30 พฤศจิกายน 2553

ทนทุกข์เพื่อการทรงกอบกู้

27สิเมโอนเข้าไปในบริเวณพระวิหาร โดยพระวิญญาณทรงนำ และเมื่อบิดามารดาได้นำพระ
กุมารเยซูเข้าไป เพื่อจะกระทำแก่พระกุมารตามธรรมเนียมแห่งธรรมบัญญัติ
28สิเมโอนจึงอุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า
29“ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์
30เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว
31ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย
32เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์”
33ฝ่ายบิดามารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจ เพราะถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวถึงพระกุมารนั้น
34แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาพระกุมารนั้นว่า
“ดูก่อน ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น
และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ 35เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง
ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย” (ลูกา 2:27-35)

จงให้ความสุข-ทุกข์ในแต่ละวันเป็นงานที่ท่านทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยเหตุนี้พระวิญญาณแห่งพระพรก็จะบังเกิดขึ้นในทุกงานที่ท่านทำ
จงมอบถวายทุกวันแห่งการบริการรับใช้ของท่านแด่พระองค์
ท่านก็จะมีส่วนร่วมในชีวิตแห่งพระราชกิจของพระองค์
อันเป็นการมีส่วนร่วมการช่วยพระองค์ในการกอบกู้โลกนี้

มาเรีย และ โยเซฟ ได้ใช้ชีวิตประจำวันในการเลี้ยงดูพระกุมาร
ทั้งสองอาจจะไม่สามารถมองเห็นว่า งานนี้เป็นการร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างไร
แต่มาเรียได้เอาคำเล่าของผู้เลี้ยงแกะ และ คำกล่าวของสิเมโอน รำพึงภาวนาอยู่ในใจ(2:19, 33-35)

การทำงานในชีวิตประจำวันของท่าน
ท่านอาจจะมองไม่เห็นว่านี่เป็นการช่วยกอบกู้โลกได้เช่นใด
แต่พลังอำนาจของผู้ทำงานด้วยความอุทิศถวายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น
เป็นพลังร่วมในการกอบกู้ที่อยู่เหนือความสามารถที่จะเข้าใจได้ของมนุษย์ในโลกนี้

28 พฤศจิกายน 2553

ขอทานแห่งสวรรค์

นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู… วิวรณ์ 3:20

โอ จงไตร่ตรองข้อความนี้อีกครั้งหนึ่ง และ
เรียนรู้ถึงความถ่อมขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากข้อพระคัมภีร์ข้างต้น

28บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)

นี่คือคำเชิญด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
สำหรับผู้ที่ปรารถนาที่จะประสบกับศานติสุข
ต้องการหายเหนื่อย และ ความรู้สึกพึงพอใจที่แท้จริงในชีวิต
ซึ่งไม่สามารถแสวงหาพบจากโลกนี้
คำตอบต่อสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายปรารถนาต้องการ
เป็นคำตอบวิงวอนจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า
“จงมาหาเรา และ เราจะให้เจ้าหายเหนื่อยเป็นสุข”

แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้สึกที่ต้องการองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ด้วยความดื้อรั้น
ผู้ที่ปิดประตูชีวิตของเขา เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเข้าไปไม่ได้
พระองค์จะรอคอยด้วยใจถ่อมและห่วงใย
จนกว่าคนเหล่านี้จะยอม “เปิดชีวิตของตน” แด่พระองค์
แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะพบว่าประตูหัวใจทั้งหมดเหล่านั้นจะปิดแน่นและมีสิ่งที่ กีดกัน ขวางกั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้ายืนหน้าประตูเฉกเช่นขอทาน
เคาะประตูนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า
ขอทานผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ที่เปี่ยมล้นด้วยใจถ่อม

สำหรับคนที่ “ปิดประตู” ชีวิตของเขาต่อท่าน หรือ
คนที่ลืมท่าน หรือ คนที่ปฏิเสธท่าน
ท่านจงอย่าคิดว่าคนเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นสำหรับท่าน หรือ
ปล่อยให้คนพวกนี้คอยอยู่ที่นั่น อยู่อย่างนั้น
ท่านจะคิดเช่นนั้นไม่ได้
ท่านจงระลึกเสมอถึง “ขอทานแห่งสวรรค์” และ
เรียนรู้จากใจที่ถ่อมขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ท่านจงเรียนรู้ถึงคุณค่าแห่งความสุข ศานติ และ
การผ่อนพักจากพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และ
เรียนรู้ที่จะอธิษฐานอย่างไม่หยุดยั้งอย่างองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งเบื้องบน
จนกว่าจิตวิญญาณของท่านจะได้ผ่อนพักและพบศานติสุขในพระองค์

23 พฤศจิกายน 2553

ลำแสงแห่งความชื่นชมยินดี

14“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ (มัทธิว 5:14-16)

ท่านมิเพียงแต่จะมีความชื่นชมยินดีเท่านั้น
แต่ท่านจะต้องสำแดงความชื่นชมยินดีนั้นให้คนทั้งหลายได้รู้ได้เห็นด้วย
เทียนไขควรจุดไว้บนเชิงตะเกียง
ไม่ควรเอาถังครอบไว้
เพื่อเทียนนั้นจะส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น

คนทั้งหลายจะต้องเห็นและรู้ถึงความชื่นชมยินดีของท่าน และ
พวกเขาได้เห็นและรู้อย่างไม่มีข้อสงสัยถึงความชื่นชมยินดีของท่าน
ว่าเป็นความชื่นชมยินดีที่เกิดจากการที่ท่านไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า และ
เกิดจากการที่ท่านมีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์

วิถีที่มิใช่ทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และ เป็นทางที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง
คือการละทิ้งหลีกหนีที่จะเดินไปบนเส้นทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเดินทางเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม
พระองค์รู้แล้วว่าเสียงร้องว่าโฮซันนา และ
ขบวนที่เต็มไปด้วยเสียงแห่งความยินดีมีชัย
บนเส้นทางนั้นพระองค์กลับต้องถูกปฏิเสธ
ถูกหมิ่นประมาท
ถูกถากถางด่าทอ
ถูกกระทำด้วยความหยาบคาย และ
ถูกคนศรัทธา ใกล้ชิด และสนิททอดทิ้ง
ความตายรอองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ข้างหน้า

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าสู่มหานครเยรูซาเล็ม
แต่พวกเขามิได้สังเกตเห็นถึงความเศร้า
ที่องค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่สาวกของพระองค์ในอาหารมื้อสุดท้าย

แต่เมื่อพระองค์ร้องเพลงสรรเสริญแล้ว
องค์พระผู้เป็นเจ้าเดินทางต่อไปยังภูเขามะกอกเทศ
พระองค์ทุ่มเทแรงทั้งชีวิตในการอธิษฐานต่อพระบิดา
เพื่อพระองค์จะมีกำลังเพียงพอที่จะกล้าหาญมั่นคงเดินไปบนเส้นทางแห่งพระประสงค์
แม้รู้อยู่เต็มอกว่าความตายยืนตระหง่านรอคอยอยู่ข้างหน้าก็ตาม
เพื่อพระองค์จะทอแสงแห่งความชื่นชมยินดีบนเส้นทางชีวิตที่ขรุขระ ทุกข์ยาก และความตาย
เพื่อพระองค์จะไม่หนี ละทิ้งพระราชกิจที่พระบิดาทรงมอบหมาย

บนเส้นทางชีวิตที่ขรุขระ ทุกข์ยาก ลำบาก และความมืดมน ในวันนี้
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเดินเคียงข้างไปกับท่านอย่างสงบ มั่นคง
บนเส้นทางชีวิตสายนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้ท่านส่องสว่างแห่งความปีติยินดี
เพื่อคนรอบข้างจะได้รับ “ความสว่างและไออุ่น” จากแสงแห่งความปีติชื่นชม

พระธรรมภาวนา

ยอห์น 16:22
ฉันใดก็ดี ขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์ แต่เราจะมาหาท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดจะช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้

โรม 12:12
จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน

ฟิลิปปี 4:4
จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด

1 เปโตร 1:6
ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ

1 เปโตร 4:13
แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดีในการที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของพระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย

21 พฤศจิกายน 2553

ความล้ำลึกของพระเจ้า

ความหวังของท่านอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านจงตั้งความหวังของท่านในพระองค์
มากขึ้นและมากขึ้น

จงรู้เถิดว่า
ไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
อนาคตจะสำแดงถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าชัดเจน
มากขึ้นและมากขึ้น

แม้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
แต่ท่านจงชื่นชมยินดีอย่างเต็มเปี่ยมเถิด
ดังนั้น
ไม่ว่าในสวรรค์หรือในโลกนี้
ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด
วิถีทางที่ท่านเดินไปนั้นจะเป็นทางที่น่ายินดีพอใจยิ่ง

อย่าพยายามที่จะหาคำตอบต่อความลึกลับแห่งโลกนี้
แต่ท่านจะเรียนรู้ถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
มากขึ้นและมากขึ้น และ
ในการเรียนรู้ดังกล่าว
ท่านจะพบคำตอบต่อทุกคำถามที่ท่านต้องการรู้ และ
เมื่อท่านพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าหน้าต่อหน้าในโลกแห่งจิตวิญญาณ
ท่านจะพบว่าท่านไม่จำเป็นที่จะต้องถามอะไรอีกต่อไป
ขอย้ำว่าคำตอบที่ท่านต้องการทั้งสิ้นนั้นอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงจำไว้ว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าคือคำตอบสำหรับคำถามทั้งหลายของมนุษย์
เกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
เกี่ยวกับพระบิดา และ
เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ และ
เกี่ยวกับพระบัญญัติของพระองค์

ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องรู้เรื่องศาสนศาสตร์
แต่ท่านจงเรียนรู้ถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระวาทะ(พระวจนะ)ของพระเจ้า
ทั้งสิ้นทั้งปวงที่ท่านต้องการรู้เกี่ยวกับพระเจ้า
ท่านเรียนรู้ได้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าคนใดที่ไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า
คำอธิบายทั้งหมดของเขาก็ไม่สามารถตอบคำถามจากหัวใจของมนุษย์ได้เลย

พระธรรมภาวนา

พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง เราได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริของพระบุตรองค์เดียวผู้ทรงมาจากพระบิดา
ยอห์นเป็นพยานเกี่ยวกับพระองค์ ท่านร้องประกาศว่า
“นี่คือผู้ซึ่งเราได้บอกไว้ว่า พระองค์ผู้ทรงเสด็จมาภายหลังเราทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา จากความบริบูรณ์แห่งพระคุณของพระองค์ เราทั้งปวงได้รับพระพรครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะบทบัญญัติประทานมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ แต่พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาได้ทรงทำให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว” (ยอห์น 1:14-18 สำนวนแปลอมตธรรมร่วมสมัย)

18 พฤศจิกายน 2553

ภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา
ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน
ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
สดุดี 121:1-2

ใช่แล้ว
จงเงยหน้าของท่านขึ้นจากความโสมมแห่งโลกนี้
จากความเห็นแก่ตัว
จากสิ่งที่ไร้ค่า และ
จากสิ่งหลอกลวงและความไม่ถูกต้อง
แล้วมุ่งมองไปยังภูเขาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงเงยหน้าขึ้นจากความยากจนข้นแค้น
แล้วมุ่งมองไปยังความช่วยเหลือขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ในเวลาแห่งความอ่อนแอ
จงมุ่งมองไปยังภูเขาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงมุ่งมองไปยังแหล่งแห่งพลัง

จงฝึกสายตาของท่านมองออกไปให้ไกลเสมอ
เพื่อสายตาของท่านจะสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลออกไป และ
ยิ่งไกลออกไป
จนสายตาของท่านคุ้นชินกับการมองออกไปยังที่ไกลโพ้น

ภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นที่แหล่งแห่งความช่วยเหลือสำหรับท่าน
แผ่นดินที่แห้งผากจับจ้องไปยังภูเขาแห่งองค์พระเป็นเจ้า
เพื่อจะได้ธารน้ำที่ไหลล้นมา
เพื่อจะได้ชีวิต
ดังนั้น ท่านจงมุ่งมองไปยังภูเขาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
ความช่วยเหลือของท่านมาจากภูเขานั้น
เป็นความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงสร้างสวรรค์และโลก

ดังนั้น
เพื่อความจำเป็นต้องการต่างๆ สำหรับชีวิตและจิตวิญญาณของท่าน
ท่านจงมุ่งมองไปยังองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงสร้างสวรรค์ และ
สำหรับความจำเป็นต้องการแห่งโลกนี้
จงมุ่งมองไปยังองค์พระผู้เป็นเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งทั้งหลายแห่งโลกนี้
พระเจ้าผู้ทรงสร้างแผ่นดินโลก

16 พฤศจิกายน 2553

ความเปรมปรีดิ์ที่สงบเงียบ

ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ…เจ้าจงเปรมปรีดิ์ร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด
มัทธิว 25:21

เสียงกระซิบของคำเหล่านี้ก้องอยู่ในโสตประสาทของหลายคนที่โลกมิได้รู้จัก
เขามิใช่คนใหญ่คนโต หรือ คนมีชื่อเสียงแห่งโลกนี้
คำกล่าวเหล่านี้มักกระซิบกับคนที่ติดตามและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า
อย่างเงียบๆ
อย่างสงบเสงี่ยม
ด้วยความสัตย์ซื่อ
เป็นคนแบกกางเขนของตนด้วยความกล้าหาญ
ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มต่อโลกนี้
จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านมีชีวิตที่สงบเงียบ

คำกล่าวนี้มิได้มีแก่ผู้ที่มีชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณเท่านั้น
แต่ผู้ที่กระทำหน้าที่ด้วยความสัตย์ซื่อเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
คนๆ นั้นก็จะได้ดำเนินเข้าสู่ชีวิตแห่งความเปรมปรีดิ์
เป็นความเปรมปรีดิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โลกนี้อาจจะมองไม่เห็นถึงการรับใช้
ที่ถ่อม
ที่อดทน
อย่างสงบเสงี่ยม
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเห็น
ส่วนรางวัลของพระองค์มิใช่
ชื่อเสียงแห่งโลกนี้
ความร่ำรวยแห่งสังคมนี้ หรือ
ความปรารถนาแบบกระแสนิยมในยุคนี้
แต่เป็นความปีติเปรมปรีดิ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

ความปีติเปรมปรีดิ์!
นี่คือรางวัลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้
ไม่ว่าที่นี่หรือที่ไหน
ในโลกนี้ หรือในโลกแห่งจิตวิญญาณ
ความยินดีเปรมปรีดิ์ที่มีความปลาบปลื้มอย่างสุดๆ
ท่ามกลางความเจ็บปวด
ท่ามกลางความยากจน และ
ท่ามกลางการทนทุกข์

ความปีติเปรมปรีดิ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงนี้ไม่มีใครจะช่วงชิงจากท่านได้เลย
โลกนี้ไม่ปรารถนาความปีติเปรมปรีดิ์อย่างที่กล่าว และ
โลกก็ไม่สามารถจะให้ความปีติเปรมปรีดิ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน
คนที่องค์พระผู้เป็นเจ้ารัก และ สหายของพระองค์เท่านั้นที่จะรู้จักความปีติเปรมปรีดิ์ที่ว่านี้

ความปีติเปรมปรีดิ์นี้อาจจะมิได้เกิดแก่ท่านเพราะเป็นรางวัลในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่ความปีติเปรมปรีดิ์นี้อาจจะเกิดแก่ท่าน
จากการอดทน
จากการทนทุกข์ ด้วยความกล้าหาญ

การทนทุกข์ที่เกิดจากการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะนำมาซึ่งความปีติเปรมปรีดิ์
เฉกเช่นความสัมพันธ์ที่ท่านมีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในรูปแบบอื่นๆ
ดังนั้น การที่ท่านมีชีวิตกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในแผ่นดินของพระองค์
แผ่นดินแห่งความปีติเปรมปรีดิ์
เป็นประตูที่นำสู่การรับใช้อันอาจจะนำมาซึ่งความทุกข์ยากด้วย

14 พฤศจิกายน 2553

เวลาที่มีความต้องการ

องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเสด็จมารักษาข้าพระองค์ด้วยเถิด

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแพทย์ของท่าน
พระองค์เป็นความชื่นชมยินดีของท่าน
พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่าน
ท่านได้ทูลให้พระองค์มาหาท่าน
ท่านไม่รู้หรือว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่แล้ว?
พระองค์เสด็จเข้าใกล้ท่านอย่างเงียบเชียบ

ในเวลาที่ท่านต้องการองค์พระผู้เป็นเจ้า
ก็เป็นเวลาที่พระองค์เสด็จมาหาท่าน

ท่านไม่รู้จักความรักของพระองค์
ท่านไม่รู้หรือว่าพระองค์ปรารถนาจะช่วยท่าน

ท่านควรจะรู้ว่า...
ไม่จำเป็นท่านจะต้องทูลอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
แล้วพระองค์ถึงจะเสด็จมาหาท่าน

ในเวลาที่ท่านมีความจำเป็นต้องการคือ...เวลาแห่งการทรงเรียกขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เวลาที่ท่านต้องการองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นโอกาสที่พระองค์ที่จะสำแดงพระองค์แก่ท่าน

พระธรรมสำหรับการภาวนา

1จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า
และทั้งสิ้นที่อยู่ภายในข้า จงถวายสาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์
2จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า
และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์
3ผู้ทรงอภัยความบาปผิดทั้งสิ้นของท่าน
ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของท่าน
4ผู้ทรงไถ่ชีวิตของท่านมาจากปากแดนผู้ตาย
ผู้ทรงสวมความรักมั่นคงและพระกรุณาให้ท่าน
5ผู้ทรงให้ท่านอิ่มด้วยของดี ตลอดชีวิตของท่าน
วัยหนุ่มของท่านจึงกลับคืนมาใหม่อย่างวัยนกอินทรี
(สดุดี 103:1-5)

จงบอกชาวศิโยนว่า
กษัตริย์ของท่านเสด็จมาหาท่าน
โดยพระทัยอ่อนสุภาพ
ทรงลา ทรงลูกลา (มัทธิว 21:5)

11 พฤศจิกายน 2553

ให้ทุกขณะจิต

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
จิตใจที่พระองค์ปรารถนาคือ จิตใจที่มุ่งมั่นว่า...
ทุกการกระทำ
ทุกคำพูด
ทุกความคิด และ
ทุกขณะจิตมอบไว้ให้เป็นของพระองค์

น่าสมเพชต่อความเข้าใจของผู้ที่คิดว่า
เขาจะใช้เงินเพื่อให้ทดแทนสิ่งดีมีค่าเหล่านั้นได้
การให้ที่กล่าวแล้วข้างต้นเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่
เหนือสิ่งอื่นใดองค์พระผู้เป็นเจ้าปรารถนา...
ความรัก
ความจริง
ไมตรีจิต
ความรักแบบเด็ก ที่เป็นความรักที่เข้าใจด้วยความไว้วางใจ

สิ่งที่ท่านมอบให้องค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีค่ารองลงมาคือ
การที่ท่านให้ เวลา แก่องค์พระผู้เป็นเจ้า
คือการที่ท่านยอมมอบ “ทุกขณะจิตที่เจ้ามี” แด่พระองค์

บางท่านที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่คิดจะรับใช้พระองค์ทั้งชีวิต
ทุกวัน
ทุกชั่วโมง
แต่ขาดการไตร่ตรอง

ท่านที่รัก เรายังมีบทเรียนอีกมากมายที่เราจะต้องเรียนรู้ และ เป็นบทเรียนที่ไม่ง่าย
เราต้องไตร่ตรองว่า “การมอบทุกขณะจิตแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า” นั้นหมายความอะไรกันแน่

เรื่องเล็กๆ ที่เราแต่ละคนวางแผนที่จะกระทำ
จงพร้อมที่จะรับข้อเสนอแนะและการชี้นำจากองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี
การบริการเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านจะกระทำ จงกระทำด้วยความชื่นชมยินดี และ
ให้มองเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในทุกสิ่งที่ท่านคิด ท่านทำ
เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ท่านจะกระทำจะเป็นภารกิจที่ง่ายสำหรับท่าน

นี่เป็นการเริ่มต้นที่คิดค่าหาราคาไม่ได้
แต่โปรดระลึกว่า
วิถีแห่งการริเริ่มนี้มิใช่สำหรับทุกคน
แต่สำหรับคนที่รู้สึกถึงการร้องคร่ำครวญโศกเศร้าของโลกที่ต้องการพระผู้ช่วยให้รอด
ที่ร้องหาพระผู้ช่วยให้รอด
เป็นผู้ซึ่งที่ต้องการติดตาม “ผู้ที่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ”
ในงานแห่งความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาด้วยความชื่นชมยินดี

พระธรรมสำหรับภาวนา

1พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย 2อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม (โรม 12:1-2)

5จงมอบทางของท่านไว้กับพระเจ้า
วางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ (สดุดี 37:5)

07 พฤศจิกายน 2553

ทนทุกข์เพื่อพระสิริของพระเจ้า

3ยิ่งกว่านั้น ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย
เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความอดทน (ความบากบั่น IBS)
4และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้
และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ
5และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง
เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา
โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว
(โรม 5:-5)

คำถามที่เรามักได้ยินบ่อยๆ ทั้งจากคนที่มีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า และ ผู้ที่ไม่เชื่อก็คือ “ถ้าพระเจ้าทรงฤทธิ์จริงๆ แล้วทำไมพระองค์ยอมให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนดีๆ?” และก็เป็นความจริงว่า คนดีจริงมักต้องประสบกับความทุกข์ยาก และ เหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต!

ยิ่งกว่านั้น เราเห็นอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าทรงทรงอนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบากและเหตุเลวร้ายเกิดขึ้นในชีวิตของคนดี ตัวอย่างเช่นในกรณีของโยบ ซาตานคัดค้านพระเจ้าที่ทรงเห็นว่าโยบเป็นคนดี ซาตานเห็นว่าที่โยบเป็นคนดีเพราะการทรงปกป้องคุ้มครองของพระเจ้าและเพราะความมั่งคั่งที่พระเจ้าทรงอวยพระพร ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เขาคงไม่เป็นคนดีแน่นอน (โยบ 1:8)

แต่ในความทุกข์ยากและเหตุการณ์เลวร้ายของโยบ ถ้าเป็นคนปกติธรรมดาก็จะเลิกเชื่อศรัทธาในพระเจ้า หรือไม่ก็ต่อว่าและสาปแช่งพระเจ้า แต่สำหรับโยบนั้น ในความทุกข์ยากและเกิดเหตุเลวร้ายของชีวิต จุดยืนที่มั่นคงคือการที่เขาแสวงหาความเข้าใจ และ การเรียนรู้จากพระเจ้า ดังนั้น ความทุกข์ยากและเหตุเลวร้ายซึ่งเป็นการทดลองของซาตานไม่สามารถมีชัยเหนือความเชื่อศรัทธาของโยบ แต่โยบกลับมีความแข็งแกร่งในความเชื่อ เกิดความอดทนและความบากบั่น และในความทุกข์ยากลำบากนั้นเสริมสร้างวินัยชีวิตแก่เรา จนชีวิตของเรามีคุณภาพมากขึ้นจนเป็นคนที่พระเจ้าจะทรงใช้ได้ และการที่เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้นั้นเป็นทั้งความหวังและความชื่นชมยินดีในชีวิตของคนๆ นั้น

สำหรับเปาโล ท่านมีประสบการณ์ว่า ในความทุกข์ยากและเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต เป็นการที่พระเจ้าทรงแก้ไขเปลี่ยนแปลงการที่ท่านชอบยกตัวเอง และทรงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยใหม่ให้ท่านเป็นคนที่ถ่อม และเชื่อมั่นในพระคุณของพระเจ้าว่ามีมากเพียงพอสำหรับชีวิตของท่าน และมีมากเพียงพอสำหรับชีวิตที่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากนานาประการ และเปาโลได้เรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็ตอนที่ท่านตกในที่นั่งลำบาก เมื่อชีวิตของท่านอ่อนแอลง

7และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป 8เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า 9แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า
(2โครินธ์ 12:7-10, TBS1971)

บ่อยครั้งที่ผมมีโอกาสฟังคำพยานชีวิตของคนต่างๆ มักมีรูปแบบการเป็นพยานชีวิตที่คล้ายๆ กันดังนี้ “เมื่อก่อนผมเป็นคนเลว ไม่ดี มีความทุกข์ยาก... พระเจ้าทรงช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจาก.. และเดี๋ยวนี้ชีวิตของข้าพเจ้าสุขสบาย...” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครก็ตามที่ตัดสินใจเดินไปบนเส้นทางชีวิตคริสเตียนที่แท้จริงแล้ว ชีวิตคนๆ นั้นจะต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ทั้งนี้เพราะ เหตุผลหนึ่งคือมารซาตานจะไม่ยอมปล่อยให้คนๆ นั้นกลับใจเดินบนเส้นทางชีวิตคริสเตียนง่ายๆ มันจะต้องฉุดกระชากลากถูอย่างถึงที่สุดที่จะได้ชีวิตคนๆ นั้นกลับคืนไปสวามิภักดิ์อยู่ใต้การครอบครองของมันต่อไป แต่ในเหตุการณ์นั้น พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของคนๆ นั้นด้วย พระราชกิจของพระองค์มิได้เอาความทุกข์ยากลำบาก หรือ เหตุการณ์เลวร้ายออกจากชีวิตของเขา แต่พระองค์ทรงใช้เหตุการณ์เลวร้ายและความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นสร้างเขาให้มีความเชื่อและความไว้วางใจในพระองค์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อเขาจะเติบโตและแข็งแรงขึ้นในการต่อกรกับเหตุร้ายและความทุกข์ยากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ความทุกข์ยากของชีวิตเราจึงได้เห็นพระคุณของพระเจ้า ที่มิได้ทรงทอดทิ้งเราให้ต้องทนทุกข์ยากลำบากเพียงลำพัง แต่ทรงอยู่ด้วยและใช้ความทุกข์ยากในการสร้างเราให้เป็นคนใหม่ที่แข็งแกร่งและที่พระองค์จะทรงใช้ได้ในอนาคต พระเจ้าทรงปรับเปลี่ยนสิ่งเลวร้ายเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างสิ่งดีในชีวิตของเราแต่ละคน ดังนั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา พระเจ้าทรงสามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นเครื่องมือและโอกาสในการเสริมสร้างเราให้เป็นคนที่พระองค์จะทรงใช้ได้ตามพระประสงค์ของพระองค์ และนี่คือพระคุณของพระเจ้าที่ทรงมีในชีวิตของเราแต่ละคน

แต่บ่อยครั้งที่เรามักบ่น ต่อว่า และสงสัยพระเจ้า ว่าทำไมถึงอนุญาตให้เหตุการณ์ที่เลวร้าย และ ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ทั้งๆ ที่เรารักสัตย์ซื่อต่อพระองค์ เรามักไม่ได้มองว่า พระเจ้ากำลังจะประทานพระคุณแก่เราในชีวิตมากยิ่งขึ้น พระองค์กำลังสร้างเราให้เป็นคนที่พระเจ้าใช้ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น เปาโลจึงกระตุ้นให้เราชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ทุกสถานการณ์ (ฟิลิปปี 4:4)

เมื่อคริสเตียนต้องพบกับความทุกข์ยากและเหตุการณ์ที่เลวร้าย โปรดรู้เถิดว่า โอกาสที่เราจะได้ใกล้ชิดและสัมผัสกับความรักและพระคุณของพระองค์กำลังเป็นของเรา
เลิกที่รู้สึกขมขื่นใจ แต่จงชื่นชมยินดี
เลิกที่จะบ่นและต่อว่าพระเจ้า แต่จงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณอันใหม่สดที่กำลังหลั่งไหลมา
เลิกที่จะหาทางต่อรองหรือหลีกลี้หนีจากเหตุการณ์เลวร้ายนั้น แต่จงถ่อมใจน้อมรับการทรงนำและการสร้างใหม่ของพระเจ้าในชีวิตของเรา
เพราะในเหตุการณ์นั้นเราจะได้ยินเสียงตรัสในจิตใจของเราอย่างที่พระเจ้าตรัสกับเปาโลว่า “พระคุณของเรามีเพียงพอสำหรับเจ้า...”(2โครินธ์ 7:8, IBS)

ในวันนี้ เมื่อท่านต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากและเหตุการณ์ที่เลวร้ายในชีวิต จงสงบใจฟังจนได้ยินพระดำรัสที่มีสำหรับท่านโดยตรงท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านั้น พระองค์จะทรงนำ ทรงจูงแขนในชีวิตของท่าน และที่สำคัญคือท่านจะสนิทใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น ท่านจะมีสัมพันธภาพที่ลุ่มลึกกับพระองค์ยิ่งกว่าเดิม

เมื่อต้องประสบพบกับความทุกข์ยากลำบากในวันนี้
จงเผชิญกับความทุกข์ยากนั้นเพื่อให้นำมาซึ่งการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

04 พฤศจิกายน 2553

ไม่หันเหและเบี่ยงเบน

ครั้งนั้นพวกฟาริสีมาทูลพระองค์ว่า “ท่านจงออกจากที่นี่ไปที่อื่นเถิด เฮโรดต้องการจะฆ่าท่าน” พระองค์ตรัสว่า “จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า “เราจะขับผีและรักษาโรคให้ผู้คนในวันนี้ และในวันพรุ่งนี้ และในวันที่สามเราจะบรรลุเป้าหมายของเรา อย่างไรก็ตามเราต้องดำเนินต่อไปในวันนี้ วันพรุ่งนี้ และวันถัดไป เพราะย่อมไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดตายนอกกรุงเยรูซาเล็ม (ลูกา 13:31-33 IBS)

พวกฟาริสีจงเกลียดจงชังพระเยซู แล้วทำไมถึงมาเตือนพระองค์ให้รู้ตัวว่าเฮโรด อันติพาส ต้องการจะฆ่าพระองค์? พวกเขาน่าจะดีใจที่จะมีคนช่วยกำจัดพระเยซูเสียอย่างที่พวกเขาปรารถนา โดยไม่ต้องถูกการกล่าวหาและต่อต้านจากประชาชนในกาลิลี แต่พวกเขาต้องการที่จะข่มขู่ให้พระเยซูเกิดความกลัวแล้วหันเหการทำงานของพระองค์ออกไปทำในพื้นที่อื่นแทนที่จะเป็นกาลิลี

แล้วทำไมพวกฟาริสีถึงต้องการให้พระเยซูออกจากกาลิลีไปทำงานของพระองค์ในพื้นที่อื่น?
ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ สองประการด้วยกัน

ประการแรก ถ้าพระเยซูคริสต์ออกจากพื้นที่กาลิลี พวกเขาจะได้หมดคู่แข่งที่น่าเกรงขาม เพราะตอนนี้ประชาชนให้ความสนใจ นิยมชมชอบพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน พวกเขาต้องการให้ประชาชนกลับมาเชื่อฟังพวกเขา พวกเขาต้องการมีอำนาจเหนือประชาชนเฉกเช่นในอดีต

ประการที่สอง ถ้ายังปล่อยให้พระเยซูคริสต์ทำพันธกิจในกาลิลี คำสอนที่พระองค์สอนว่า มีเพียงพระเจ้าท่านนั้นที่มีอำนาจครอบครองเหนือชีวิตของเรา เป็นคำสอนที่ขัดกับกฎหมายของโรมัน อีกทั้งยังขัดแย้งกับการที่เฮโรดเป็นกษัตริย์ที่ปกครองกาลิลีในเวลานั้น พวกฟาริสีเกรงว่ากาลิลีอาจจะถูกปราบให้ราบคาบเพราะคำสอนที่เป็นกบฏของพระเยซูคริสต์ และพวกตนก็จะหมดอำนาจในฐานะผู้นำทางศาสนาด้วย ในประเด็นนี้เราต้องมองลึกลงไปถึงความสัมพันธ์ลับๆ ที่พวกฟาริสีมีกับทางการเมืองในเวลานั้น และเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลในการรักษาอำนาจของกันและกัน

ดังนั้น คำตอบของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า...” มิใช่เป็นการเปรียบเปรยเฮโรดว่าเป็นคนมีนิสัยและพฤติกรรมที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกเท่านั้น แต่เป็นการเปรียบเปรยกล่าวว่าพวกฟาริสีด้วย
พระเยซูคริสต์มองทะลุในอุบายหลอกลวงของพวกฟาริสี และการที่พวกเขาลดตัวเองลงเป็นเพียงคนส่งสารของเฮโรดเท่านั้น ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงไม่หลงกลกับดักในการเปลี่ยนที่ทำพันธกิจ หรือ ลดบทบาทของตนในการทำพันธกิจตามที่พวกนี้ข่มขู่ที่จะเอาชีวิตของพระองค์
สิ่งที่สำคัญคือ พระเยซูคริสต์ไม่เกรงกลัวที่ถูกข่มขู่จะถูกปลิดชีพ
ทำไมพระองค์ถึงไม่กลัวความตายที่กำลังจู่โจมเข้ามา?
เพราะพระองค์รู้อยู่แล้วว่า พระองค์จะต้องตาย ยิ่งกว่านั้น รู้ว่าจะตายที่ไหน และตายเมื่อใด
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การตายของพระองค์มีเป้าหมายและจุดประสงค์ที่ชัดเจน

พระองค์รู้อยู่เต็มอกว่า เฮโรดมิใช่อันตรายตัวจริง
ฟาริสี ผู้นำศาสนายิวชนชาติเดียวกันกับพระองค์ต่างหากที่เป็น “ตัวแสบ” ที่แท้จริง

พระเยซูคริสต์ชัดเจนถึงแผนการที่พระองค์จะต้องกระทำให้สำเร็จในแต่ละวัน พระองค์ทรงขับไล่อำนาจชั่วในรูปแบบต่างๆ ที่มาสิงสถิต ครอบครองชีวิตของผู้คนประชาชน พระองค์ทรงปลดปล่อยผู้คนให้ออกจากอำนาจร้ายเหล่านี้ เสริมสร้างชีวิตของพวกเขาขึ้นใหม่เป็นชีวิตที่มีความหวัง กำลัง และรู้จักทางเดินแห่งชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ทรงเพ่งมองและมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายของการเสด็จมาของพระองค์ คือการไถ่ถอนผู้คนให้หลุดรอดออกจากอำนาจชั่วเหล่านั้น และพระองค์ทรงมุ่งหน้ากระทำทุกวันให้บรรลุสำเร็จตามเป้าประสงค์นั้น พระองค์ทรงทราบถึงเวลาที่กำหนดคือในช่วง “ปัสกา” และ พระองค์ทรงรู้ว่าสถานที่ที่พระองค์จะบรรลุพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่คือที่กรุงเยรูซาเล็ม มิใช่ที่กาลิลีแห่งนี้

เราท่านมิได้มีความรับผิดชอบในการไถ่ถอนชีวิตมนุษย์ให้รอดจากอำนาจของความชั่วร้ายในรูปแบบต่างๆ ดั่งเช่นพระคริสต์ แต่สิ่งที่เราควรจะมีเยี่ยงพระเยซูคริสต์คือ การมุ่งมั่นตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวและชัดเจน ที่จะดำเนินชีวิตแต่ละวันไปพร้อมกับพระองค์ และยอมตนกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในแต่ละวันในฐานะสาวกที่รักและสัตย์ซื่อของพระองค์ และยืนหยัดอย่างพระคริสต์ที่ว่า เราจะกระทำงานต่างๆ ตามพระประสงค์ของพระองค์ในวันนี้ และวันพรุ่ง และในวันที่สามเราจะบรรลุตามเป้าประสงค์แห่งพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของเรา

แน่นอนอยู่แล้วว่า การทดลอง การทำให้เราเฉื่อยชา ล่าช้า หรือ ทำให้เราเบี่ยงเบน หลงออกจากทางที่เราควรจะเดินไปในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นงานของซาตาน ผู้รับใช้พระเจ้าที่มีสติปัญญาจะต้องรู้เท่าทันการล่อลวงข่มขู่ของอำนาจชั่วเหล่านี้ ผู้รับใช้จะต้องยึดมั่นในพระวจนะ ฟังเสียงของการทรงนำ และมั่นคงด้วยพระกำลังจากเบื้องบน ไม่เอนเอียง หันเหออกนอกทางของพระองค์ และจะไม่ยอมสิ้นหวังไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เราต้องชัดเจนว่า พระเจ้าทรงครอบครอง คุ้มครอง ปกป้อง และทรงขับเคลื่อนชีวิตของเราแต่ละวัน
พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่ทรงใช้ในชีวิตของเราแต่ละคน
เมื่อพระคริสต์ไม่ยอมที่จะหันเห เบี่ยงเบน ตามการบิดเบือน และการหลอกล่อ
พระองค์จึงบรรลุเป้าประสงค์ของพระบิดาที่พระองค์ทรงรับใช้มาในโลกนี้
เราจึงได้รับการทรงช่วยให้หลุดรอดจากอำนาจชั่วในรูปแบบต่างๆ
เราจึงได้รับชีวิตใหม่ ความหวังใหม่ และ คุณค่าใหม่ในชีวิต
เพราะพระองค์เลือกที่จะฟังเสียงของพระบิดา แทนการยอมฟังเสียงของ “สุนัขจิ้งจอก”
ฝูงแกะของพระเจ้าจึงรอดพ้นจากการถูกทำร้ายทำลาย ฝูงแกะจึงได้รับชีวิตรอด
ขอให้เราเลือกที่จะฟังเสียงของพระองค์ เพื่อเราจะสามารถบรรลุตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในตัวเรา
ด้วยความรัก สัตย์ซื่อ และด้วยพระกำลัง
ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน คริสตจักร และในชุมชน

02 พฤศจิกายน 2553

วางใจแผนการของพระเจ้าในชีวิตของคุณ

5จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น
(สุภาษิต 3:5-6)


การไว้วางใจนั้นเป็นเรื่องยาก... คุณเห็นด้วยไหม?
เพราะผมเคยไว้วางใจคนมาแล้ว และสิ่งที่ประสบคือไม่เป็นไปอย่างที่ไว้วางใจ
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้ผมไว้วางใจคนอื่นยากยิ่งขึ้น

แต่คนอาจจะทำให้คุณผิดหวัง และไว้วางใจเขายากยิ่งขึ้น
แต่พระเจ้าจะไม่ทำให้คุณผิดหวังในการไว้วางใจพระองค์

พระเจ้าทรงมีแผนแม่บทสำหรับแต่ละชีวิต
พระเจ้าทรงมีพิมพ์เขียวสำหรับแต่ละคน
คุณจะพบกับความประหลาดอัศจรรย์ใจในชีวิตอย่างที่หลายคนไปพบมาแล้ว
ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพพ่อค้า ชาวนา คนทำขนม หรือ ศิษยาภิบาล
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของคุณ
เรามั่นใจได้เลยว่า ชีวิตของเราอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์
เราจึงมิใช่คนที่ไร้เป้าหมาย และ ไม่มีความหมายในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน
เราพบคำยืนยันสัจจะความจริงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจากพระคัมภีร์

ขอเพียงคุณไว้วางใจในพระองค์
เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
อย่าพึ่งพาความรอบรู้และความเข้าใจของตัวคุณเองว่าสิ่งต่างๆ ควรจะเป็นเช่นไร

ถ้าคุณยังให้พระเจ้าเป็นนักบินผู้ช่วย
ผมขอเสนอว่า.... ให้คุณรีบสลับตำแหน่งนักบินกับพระองค์เดี๋ยวนี้

เมื่อคุณเริ่มไว้วางใจในพระเจ้าในทุกเรื่องในทุกสิ่ง
พระองค์จะทำสิ่งอัศจรรย์ในชีวิตของคุณ
ชีวิตของคุณจะเป็นชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

จงวางใจในแผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของคุณ และ
ให้พระองค์กระทำให้ทางชีวิตของคุณราบรื่น