27 มกราคม 2553

สงบ ศานติ พระพร

จงให้ชีวิตจิตวิญญาณของท่านสงบ
ความนิ่งสงบแห่งชีวิตจิตวิญญาณ
มิใช่การอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไร
มิใช่การไม่เอาอะไรแล้ว

แต่การนิ่งสงบแห่งชีวิตจิตวิญญาณ
เป็นการยืนหยัดมั่นคงในชีวิต
เป็นการเชื่ออย่างมั่นใจว่า ทุกอย่างอยู่ในแผนการและการควบคุมของพระเจ้า
เป็นการไว้วางใจในพระเจ้าอย่างไร้เงื่อนไขและขอบเขต
เป็นความไม่สะทกสะท้านท่ามกลางความวุ่นวาย สับสนอลหม่านที่รุมล้อมชีวิต
เป็นความไม่หวั่นไหว แม้ชีวิตจะถูกจู่โจมอย่างอยุติธรรมและรุนแรง
เป็นความกล้าหาญยิ่งกว่านักรบและนักสู้
เป็นพลังตระหง่านต้านทานกระแสแห่งพายุสังคมด้วยพลังอ่อนโยนแต่เหนียวแน่น ไม่หลุดลอยไปกับแรงพัดของพายุ ดั่งต้นไม้ที่ถูกกระหน่ำพัด แต่ยังยืนสง่าอยู่ได้เมื่อพายุผ่านเลยไปแล้ว

ความสงบแห่งชีวิตจิตวิญญาณเป็นความกล้าหาญยิ่งกว่าความกล้าหาญของนักรบ
ชีวิตจิตวิญญาณของเราแต่ละคนสงบศานติได้เช่นนี้
เพราะพระคริสต์ดำรงอยู่ในชีวิตของเรา ทรงเป็นรากแห่งพลังยืนหยัดในแต่ละวัน
เพราะทุกขณะจิต เราดำเนินชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า เราจึงมั่นใจไม่หวั่นไหว
เพราะในความสงบเป็นโอกาสที่เราใคร่ครวญถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในเวลานั้น ในสถานการณ์นั้น
เพื่อเราจะได้กระทำตามด้วยความสัตย์ซื่อ
เราจึงมั่นใจ
เราจึงไม่หลงทาง
เราจึงไม่กังวลว่า เราจะสู้ทนต้านทานแรงกดดันแวดล้อมได้หรือไม่ เพราะเรามิได้ใช้กำลังความสามารถของเรา
เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เราจึงได้รับพระกำลังจากพระองค์
เพราะในความสงบศานตินั้น เป้าหมายของเรามิได้อยู่ที่แพ้หรือชนะ สำเร็จหรือล้มเหลว
แต่ในทุกเหตุการณ์ เราสงบได้เพราะเราหวังว่า
เราที่จะได้เห็น
เราจะได้สัมผัส
เราจะได้เรียนรู้ และ
เราจะได้มีส่วนร่วมใน...
พระปัญญา
น้ำพระทัย
พระประสงค์ และ
พระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในเวลานั้น
นี่คือโอกาส
นี่คือพระพร
นี่คือการเรียนรู้ และ
นี่คือการเจริญเติบโตแห่งชีวิตจิตวิญญาณของเรา

การสงบศานติในชีวิตจิตวิญญาณของเรา
เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เรารับผิดชอบ

ในวันนี้ ไม่ว่าใคร หรือ อะไร ที่ก่อกวนให้เราต้อง
หงุดหงิด
หัวเสีย
กลัดกลุ้ม
ภารกิจอันสำคัญในเวลาเช่นนั้นของเราคือ
จงสงบศานติอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า และ
จงรู้เถิดว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่สนใจ เอาใจใส่ และมีแผนการสำหรับชีวิตของเราแต่ละคนให้เกิดผล
เพราะพระองค์ประสงค์ใช้ชีวิตของเราแต่ละคนในเหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่
จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะพระพรของพระเจ้าจะหลั่งไหลเข้ามาใน “ท่อชีวิต” ของเรา
เพื่อนำพระพรไปสู่ผู้คนรอบข้างมากมาย

การสงบศานติในชีวิตจิตวิญญาณของเราจึง
เป็นพลัง
เป็นพระพร
เป็นพลานุภาพของเบื้องบนในชีวิตของเรา
เป็นการเพิ่มพูน
คุณค่า ความหมายชีวิตของเรา
ความไว้วางใจ
ความกล้าหาญยืนหยัด
การจาริกก้าวย่างไปบนเส้นทางแห่งความเชื่อและไว้วางใจอย่างไม่ย่อท้อ
ความหวังที่มั่นใจ มั่นคง บากบั่นด้วยความชื่นชมยินดี

ในวันนี้ ให้เราระลึกเสมอว่า
ชีวิตที่จะได้รับพระพรเต็มๆ คือชีวิตที่เป็น “ท่อ” แห่งพระพรของพระเจ้า
ให้พระพรของพระเจ้าไหลผ่านชีวิตของเราไปสู่คนรอบข้าง
เมื่อนั้นเราเองก็ได้สัมผัสกับพระพรของพระเจ้าเต็มๆ

อย่าให้ “ตัวตน” ของเรากลายเป็นสิ่งอุดตันพระพรที่ไหลผ่านท่อชีวิตของเรา
เพราะนั่นจะสร้างการ นิ่งและเน่า ในชีวิต
ให้เรานับดูว่า ในวันนี้ เราได้เป็นท่อชีวิตที่ให้พระพรไหลไปสู่คนรอบข้างกี่คน

พระเจ้าผู้ประทาน

พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ให้อย่างไม่มีขีดจำกัด
แต่ในความคิด ความเข้าใจของมนุษย์กลับเป็นตัวจำกัดพลานุภาพแห่งการให้ของพระองค์
ดังนั้น ความคิด ความเข้าใจของมนุษย์จึงเป็นตัวขวาง อุดตัน ท่อแห่งพระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้า
วันนี้ให้เราตรึกตรองจากประสบการณ์ของเราแต่ละคนว่า
พลานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีขีดจำกัดหรือไม่?

เมื่อมนุษย์ ทูลขอจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
เขาทูลขอในสิ่งที่ด้อยค่าตามความคิดที่จำกัด(พลานุภาพแห่งการให้ของพระองค์)
เขาทูลขอด้วยความเชื่อที่พร่อง อ่อน ด้อย และพิการ
การทูลขอของมนุษย์จึงเป็นไปอย่างดูถูก ดูหมิ่น ลดทอนคุณค่าแห่งการให้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เราได้ผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในเรื่องนี้

องค์พระผู้เป็นเจ้าปรารถนาที่จะให้ของประทานอันทรงคุณค่าตามน้ำพระทัยของพระองค์แก่มนุษย์
แต่มนุษย์กลับพอใจสิ่งที่ด้อยค่าและไร้คุณตามความต้องการของตนเอง
จำกัดสิ่งที่ทูลขอจากพระองค์เป็นเพียง “สิ่งที่โกโรโกโส” ที่ไม่มีความสมบูรณ์
นี่มนุษย์ก็หมิ่นประมาทต่อพระผู้ทรงประทาน

ให้เราทูลขอความปรารถนาของเราด้วยความจริงใจ
แต่ให้พระเจ้าประทานตามความเหมาะสม ตามน้ำพระทัยของพระองค์
ให้เราเปิดใจรับของประทานด้วยความไว้วางใจ ด้วยใจขอบพระคุณ ด้วยความปีติชื่นชมในพระสัญญา
ส่วนการที่พระเจ้าจะทำอย่างไรที่จะทำให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จเป็นจริงนั้น
มิใช่ธุระของมนุษย์ ที่จะไปคิดไปวิตกกังวลแทนองค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นการผิดอย่างยิ่งที่มนุษย์จะไปจำกัดพลานุภาพแห่งการให้ของพระองค์

ในวันนี้ จงทูลขอต่อพระองค์ด้วยความเชื่อวางใจที่เปิดกว้าง
คาดหวังตามพระสัญญาของพระองค์(มิใช่ความปรารถนาของตนเอง)
แล้วเราจะได้รับของประทานที่ทรงคุณและเปี่ยมค่า
เกินความคิด ความเข้าใจ และความคาดหวังของเราด้วยใจชื่นชมยินดี

25 มกราคม 2553

ความอับอายและรู้สึกผิด

บางครั้งเกิดความลังเลที่จะปรากฏตัวต่อหน้าพระเจ้า
ลำบากใจที่จะเผชิญหน้ากับพระองค์
รู้อยู่แก่ใจว่าตนได้ทำผิดมา ตนมีชีวิตที่ไม่เหมาะสม
ในเวลาเช่นนั้น ชีวิตอ่อนโหยหมดแรง

ในเวลาเช่นนั้นอีกเช่นกัน ที่ได้ยินสรรพสำเนียงเสียงตรัสที่นุ่มนวลและแผ่วเบาแก่จิตใจว่า
“ลูกของเราเอ๋ย
ใช่แล้ว จำเป็นที่เราจะต้องปกป้องเจ้าจากการรังเกียจ ดูถูก เย้ยหยัน
และคุ้มครองปกป้องเจ้าจากการถูกตำหนิ

จงมองย้อนไปในอดีตเมื่อเราอยู่กับสาวก
บ่อยครั้งที่เราต้องปกป้องสาวกของเราจากการรังเกียจ ดูถูก เย้ยหยัน
และการตำหนิจากตนเอง

จงดูเปโตรผู้น่าสงสาร
เขาจะไม่สามารถกระทำพระราชกิจของเราให้ลุล่วงได้
ไม่มีพลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หรือ
ไม่กล้าที่จะดำเนินชีวิตเพื่อเราอีกต่อไป
แต่ด้วยความรักที่ทะนุถนอมของเราที่โอบกอดเปโตรไว้
มิใช่ด้วยวิธีฝึกวินัยที่แข็งกร้าว รุนแรง และข่มขู่
เพราะพระบิดาเป็นความรัก ให้โอกาส ปกป้อง และเสริมสร้าง

เพราะพระบิดาทรงเปี่ยมด้วยรักเมตตาในทุกมิติชีวิต
จึงมิได้ปกป้องเปโตรด้วยความโกรธ รุนแรง และข่มขู่
แต่ด้วยรักเมตตาที่ทะนุถนอมด้วยอ้อมแขนที่โอบกอดเปโตร

เราต้องการที่จะปกป้องคุ้มครองเปโตร
มิใช่ปกป้องเขาจากการตำหนิเย้ยหยันของศัตรู
มิใช่ปกป้องการตำหนิกล่าวโทษจากมิตรสหาย หรือ สาวกคนอื่นๆที่ขุ่นเคืองเปโตร
แต่เราปกป้องเปโตรจากการที่เขารังเกียจตนเอง

ฉันใดฉันนั้น สำหรับผู้ที่ติดตามเราในทุกวันนี้
ที่เกิดความละอายใจและรู้สึกผิด เสียใจในความผิดที่ได้ทำลงไป
จึงรังเกียจเหยียดหยามตนเองในความอ่อนแอแห่งตน
ทั้งๆ ที่ตั้งใจที่จะมีชีวิตที่เข้มแข็งและกล้าหาญเพื่อเรา

เราจึงปกป้องคนเหล่านี้ด้วยโล่แห่งความเมตตากรุณา
มิเช่นนั้นแล้วคนเหล่านี้จะกลัวลาน สิ้นความกล้า
หมดกำลังที่จะบากบั่น สู้ทน และมีชัยในชีวิต

การที่ต้องเผชิญหน้าตัวตนที่แท้จริงของตนเองนั้น
จะเกิดความอับอายและรู้สึกผิด

แต่นั่น เป็นขั้นตอนของพัฒนาการแห่งชีวิต
ที่จะนำไปสู่การโบยบินของปีกแห่งความชื่นชมยินดี
จะเป็นประโยชน์อันใด ถ้าชีวิตของเจ้ายังยึดแน่น ฝังลึกในความคิด
“ความน่าเกลียดน่าชัง” ของตนในอดีต

ดังนั้น เราบอกเจ้าในวันนี้ว่า
เจ้าจงเลิกมีชีวิตที่จมจ่อมอยู่กับความผิดพลาด นิสัยเสีย ในอดีตแม้เพียงชั่วขณะเดียว

เจ้าจงเป็นเหมือนนักวิ่งที่สะดุดล้มลง
แต่ลุกขึ้นและมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมาย
จะเป็นประโยชน์อันใดหรือ
เมื่อสะดุดล้มลงแล้ว หยุดวิ่ง มัวแต่ตรวจสอบพิสูจน์ว่า อะไรที่ทำให้ตนสะดุดล้มลง
แล้วร้องโหยไห้ตีโพยตีพายต่อความล่าช้าที่เกิดขึ้นว่า
ทำไมตนไม่สามารถเห็นตัวอุปสรรคที่มาทำให้สะดุด
เพื่อตนจะได้ไม่ต้องสะดุดล้ม
เพื่อตนจะได้หลีกเลี่ยงตัวสะดุดที่อยู่ข้างหน้า

เช่นเดียวกันสำหรับเจ้า เราขอบัญชาว่า
อย่าหันกลับไปหาอดีต
จงเริ่มต้นใหม่วันนี้ ด้วยการอุทิศตนของเจ้า และ สิ่งที่เจ้ามีอยู่ในวันนี้

จงจำไว้เสมอว่า
มิใช่การติดยึดอยู่กับความบาป ความผิดพลาด ความล้มเหลว ทั้งของตนเองและของคนอื่น
เพราะการยึดติดดังกล่าวรังแต่ก่อเกิดความสิ้นหวัง
ที่ทำให้ชีวิตของเจ้าต้องจมปลัก ดักดาน รั้งท้าย

เมื่อเราส่งสาวกของเราเข้าสู่ชุมชน เราให้เขาไปเป็นคู่ๆ
ไม่มีบท(ที่ให้พูด),
ไม่มีเสื้อผ้าสำรอง
ไม่มีเงิน(กันฉุกเฉิน)
แต่นี่เป็นคำบัญชาที่มีความหมายตรงตามตัวอักษร

ในการเดินทางแห่งชีวิต
จงทิ้งสิ่งทั้งหลายที่ไม่สำคัญ
ปล่อยทิ้งสิ่งขัดขวาง
ความบกพร่องไม่สมบูรณ์ทั้งในตนเองและผู้อื่น
ปลดปล่อยตนจากความรู้สึกล้มเหลว

จงเดินทางชีวิตด้วยความไว้วางใจในเรา
แล้วเจ้าจะผ่อนคลาย
มีจิตใจที่เบา
เป็นจิตใจที่ปลอดจากอำนาจ และ อิทธิพลที่มาครอบงำ
ลูกเอ๋ย เรารักเจ้า”

22 มกราคม 2553

การรอคอยมิใช่การอยู่นิ่งเฉย

การรอคอยเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า
การรอคอยเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการที่นำไปสู่ความสำเร็จ
แต่การรอคอยของคริสตชนแตกต่างจากการรอคอยตามกระแสของโลกนี้
สำหรับคริสตชนแล้ว การรอคอยคืองานใหญ่ของการเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง และ อนิจจัง

หนทางที่นำสู่การมีชัยเหนือสิ่งต่างๆ และ โลกีย์วิสัย นั้น
คริสตชนแต่ละคนจะต้องเรียนรู้ในการเอาชนะตนเองก่อน ตามพระบัญชาของพระคริสต์เจ้า
คือการที่คริสตชนแต่ละคนต้องมีชัยเหนือตนเองก่อน

พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า
“ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (มัทธิว 16:24)

ดังนั้น การชนะโลกเริ่มต้นที่การชนะตนเอง
ก่อนที่จะแสวงหาชัยชนะเหนือสรรพสิ่งทั้งสิ้น
แม้ว่าสถานการณ์รอบข้างจะดูเลวร้าย
แม้จะเห็นแล้วว่าอำนาจอนิจจังเช่นเงินทอง ทรัพย์สิน และอำนาจดูเป็นสิ่งจำเป็น
แต่จงเริ่มต้นที่ตนเอง จงเอาชนะตนเองก่อน ตามพระบัญชา

เมื่อเราสามารถชนะตนเองแล้ว จึงแสวงหาชัยชนะเหนือสิ่งต่างๆ ภายนอกตัวเรา
เราจะมีชัยสิ่งภายนอกที่จำเป็นต่อพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแน่นอนในแต่ละวัน
แม้เราอาจจะไม่เห็นได้ด้วยตาอย่างเป็นรูปธรรม
เพราะนั่นเป็นการมีชัยเหนืออำนาจและพลังของอนิจจังของสรรพสิ่งเหล่านั้น

ถ้ามีรากฐานการคิดและเชื่อเช่นนี้ เราแต่ละคนจะไม่มีสักวันเดียวที่ “ตกงาน” หรือ “ว่างงาน”

เพราะในแต่ละวัน เราแต่ละคนจะแสวงหาชัยชนะในชีวิต
เริ่มต้นจากการเอาชนะอำนาจชั่วภายในตัวเราเองก่อน
จากนั้นมีชัยชนะในชีวิตครอบครัว
จากนั้นมีชัยเหนือสถานการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นในวันนั้น
เมื่อนั้น พลังชัยชนะที่เกิดจากตัวท่านกลับกลายเป็นพลังที่โลกต้องการ
ท่านจึงมีงานที่จะต้องทำ(แทนมีงานที่จะทำ)

ในแผ่นดินของพระเจ้า ไม่มีเวลาหรับการเฉื่อยชา
ในสายตาของโลกอาจจะมองว่า การรอคอย เป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำอะไร หรือ ยังไม่มีอะไรจะทำ
แต่ช่วงเวลาแห่งการรอคอยของคริสตชนเป็นเวลาของการกระทำที่ยิ่งใหญ่
เป็นการกระทำที่เอาชนะชีวิตภายในตนเอง
นำไปสู่การกระทำที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางสภาพการณ์ล้อมรอบในชีวิตของท่าน

20 มกราคม 2553

ชีวิตหลงทาง

ข้าแต่พระเยซูคริสต์เจ้า
โปรดทรงนำย่างก้าวของข้าพระองค์ในแต่ละวัน
เพื่อข้าพระองค์จะไม่ได้หลงจากทางแห่งชีวิต

พระสุรเสียงตรัสแก่จิตใจของผมว่า
“ลูกของเราเอ๋ย
ไม่มีทางใดที่จะป้องกันเจ้าจากการหลงทางแห่งชีวิต
นอกจากเจ้าจะต้องอยู่ใกล้ชิดสนิทแนบกับเราเสมอ
อย่าให้ความสนใจวอกแวกไปยังสิ่งอื่นที่ล่อล้อมตัวเจ้า
อย่าให้เจ้าเผลอตกลงอยู่ใต้อำนาจของการทดลอง
อย่าให้ใคร หรือ สิ่งใดที่ขวางกั้นกลางระหว่างเรากับเจ้า”

ในความสงบเงียบของเช้าวันใหม่ ผมได้รับการทรงยืนยันอีกว่า
“จงมั่นใจเถิด
เจ้าจะไม่หลงทางตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างเรา
จงรู้เถิดว่า เพราะเราเป็นทางที่เจ้าจะต้องเดินไป
ไม่มีสิ่งใดที่จะกีดกันเจ้าจากการเดินบนเส้นทางนี้
ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เจ้าหลงไปจากทางนี้
นอกจากตัวเจ้าเองตัดสินใจละทิ้งจากทางนี้เท่านั้น”

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่า
“เราสัญญาที่จะให้ศานติสุขแก่เจ้ามิใช่ความว่างเปล่าในชีวิต
เราจะให้จิตใจที่ได้รับการผ่อนพักและเมตตา มิใช่การกดดัน”

เราเคยกล่าวแล้วว่า
“ในโลกนี้เจ้าจะประสบความทุกข์ยาก”
ดังนั้น เมื่อมีสิ่งตรงกันข้ามจากพระสัญญาเกิดขึ้น
เจ้าต้องไม่รู้สึกว่าล้มเหลวในชีวิต หรือ
เจ้ามิได้รับการทรงนำ”

แต่เราได้กล่าวต่อไปอีกว่า
“ในโลกนี้เจ้าจะประสบความทุกข์ยาก
แต่จงชื่นใจเถิด เพราะเราชนะโลกแล้ว”

พระองค์ให้บทเรียนชีวิตจากประสบการณ์ของพระองค์ว่า
“จงเรียนจากเรา ถึงพลังแห่งชัยชนะเหนือ...
การถ่มน้ำลายรด
การทุบตี
การเข้าใจผิด
การถูกทอดทิ้ง
ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
การถูกตรึงและประจาน
แต่เหตุการณ์เหล่านี้มิได้ทำให้ต้องสิ้นหวัง สิ้นคิด สิ้นกำลัง
แต่เรากลับร้องจากกางเขนว่า “สำเร็จแล้ว””

ที่สำเร็จมิใช่เพราะความเจ็บปวด การทุบตี และ การทรมาน
แต่เพราะพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงมอบหมายได้กระทำสำเร็จ

จงให้ข้อคิดข้างต้น เป็นกำลังใจ กำลังความคิด และกำลังชีวิตของท่านในวันนี้
ท่ามกลางความล้มเหลว(ในสายตาของมนุษย์)
เหตุการณ์มิได้เป็นไปอย่างที่คิด
การถูกดูหมิ่น ลดค่า
ไม่มีใครเข้าใจ
การถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย
การทนทุกข์อย่างสุดกำลัง
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้เองที่...
พระสหายและเหล่าทูตสวรรค์กำลังเตรียมร้องประสานเสียงกันว่า “สำเร็จแล้ว”

18 มกราคม 2553

พลังแห่งการรับใช้

พลังแห่งการรับใช้เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์... หน้าที่สำคัญของเราคือการขจัดสิ่งกีดขวางใน “ท่อชีวิต” ของเรา

บ่อยครั้งที่เรามักคิดว่า เราต้องการรับใช้พระเจ้า
เราต้องการตอบสนองพระคุณของพระองค์
เราต้องการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพระองค์
เราพร้อมที่จะทุ่มเทลงทุนลงแรงลงชีวิตเพื่อพระองค์
นั่นเป็นความตั้งใจที่ดีของเรา

การรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า
มิได้เริ่มต้นที่ความปรารถนา หรือ ความต้องการของตัวเราที่จะรับใช้พระองค์
แต่ตระหนักชัดว่า พระองค์ทรงเรียกเราให้เป็น “เครื่องมือ” ที่พระองค์จะทรงใช้ตามพระประสงค์
ดังนั้น จึงมิใช่เราเป็น “ผู้กระทำ” “เป็นต้นตอแห่งพลังของการรับใช้”
แต่เราเป็นเพียง “ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกและเลือกใช้”
ที่สำคัญคือ พระองค์ทรงใช้เรา “ในงานของพระองค์” “ตามพระประสงค์และวิธีการของพระองค์”
มิใช่ตามความปรารถนาของเราเอง มิใช่กำลังของตนเอง มิใช่ความสามารถของเราเอง

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน
แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด
ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น ยอห์น 15:4

จงเข้าสนิทในองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่คือจุดเริ่มต้นที่เราไม่มีทางเลี่ยง
เพื่อเราจะเริ่มต้นที่จะเรียนรู้ถึงน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์
มิใช่เพื่อเราจะบอกพระองค์ว่าตัวเราจะทำอะไรเพื่อพระองค์
เพื่อเราจะรู้ว่า พระองค์จะทรงใช้เราให้ทำอะไร เพื่อเราจะได้รับใช้พระองค์
เราเป็น “ท่อ” ที่พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะไหลผ่านไปสู่คนต่างๆ
เราจึงเป็น “ท่อแห่งพระพร” ของพระเจ้าสำหรับคนรอบข้าง
มิใช่ “ท่อแห่งความล้มเหลว” เพราะมิใช่การกระทำตามความปรารถนาและกำลังของเราเอง

คริสตชนส่วนมาก มักคิดและพูด(ตามที่ตนเข้าใจว่าเป็นการคิดและพูด)อย่าง “ถ่อมตน” ว่า
ตามความสามารถของเขา ชีวิตของเขามีค่า มีพลังเพียงน้อยนิด สำหรับโลกนี้
การคิดและการพูดเช่นนี้เป็นการพูดจากรากความยโสแห่งตัวตนของตนเอง

พระเยซูคริสต์ตรัสอีกว่า
...ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก
เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย ยอห์น 15:5

“ท่อ” จะพูดว่า
“ฉันทำงานนี้ได้เพียงน้อยนิด ฉันหวังว่าจะทำได้ดี จะทำได้มากกว่านี้”
แต่คำตอบที่ท่อได้รับคือ
“มิใช่เจ้า ที่จะทำการช่วยกู้ และ อำนวยพระพรแก่คนทั้งหลาย”
“สิ่งที่เจ้าต้องทำคือ...
เจ้าต้องใส่ใจอย่างรอบคอบว่า มีสิ่งใดหรือไม่ที่ขวางกั้นมิให้ น้ำแห่งพระพรกระแสแห่งพระราชกิจไหลผ่านท่อไปได้”

สิ่งเดียวที่มีฤทธิ์ขวางกั้นมิให้น้ำแห่งพระพร และ กระแสแห่งพระราชกิจไหลผ่านท่อชีวิตของท่านคือ
“ตัวตนของท่านเอง”
จงขจัด “ตัวตนของท่านเอง” ออกจากท่อแห่งชีวิตของท่าน
และรู้เถิดว่า พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าประสงค์ไหลผ่านท่อชีวิตของท่าน

ดังนั้น คนทั้งหลายที่มาติดต่อ สัมผัส และ สัมพันธ์กับชีวิตของท่าน
จะได้รับพระพรและการทรงช่วยกู้มากกว่าเดิม
เพราะท่านเป็น “ท่อชีวิต” ที่เปิดให้การทรงช่วยกู้ และ พระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้าไหลผ่านอย่างเต็มที่
เพราะท่อชีวิตของท่านไม่อุดตัน
เพราะชีวิตของท่านไม่เป็นตัวขวางกั้นพระพรและพระราชกิจของพระองค์

จงใคร่ครวญและเข้าใจสัจจะประการนี้ แล้วท่านจะคิดอย่างเป็นธรรมชาติว่า
คนเหล่านั้นที่มาติดต่อ สัมพันธ์ และสัมผัสกับท่าน
จะได้รับพระพรและการทรงชูช่วยจากพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มิใช่จากท่าน
แต่จากพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ไหลผ่าน “ท่อชีวิต” ของท่านต่างหาก

นี่คือการรับใช้พระเจ้า
ที่พระองค์จะใช้เราตามพระประสงค์และพระกำลังของพระองค์
ขอพระเจ้าทรงใช้ชีวิต และ โอกาสที่มีในวันนี้ผ่านท่อชีวิตของเราเถิด

15 มกราคม 2553

เวลา

เวลาที่เรามีอยู่ในทุกขณะจิตเป็นของประทานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ประทาน “เวลาชีวิต” แก่เราแต่ละคน เราจึงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
พระองค์ใส่พระประสงค์ของพระองค์ลงใน “เวลาชีวิต” ของเรา
ชีวิตของเราจึงมีคุณค่าและความหมาย

ดังนั้น
ในแต่ละขณะ
ในแต่ละนาที และ
ในแต่ละเสี้ยววินาที
เป็นของประทานจากพระเจ้า

พระเจ้าประทานทุกสิ่งแก่มนุษย์และธรรมชาติ
พระองค์ประทานโดยมีพระประสงค์
อยู่ที่เราจะหลงผิดคิดว่า เราเป็นเจ้าของเวลา
เราจึงใช้เวลาเหล่านั้นตามใจประสงค์ของเราเอง
หรือเราจะใช้เวลาด้วยสำนึกว่าเป็นพระคุณที่ประทานแก่เรา และ
แสวงหาพระประสงค์สำหรับเวลานั้นๆ

เวลาเป็นที่มาของแผนงาน
เป็นที่มาของเหตุการณ์ต่างๆ น้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
แผนงาน และ เหตุการณ์เหล่านั้นอาจจะเกิดขึ้นตามที่เราเห็นควร หรือ ต้องการให้เกิด
แต่เราเคยนั่งลงตรงหน้าพระเจ้าและถามองค์ผู้เป็นเจ้าของเวลานั้นหรือไม่ว่า...
พระองค์มีพระประสงค์อะไรในช่วงเวลา ในแผนงาน และในเหตุการณ์ดังกล่าว

เราต้องไม่พลั้งเผลอลืมไปว่า
พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเหตุการณ์และปรากฏการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ
พระองค์ทรงใส่พระประสงค์ในเหตุการณ์นั้นๆ
พระองค์ทรงมีแผนงานของพระองค์ในทุกปรากฏการณ์เหล่านั้น
เราเคยตระหนักชัดในเรื่องนี้หรือไม่?
เราเคยแสวงหาพระประสงค์ในทุกเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เราเผชิญหรือไม่?

ในเหตุการณ์ที่เราพอใจและไม่พอใจ
ในเหตุการณ์ที่เราเข้าใจและไม่เข้าใจ

ในเหตุการณ์ที่ปีติชื่นชมหรือต้องการหลีกลี้หนีให้ไกล
ในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากแผนงานและการกระทำของมนุษย์
พระเจ้าทรงอยู่ด้วย ห่วงใย และพร้อมที่จะใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นตามพระประสงค์ของพระองค์
เราเคยแสวงหาพระประสงค์ในทุกเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เราเผชิญหรือไม่?
หรือเราปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นตามยถากรรมที่เป็นผลที่เราเขียนขีดไว้

ในทุกเช้าค่ำ เป็นโอกาสที่เราจะทบทวนและใคร่ครวญถึงเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันนี้
เราอาจจะพบทั้งความพึงพอใจและความเสียใจ
เห็นความสำเร็จตามแผนงานและความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
มีสักกี่คนในพวกเราที่ได้เห็นพระประสงค์ของพระเจ้า ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้แต่ละเหตุการณ์
อันเป็นที่มาของความชื่นชมยินดี

การสำนึกผิด
การคร่ำครวญทูลขอ
การขอบพระคุณ
และเป็นที่มาของความหวังในชีวิต

11 มกราคม 2553

การทำงานและการอธิษฐาน

การทำงานและการอธิษฐานอยู่ในกระบวนการเดียวกัน ที่เสริมหนุนกันและกันในชีวิตประจำวันของเรา
การทำงานจึงไม่สามารถแยกออกจากการอธิษฐาน และการอธิษฐานจึงแยกออกจากงานที่ทำไม่ได้
เมื่อเราทำงาน เราทำงานด้วยจิตแห่งการภาวนาอธิษฐาน
เมื่อเราอธิษฐาน เราใคร่ครวญในงานที่เราได้ทำ, งานที่เราจะทำ, และงานที่เรากำลังทำ

แท้จริงแล้วการอธิษฐานและการทำงานจึงเป็นพลังชีวิตสองพลังที่ผนึกรวมร่างเข้าเป็นพลังเดียวกัน
เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เกินกรอบคิดแบบวิทยาศาสตร์
อยู่เหนือวิธีคิดแบบคณิตศาสตร์
ทะลุกรอบแห่งตรรกะของมนุษย์

การทำงานและการอธิษฐาน จึงเป็นพลังการทำงานในชีวิตของเรา
ที่ผนวกรวมด้วยพระกำลัง, พระปัญญา, และ
พระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตการงานของเราแต่ละคน
แต่ละครอบครัว แต่ละคริสตจักร และแต่ละชุมชนสังคม
และนี่คือพลังมหาศาลที่ขับเคลื่อนงานชีวิตของเราไปสู่เป้าหมายแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า

เมื่อเราภาวนาอธิษฐานด้วยความเชื่อศรัทธาอย่างมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้าในงานที่ทำ และ
ทำงานที่เราภาวนาอธิษฐาน
พระเจ้าทรงใส่พระกำลัง พระปัญญา และทรงกระทำพระราชกิจตามพระประสงค์ของพระองค์...
ในชีวิตจิตใจของเรา: ในนิมิต เป้าหมายในงานที่เรากระทำ
ทรงกระทำพระราชกิจในงานที่เราทำ: งานที่เราทำจึงมิใช่งานของเราเท่านั้น แต่เป็นพระราชกิจแห่งพระประสงค์ของพระองค์ด้วย
ทรงกระทำเพื่อการงานของเรา: งานในส่วนที่เกินกำลัง ความสามารถ ความรอบคอบ และความนึกคิดของเรา
พระองค์ทรงกระทำเพื่อเราตามวิธีการที่เหมาะสมของพระองค์

การอธิษฐานแล้วลงมือทำ และ การลงมือทำแล้วมีเวลาใคร่ครวญภาวนา
เป็นที่มาของกระบวนการ “คิดแล้วทำ และ ทำแล้วคิด”
การอธิษฐานและลงมือกระทำจึงเป็นวงจรแห่งพลังทวีคูณ
ด้วยพลังทวีคูณนี้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์เรา เป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า
การอธิษฐานและทำงาน จึงทำให้สิ่งที่เป็นไม่ได้สำหรับเราเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

ชีวิตคริสเตียนจึง....เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการอธิษฐานแล้วลงมือทำ (เริ่มต้นกับพระเจ้า)
ดำเนินไปตลอดวันด้วยกระบวนการ “ทำแล้วอธิษฐาน อธิษฐานและลงมือทำ...” (ทำไปกับพระเจ้า)
สิ้นสุดวันด้วยการ “ภาวนาอธิษฐานในสิ่งที่ได้ทำ...และไม่ได้ทำ...” (เรียนรู้จากพระเจ้า)

08 มกราคม 2553

สงบศานติ

ชีวิตที่ติดสนิทอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
มิได้เป็นชีวิตที่รับการทรงปกป้องให้ปลอดพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก
แต่มีชีวิตที่มี “สงบศานติ” แม้จะอยู่ในความทุกข์ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

เพราะชีวิตของมนุษย์เรามักแสวงหาการทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราพบกับ...
ปัญหา
ความทุกข์ยากลำบาก
ชีวิตจนตรอกหาทางออกไม่ได้
ทางเลือกในชีวิตตีบตัน

แต่ด้วยความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงชี้ทางออก
แต่เป็นทางออกตามพระประสงค์ของพระองค์
มิใช่ทางออกตามใจปรารถนาของเรา
เป็นทางออกที่เราได้สัมผัสความรัก ความเอาใจใส่ที่อบอุ่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นโอกาสที่ชีวิตของเราได้เรียนรู้พระประสงค์ และ น้ำพระทัยของพระองค์
เป็นโอกาสที่เสริมสร้างให้เราเชื่อศรัทธา และ ไว้วางใจในพระองค์มากยิ่งขึ้น
เป็นชีวิตชื่นชมยินในความรักของพระองค์ท่ามกลางความทุกข์ยากแห่งโลกนี้

ความชื่นชมยินดีท่ามกลางความทุกข์ยากเกิดขึ้น...
จากการที่เราเชื่อ พึ่ง และไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไว้วางใจในพระประสงค์ของพระเจ้า
ไว้วางใจในการทรงนำของพระองค์
ไว้วางใจในพระองค์เราจึงสงบศานติได้ในเวลาที่ไม่น่าชื่นชมยินดีเลยในชีวิต

อาจารย์เปาโลได้ยืนยันความจริงประการนี้จากประสบการณ์ชีวิตของท่าน
ท่านกล่าวในพระธรรม 2โครินธ์ 4:16-17… ไว้ว่า
เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป
แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน
เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา
ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก (อมตธรรมร่วมสมัย)

นี่คือบทเรียนชีวิตที่ล้ำค่า
เป็นบทเรียนชีวิตที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้แก่เราด้วยความรัก
เป็นโอกาสที่เราได้เรียนรู้จากพระทัยเมตตาของพระองค์
เป็นคุณค่าและความหมายในชีวิตที่ทรงประทานแก่เรา

ความปีติชื่นชมในชีวิตเป็นบุตรีของความสงบศานติ

04 มกราคม 2553

แผนการชีวิตในวันนี้

องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ในวันนี้...
โปรดให้ข้าพระองค์ดำเนินในพระมรรคาของพระองค์
โปรดเปิดเผยและสำแดงทางนั้นแก่ข้าพระองค์
โปรดสอนข้าพระองค์ด้วยความจริงของพระองค์
เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์และด้วยพระกำลังจากพระองค์

กระผมเชื่ออย่างมั่นคงว่า
ถ้าเรายอมที่จะดำเนินชีวิตบนเส้นทางในพระเยซูคริสต์
ชีวิตทั้งสิ้นจะเป็นไปด้วยดีในที่สุด
อัศจรรย์เกินความคาดคิดของเราจะเกิดขึ้นในชีวิตแต่ละวัน
จงวางใจในพระองค์ เปิดทางรับพระองค์เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตวันนี้ของเรา
ระมัดระวังตลอดเวลาที่จะไม่ “จำกัด” การทำงานของพระองค์ในชีวิตเรา
จงมั่นใจเถิดว่า พระองค์ห่วงใยและมีแผน มีพระประสงค์
ในแต่ละอณู, เหตุการณ์, ความสัมพันธ์ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตวันนี้

ชีวิตของเราเป็นเหมือนท่อน้ำแห่งชีวิต
ที่ให้น้ำแห่งชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าไหลไปเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตเป็นอันมาก
ในวันนี้เมื่อน้ำแห่งชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าไหลผ่านท่อชีวิตของเรา
เราต้องพร้อมและเต็มใจให้พลังน้ำแห่งชีวิตของพระองค์ ชะล้าง ผลักดันให้สิ่งที่กีดกั้นกระแสน้ำแห่งชีวิตไหลหลุดออกไปจากท่อแห่งชีวิตของเรา
เพื่อเราจะมีท่อน้ำแห่งชีวิตที่ทำหน้าที่ส่งน้ำอย่างโล่ง กว้าง และ
กระแสน้ำแห่งชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าไหลไปอย่างเต็มพลัง
เพื่อชีวิตของเราจะใช้การได้ เกิดผล ตามพระประสงค์ ตามแผนการของพระองค์

หยุดกังวล พะว้าพะวังว่า วันนี้เราจะมีแผนการชีวิตอย่างไร
แต่จงเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทูลขอการทรงนำชีวิตในวันนี้ของเรา
แล้วเราจะเห็นทีละก้าวแห่งแผนงานของพระเจ้าสำหรับแผนการในชีวิตของเราวันนี้
อย่าลืมว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำชีวิตของเราในวันนี้ทีละก้าว ทีละขั้น ทีละตอน ตามพระประสงค์และแผนการของพระองค์
เมื่อสิ้นสุดในวันนี้เราก็จะเห็นแผนงานทั้งหมดขององค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตของเรา
ที่ดำเนินไป เป็นจริง ทำได้ เกิดผล เป็นพระพร ท่ามกลางความสำเร็จเสร็จครบ และ ที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด
เกิดความปีติชื่นชม
เพิ่มพูนความเชื่อศรัทธา
เกิดการเรียนรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของเราแต่ละคน และในแต่ละสถานการณ์ เหตุการณ์
เราจึงเชื่อศรัทธาพระองค์อย่างมั่นคงในการเผชิญหน้ากับชีวิตในวันใหม่ได้

มนุษย์ องค์กร สถาบันปัจจุบัน เขากำหนดว่าจะต้องมีเป้าหมาย และ แผนงานที่ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถดำเนินไป
ชีวิตในพระเยซูคริสต์ก็มีเป้าหมาย มีแผนการเช่นกัน
แต่เป็นเป้าหมายและแผนการชีวิตในพระเยซูคริสต์
ที่เราเริ่มต้นจากการใคร่ครวญทูลขอแผนการขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับชีวิตของเราในวันนี้
แล้วในแต่ละนาที ชั่วโมง และในแต่ละเหตุการณ์ชีวิตในวันนี้
เราเพ่งพินิจการทรงนำ การดำเนินการของพระเจ้าในชีวิตของเรา
เราเห็น เราสัมผัส เราซาบซึ้ง เราเรียนรู้ถึงพระประสงค์ แผนการ และ
ความรักความห่วงใยของพระองค์ในชีวิตของเราและผู้คนรอบข้าง
เราได้รับการเพิ่มพูนความเชื่อศรัทธาและความมั่นใจ

เมื่อสิ้นสุดภารกิจชีวิตในวันนี้จึงเรียนรู้ว่า
ถ้าเราต้องนำชีวิตของเราเอง เราต้องมีเป้าหมายและแผนการชีวิตที่ชัดเจน
เพื่อดำเนินไปตามย่างก้าว ขั้นตอนที่วางไว้
แล้วเรียนถึงความสำเร็จ ล้มเหลว พอใจ และ ไม่พอใจของเราเพื่อนำไปปรับแก้แผนการใหม่ในวันใหม่

แต่ถ้าเรามีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำชีวิตของเราในวันนี้ เราทูลขอให้เราเห็นถึงการทรงนำของพระองค์
เราดำเนิน เดินตามขั้นตอนแห่งการทรงนำทีละก้าว ทีละตอน
แล้วเราจึงเห็นถึงแผนการของพระเจ้าที่ทรงมีสำหรับเราในวันนี้ เราเรียนรู้ถึงพระประสงค์และความรัก ความห่วงใยในชีวิตของเรา และทรงมีแผนการชีวิตที่เหมาะสมสำหรับเรา เราจึงเชื่อมั่นศรัทธา และ ไว้วางใจในพระองค์สำหรับวันใหม่
เราจึงพร้อมที่เปิดชีวิตของเราให้พระองค์นำ
เพราะเราเรียนรู้ มั่นใจ และไว้วางใจในพระองค์ถึง พระประสงค์ แผนการสำหรับชีวิตของเรา

02 มกราคม 2553

อ้อมแขนแห่งการชูช่วย

ปีใหม่เราท่านมักจะตั้งใจทำอะไรบางอย่างพิเศษในแต่ละวัน ที่พิเศษกว่าปีที่ผ่านๆ มา

ในปีนี้ ให้เรามาตั้งใจว่าในแต่ละวันตั้งเป้าไว้ว่า ขอได้ช่วยเหลือ กอบกู้ ใครสักคน

อย่าให้วันหนึ่งวันใดผ่านไปโดยที่ท่านไม่ได้อ้าแขนแห่งรักสำหรับใครบางคนที่อยู่นอกบ้าน นอกครอบครัวของท่าน

อาจจะเป็นส่งโน้ต, ข้อความ, โทรหา, ไปเยี่ยม หรือด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่หนุนจิตชูใจ ช่วยให้ชีวิตเขาฟื้นชื่น

ในโลกแห่งการไขว่คว้า แข่งขัน ช่วงชิง ให้ได้ ให้อยู่เหนือคนอื่นกลายเป็นกระแสธรรมดาแห่งสังคมปัจจุบันนี้

ท่านจงมีชีวิตที่ชื่นชมปิติ ชีวิตที่ปิติชื่นชมจะช่วยให้ชีวิตมีพลังแห่งการกอบกู้ช่วยเหลือ และเยียวยารักษาบาดแผลภายในชีวิต ทั้งของท่านเองและคนที่ท่านไปสัมผัสสัมพันธ์ด้วยในแต่ละวัน

ไม่ว่าจะ เป็นรอยยิ้ม, เสียงหัวเราะ, ในทุกการกระทำด้วยใจเมตตา, ในทุกๆ งานการช่วยเหลือบริการเล็กๆ น้อยๆ จงกระทำด้วยความชื่นชมยินดี ดั่งแสงแดดอันอุ่นละมุนที่สาดส่องมายังโลกนี้ด้วยความอ่อนโยน

ในแต่ละวัน...

ให้เรากระทำการบางอย่างเพื่อเป็นการชูช่วยจิตวิญญาณของคนอื่นให้ขึ้นจากทะเลแห่งความบาปชั่ว

ให้เราก้มลง อ้าแขน โอบอุ้มจิตวิญญาณบางดวงที่ล้มคลุกอยู่ในฝุ่นแห่งความสับสน สิ้นหวัง ประคองให้เขาได้ลุกขึ้นยืน พยุงให้เดินต่อด้วยพลังชีวิตใหม่ ทิศทางใหม่

ทุกวันนี้ เราท่านพึงตระหนักเสมอว่า พระเยซูคริสต์ยังเดินไปบนเส้นทางชีวิตของผู้คนแต่ละคน

พระองค์เดินไปบนเส้นทางชีวิตของท่าน

พระองค์ เรียกร้องและท้าชวนท่านให้เป็นผู้ติดตาม อภิบาล เยียวยา กอบกู้ และปะชุนชีวิตของประชาชน ดั่งที่พระองค์เคยเรียกสาวกของพระองค์ที่ชายฝั่งทะเลกาลิลีให้ “เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”

อ้อมแขนแห่งการชูช่วย เป็นอ้อมแขนที่ผู้คนในสังคมปัจจุบันโหยหา

เพราะเป็นอ้อมแขนที่อ้าออกโอบรัดผู้ที่ล้มลงให้ลุกขึ้นด้วยความกล้าหาญอีกครั้งหนึ่ง

เพราะเป็นอ้อมแขนที่เสริมพลังให้ยืนหยัดเผชิญหน้าสิ่งท้าทายชีวิต

เพราะเป็นอ้อมแขนที่หล่อหลอม บ่มเพาะให้ชีวิตกลับมามีความเชื่อศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า

เพราะเป็นอ้อมแขนที่หนุนเสริมให้ชีวิตได้เติบโตขึ้นจนกระทั่งเป็นชีวิตที่เติบโตเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในพระคริสต์

ด้วยใจที่เมตตากรุณา รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ทำให้ความเชื่อศรัทธาแสดงออกถึงความกล้าหาญ นำทางสู่ความสำเร็จ

ท่านจงทำสิ่งเหล่านี้ความความรักเมตตา ด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยความไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า

ท่านอย่าทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความเคร่งเครียด แต่ด้วยจิตใจที่รักเมตตา ไม่เช่นนั้นแล้วความเคร่งเครียด กังวลจะกลายเป็นตัวฉุดรั้งการไต่ขึ้นเขาสูงชันแห่งการบริการช่วยเหลือคนอื่น

ที่ท่านสามารถบริการรับใช้ด้วยจิตใจที่รักเมตตา และเปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดีนั้น

เพราะท่านตระหนักชัดว่า ท่านมิได้ออกไปบริการ รับใช้ และชูช่วยด้วยความดีและกำลังของท่านเอง

แต่เพราะพระคริสต์อยู่กับท่านต่างหาก ท่านจึงได้รับพลังความรัก ความอดทน และมีความปีติชื่นชม ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ชีวิตใดก็ตาม

ให้เราตระหนักชัดว่า ที่เราบริการชูช่วยคนอื่นนั้นมิใช่เพราะเราดี เราเก่ง เรามีพลังเหนือกว่าคนอื่น

แต่ที่เราทำเช่นนั้นเพราะเราสำนึกและตระหนักชัดว่า พระคริสต์ได้แบกภาระในชีวิตแทนเรา แล้วยังหนุนเสริมให้เรามีพลังมุ่งหน้าไป เราจึงมุ่งหน้าเดินไปด้วยความเบิกบาน ร่าเริง ทั้งนี้เพื่อเราจะมีโอกาสที่จะบริการ ชูช่วยคนอื่นที่ถูกภาระหนักกดทับในชีวิต

ท่านจะบริการชูช่วยแบ่งเบาภาระของคนอื่นสักเท่าใดในปีนี้?

ท่านจะชูช่วยให้จิตใจของเพื่อนมนุษย์เกิดความชื่นชม ยินดีสักกี่ดวง?

ท่านจะมีส่วนกอบกู้จิตวิญญาณร่วมกับพระคริสต์สักกี่ดวง?

ด้วยการให้ท่านจึงได้รับ และพระองค์จะทรงตวงกลับให้ท่านด้วยทะนานที่ยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตักของท่าน