจริงที่ผมได้พบเมื่อมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนฝูงหลายคนที่เดินออกจากเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธาของเขา   มีเรื่องราวที่ละม้ายคล้ายคลึงกันคือ  “เมื่อฉันเริ่มมีปัญหาในจิตใจ  ฉันเริ่มตั้งคำถามจากปัญหาเหล่านั้น   คนในโบสถ์ต่างบอกกับฉันว่า  ขอให้คุณมีเพียงความเชื่อเท่านั้นก็พอแล้ว  (พูดอย่างกับตราหน้าว่าเราไม่มีความเชื่อ)”

เมื่อเรามองเข้าไปยังดวงตาของผู้คนกลุ่มนี้    ดูเหมือนมีผ้าคลุมหน้าบางๆ มาคลุมกั้นอยู่  ซึ่งเรามักมองว่านั่นเป็นผ้าคลุมหน้าแห่งความดื้อดึง  แข็งขืน  ไม่ยอมเชื่อฟัง   เป็นคนที่ล่วงหล่นลงในหุบเหวแห่งความเจ็บปวดในชีวิต   คนกลุ่มนี้ถูกคริสตจักรกระทำให้เจ็บปวด   หรืออาจจะเป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากสิ่งต่างๆ มิได้เป็นไปตามตาม “มาตรฐานสูงส่ง” ที่เจ้าตัวได้คาดฝันเกินเลยจากความเป็นจริง   หรือชีวิตต้องถลอกปอกเปิกเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความเชื่อศรัทธา

ที่ผ่านมาในชีวิต บ่อยครั้งใช่ไหมที่คริสตจักร หรือ พวกคริสตชน “หัวเก๋ากึ๊ก” มักจะใช้คำว่า “ความเชื่อ” เป็นเหมือนไม้พองตีหัวเราเมื่อตอบคำถามยากๆ ของเราไม่ได้  ที่แท้จริงเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร  แต่ “ฟาดหัว” เราด้วยคำพูดประเภทที่ว่า  เรื่องนี้เธอต้องมีความเชื่อ หรือ ต้องมีความเชื่อมากกว่านี้!  พูดอย่างงี้ก็กำลังตราหน้าเราว่า “ไม่มีความเชื่อ” หรือ “มีความเชื่อที่หน่อมแน้มอ่อนหัด”   แทนที่จะตอบแบบสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมความเชื่อได้มีโอกาสพิจารณาและร่วมกันค้นหาคำตอบด้วยกัน   แต่ “คนที่คิดว่ามีความเชื่อที่เข้มแข็งเพียงพอ”  กลับตอบคำถามของผู้ร่วมความเชื่อด้วยการ “ตราหน้า ตัดสิน” ลงไปว่า  เราต้องมีความเชื่อที่มาก ที่แข็งแรงกว่านี้”  และซ่อนประโยคความหมายที่แท้จริงที่ว่า “คุณนะความเชื่ออ่อนแอ” ไว้ให้เราเข้าใจและเจ็บปวด   แล้วก็มักลงเอยสอนเราอีกว่า  ให้อธิษฐานมากกว่านี้ พูดในลักษณะที่ว่าที่คุณมีคำถาม  ที่คุณสงสัย  เป็นปัญหาในตัวคุณ เพราะคุณอธิษฐานน้อย อธิษฐานไม่เพียงพอคุณเลยมีคำถามแบบนี้  คุณต้องกลับไปอธิษฐานมากกว่านี้   ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ  เพื่อนผู้ร่วมความเชื่อที่มีคำถามจากปัญหาที่ตอบยากในชีวิตจนได้รับบาดแผลและรับความบาดเจ็บในชีวิตเพราะการตอบสนองอย่างขอไปทีของคริสตชน “ที่แข็งแรง”  แล้วตามด้วยการหายหน้าจากโบสถ์ที่เขาเคยมาร่วมนมัสการพระเจ้า   เขาแสวงหาที่จะอยู่กับคริสตชนกลุ่มที่ไม่กลัวที่จะถูกถามคำถามจากปัญหาที่ตอบยากๆ   หรือไม่พวกเขาก็พากันละทิ้งความเชื่อความศรัทธาที่เขาเคยมีอยู่นั้น   

ผมเองอยากรู้จริงๆ ว่า ที่เราคริสตชนที่ยกตัวเองว่าเป็นผู้มี “ความเชื่อศรัทธาที่เข้มแข็ง”   แล้วตอบคำถามจากปัญหาที่ตอบยากอย่างที่กล่าวข้างต้นนั้น  เพราะเราไม่สนใจคำถามของเพื่อนผู้ร่วมความเชื่อกลุ่ม หรือ เพราะเรากลัวที่จะต้องตอบคำถามที่ตอบยาก หรือ กลัวคำถามที่เราไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร   เลยตอบแบบ “ตีตราและตัดสิน” ให้เขาตกเป็นจำเลยเป็นคนผิด   ที่เรากระทำเช่นนั้นอาจจะเป็นการพลั้งเผลอ หรือ คุ้นชินกับการกระทำเช่นนี้  เพราะมันช่วยรักษาหน้าของเราหรือเปล่า?  หรือช่วยให้เรารู้สึกดีกับตนเองว่าเราเป็นคริสตชนชั้นสูงกว่าเขา?  หรือเรากลัวที่จะเปิด “ผอบปัญหาตอบยาก”  เพราะกลัวว่ามันเป็นเรื่องคริสต์ศาสนศาสตร์ และ เรื่องราวชีวิตที่เราไม่คุ้นชินหรือไม่?

ถ้ามองด้วยสายตาของผู้คนในสังคมที่มิใช่คริสตชน   ผู้คนกลุ่มนี้มองว่าคริสตชนมักเป็นกลุ่มชนที่มองว่าตนเองมีความเชื่อศรัทธาที่ถูกต้องเป็นจริงแต่เพียงผู้เดียว  และที่ถูกต้องเป็นจริงนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ตรรกะในการหาเหตุผล   หรือไม่ต้องค้นหาวิจัยถึงหลักฐานความจริง   คริสตชนจึงถูกมองจากสายตาของคนข้างนอกว่า เป็นพวกที่มีความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างที่งมงายเท่านั้น

สิ่งที่คริสตชนคิดว่าตนเป็นคริสตชนที่ “แข็งแรง” จะต้องตระหนักและเอาใจใส่คือ   มีคริสตชนในคริสตจักรของเราที่เกิดความสงสัยเคลือบแคลงด้วยคำถามจากปัญหาที่ตอบยากเหล่านี้ด้วย   คริสตชนกลุ่มนี้ในคริสตจักรของเราเวลามาร่วมนมัสการพระเจ้าในคริสตจักร   พวกเขาสัมผัสสัมพันธ์กับเพื่อนคริสตชนที่เขาพบวันอาทิตย์   มองหน้าคนที่นั่งข้างๆ ที่กำลังฟังเทศนา   เขาเกิดความรู้สึกที่ประหลาดใจแกมสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่เป็นปัญหาและมีคำถามในชีวิตทุกวันนี้แต่เพียงผู้เดียว

ความจริงแล้ว  คนที่จริงใจและกล้าแสดงออกถึงความสงสัยเพื่อแสวงหาความจริงในความเชื่อศรัทธาของเขาบางคนเป็นการเปิดสิ่งที่เคลือบคลุม สงสัย ผิดหวัง  ความไม่พึงพอใจกับความเชื่อศรัทธาที่เขามีอยู่

คนที่โลกรู้จักดีคือ C.S.Lewis เดิมเป็นผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า   แต่กลับใจเชื่อพระเจ้าในช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่เขามีโอกาสถกเถียงสนทนาคำถามจากปัญหาที่ตอบยากกับ G.K.Chesterton และ J.R.R.Tolkien  

เราสามารถพบคริสตชนหลายต่อหลายคนในประวัติศาสตร์ที่มาเชื่อศรัทธาในพระเจ้าด้วยการที่เขามีโอกาสที่จะถามคำถามจากประเด็นปัญหาที่ตอบยาก   แล้วคริสตชนในคริสตจักรไม่หลบลี้ หรือ หลบหลีกที่จะค้นหาคำตอบต่อประเด็นคำถามชีวิตที่ตอบยากเหล่านั้นร่วมกับเขา  

แต่ถ้าคริสตชนตอบคำถามผู้อยากรู้อยากเห็นอยากได้รับคำตอบต่อคำถามที่ตอบยากเหล่านี้อย่างขอไปที  ด้วยสูตรตายตัวของคริสตชน  หรือด้วยท่าทีแบบยกตนข่มท่านในความเชื่อศรัทธา   แล้วรีบปิดฉากการสนทนาด้วยการสอนแนะเขาว่า เขาควรจะเชื่อศรัทธาในพระเจ้ามากกว่านี้   เขาต้องอธิษฐานมากกว่านี้  มักเป็นการปิดฉากความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นของคริสตชนเหล่านั้นในคริสตจักร   ด้วยการที่พวกเขาจะออกไปจากคริสตจักรเพื่อจะแสวงหาชุมชนที่จะร่วมกับเขาในการแสวงหาคำตอบในคำถามที่ตอบยากในชีวิตของเขา

ขอตั้งข้อสังเกตว่า   คริสตชนที่ตัดสินใจเชื่อศรัทธาพระเจ้าเพราะการพบกับคำตอบต่อคำถามที่ตอบยากในชีวิตนั้น  เรามักพบว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นประชากรที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพ และเกิดผลในแผ่นดินของพระเจ้า

ในโลกที่พร้อมพูนด้วยข้อมูลข่าวสารและเต็มไปด้วยสารพัดคำถามในชีวิตเป็นเครื่องกระตุ้นการขับเคลื่อนชีวิตและพันธกิจของคริสตจักร   ในที่นี้ผมเห็นชัดเจนว่ารากฐานสำคัญสำหรับคริสตชนประการแรกคือการที่คริสตจักรจะต้องเอาใจใส่เสริมหนุนให้เกิดการวางรากฐานที่แข็งแรงของคริสตชนที่หยั่งรากลึกลงในพระวจนะ   เราต้องเรียนรู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในขบวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกและมนุษยชาติ   และคริสตจักรต้องไม่กลัวคำถามที่มาจากปัญหาชีวิตที่ตอบยาก   ถ้าคริสตชนไม่เคยสงสัยเคลือบแคลงในความเชื่อศรัทธาของตน   นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้แจ้งตระหนักชัดในการรู้ถึงความเชื่อศรัทธาน้อยเหลือเกิน(จนไม่สนใจจะถามอะไร)   ชุมชนคริสตจักรต้องกล้าที่จะหนุนเสริมซึ่งกันและกันให้กล้าที่จะถามคำถามที่มาจากปัญหาชีวิตที่ตอบยาก   เพราะนี่เป็นหนทางหนึ่ง วิธีการหนึ่งที่จะหนุนเสริมให้สมาชิกคริสตจักรกล้าที่จะเจาะลึกลงในสัจจะความจริงในความเชื่อศรัทธาในเรื่องนั้นๆ   เพื่อสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนจะได้เรียนรู้ ตระหนักชัด  และเติบโตขึ้นในความเชื่อศรัทธาของตน

จากประสบการณ์ในความเชื่อศรัทธาของผมได้เรียนรู้และตระหนักชัดว่า พระเจ้าทรงอยู่และดำเนินเคียงข้างไปกับชีวิตของผม   ไม่ว่าในเวลาที่ผมเชื่อไว้วางใจอย่างมากในพระองค์   หรือในเวลาที่ผมเกิดความสงสัยเคลือบแคลง หรือ แม้แต่กำลังจะสิ้นหวังในพระองค์ผมพบแล้วว่า  พระองค์ยังเคียงข้างชีวิตของผม 

เมื่อโยชูวาต้องรับช่วงการนำอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญาที่ครอบครองโดยประเทศต่างๆ ที่เข้มแข็งและมีกำลังมาก   ไม่แปลกที่โยชูวาจะมีคำถามมากมายในใจของเขาที่ถามพระเจ้า   เขาสงสัยเหลือเกินว่ากองกำลังประชาชนแบบอิสราเอลจะสู้กับกองกำลังพันธมิตรในแผ่นดินคะนาอันได้หรือไม่?   ประชาชนและบรรดาผู้นำอิสราเอลเชื่อใจเขาและสนับสนุนในการนำของเขาหรือไม่?  ทำไมแผ่นดินพระสัญญาถึงครอบครองด้วยชนชาติอื่น   ทำไมพระเจ้าไม่ขับไล่พวกเขาให้ออกจากแผ่นดินนี้ไปก่อน  แล้วมอบแผ่นดินนี้ให้พวกอิสราเอลที่จะตั้งประเทศใหม่?   แล้วโยชูวาคงถามในใจของตนว่า  แล้วจะนำพวกอิสราเอลนี้อย่างไรดี?   

ความจริงที่โยชูวารู้ก็คือ   ตลอดระยะการเดินทางมาหลายสิบปีนี้   พระเจ้าทรงเดินทางร่วมกับพวกเขา  ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเขา  แต่ทรงดูแลเขา   และช่วยให้เขาเติบโตขึ้น   ดังในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 31:6  พระยาเวห์ตรัสหนุนเสริมกำลังใจและความมั่นใจแก่โยชูวาว่า

“...จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด   อย่ากลัวหรือครั่นคร้ามเขาเลย
 เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระยาเวห์พระเจ้าของท่าน
 พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่าน”  (ฉบับมาตรฐาน)

พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอในทุกเวลาแม้ในเวลาที่เรามองหาพระองค์ไม่เห็น   สิ่งที่ผมทูลขอต่อพระเจ้าคือขอให้ชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนที่อ้าแขนเปิดรับทั้งคนที่มีความสงสัยเคลือบแคลงในความเชื่อศรัทธา   และเป็นชุมชนของผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาที่เข้มแข็งมั่นคงด้วย   และที่สำคัญคือ ให้คนในชุมชนคริสตจักรต่างหนุนเสริมเพิ่มพลังความเชื่อศรัทธาแก่กันและกัน    เพื่อชุมชนคริสตจักรจะเป็นชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ที่ผู้คนพร้อมที่จะเข้ามาร่วมชีวิตภายใต้การครอบครองของพระเจ้าในแผ่นดินของพระองค์   อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น