28 ตุลาคม 2557

ฝนเปลี่ยนฤดู: ปลายฝน...ต้นหนาว

อ่าน 1 พงษ์กษัตริย์ 18:41-46

ดูสิ มีเมฆก้อนหนึ่งเล็กเท่าฝ่ามือคนขึ้นมาจากทะเล
(1พกษ. ข้อ 44 ฉบับมาตรฐาน)

กาลเวลาก้าวไปตามจังหวะที่พระเจ้าทรงกำหนด
กาลเวลามิได้เปลี่ยนแปลง
แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ในกาลเวลาเปลี่ยนไป
และคนในกาลเวลาก็เปลี่ยนไป
ฤดูกาลชีวิตของแต่ละคนก็แปรเปลี่ยนไปด้วย
น่าสังเกตว่าปีนี้ประเทศไทยมีฝนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
ฉันรักฝนหลังปลายฤดูฝนเข้าต้นฤดูหนาว
เพราะฝนได้หลั่งลงมาชะล้างความขมุกขมัวจากมลพิษในอากาศและฝุ่นละออง
ชำละล้างความเปื้อนเปรอะจากสิ่งต่าง ๆ ออกไปให้สดใสสะอาดอีกครั้งหนึ่ง
เป็นสุดท้ายที่ ฝนสั่งลาจะชะล้างสิ่งต่าง ๆ ก่อนเข้าฤดูหนาวที่ฉันชื่นชอบ

โอ...พระเจ้าข้า
ข้าพระองค์ต้องการ ฝนแห่งการชำระชะล้างชีวิตจิตวิญญาณของข้าพระองค์
ที่ถูกฝุ่นผง  หมอกควัน  มลพิษแห่งชีวิตในปีที่มืดครึ้มมัวหมองเกาะเคลือบยึดไว้แน่น
จิตใจของข้าพระองค์แข็งกระด้างและดื้อด้านหยาบช้า
ชีวิตของข้าพระองค์เกลื่อนเต็มไปด้วยขยะชีวิตที่ไม่รู้มาจากไหน
ข้าพระองค์เป็นเหมือนหญ้าที่แห้งเฉาสีน้ำตาลเข้ม  แทนที่จะเขียวสด

ในวันนี้  ข้าพระองค์ขอสงบคอยท่าเมฆก้อนเล็ก ๆ
เมฆก้อนเล็ก ๆ ที่ไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือมนุษย์
ที่ปรากฎลอยอยู่ฟากฟ้าไกล
ที่โผล่ขึ้นจากทะเลท่ามกลางสถานการณ์ที่ถดถอยท้อแท้

วันนี้  ถ้าข้าพระองค์เห็นเมฆก้อนเล็ก ๆ นั้น
ข้าพระองค์ขอวิ่งไปอย่างเอลียาห์
คาดเอว
รับการทรงเสริมกำลังด้วยพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยหวังว่า  เมื่อฝนเทลงมา

สายฝนที่ชุ่มฉ่ำและอบอุ่น
สายฝนที่ละลายให้จิตใจของข้าพระองค์คลายความแข็งกระด้างเป็นจิตใจที่นุ่มนวล
สายฝนที่ชะล้างความเจ็บปวดในชีวิตให้ออกไป
สายฝนที่พลิกฟื้นกลับให้มีชีวิตใหม่

วันนี้   ถ้าฉันเหลือบมองเห็นก้อนเมฆเล็ก ๆ ดังกล่าว
ฉันจะก้มตัวโน้มตนเองนอนราบลงกับพื้นดิน
แล้วน้อมจิตใจของฉันลง
รอคอยการอัศจรรย์แห่งการชะล้าง  ที่จะชำระในฤดูกาลแห่งชีวิตนี้
เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่แห้งแล้งหายนะ
แล้วเริ่มต้นการพลิกฟื้นฤดูกาลของชีวิตใหม่
และ งอกงามขึ้นในจิตใจของฉันในเหมันตฤดูนี้

ประเด็นเพื่อการใคร่ครวญ

วันนี้ท่านต้องการทูลขอการทรงชำละล้างจากพระเจ้าในเรื่องอะไร?  
และท่านจะเริ่มต้นพลิกฟื้นเรื่องอะไรในฤดูกาลแห่งชีวิตใหม่ที่พระเจ้าประทานให้แก่ท่าน?

บทใคร่ครวญนี้   เขียนขึ้นจากการอ่านข้อสะท้อนคิดของ  ดร. รูธ ฮาเลย์ บาร์ตัน (Ruth Haley Barton) 
เป็นครูและผู้ชี้นำทางจิตวิญญาณ   ท่านได้เขียนหนังสือที่รู้จักหลายเล่ม เช่น 
Pursuing God’s Will Together,
Strengthening the Soul of Your Leadership,
Sacred Rhythms,
Invitation to Solitude and Silence,

และ Equal to the Task: Men and Women in Partnership.

16 ตุลาคม 2557

ฉันฝันถึง “ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ”

ในนิมิตฉันได้เห็น...                                                         
หลายคน  หลายทีม ที่ถวายตัวแด่พระเจ้า   สำหรับการรับใช้ในตำแหน่ง “ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ”

แต่ละคนกระตือรือร้นที่ต้องการมอบชีวิตของตนแด่พระเจ้า   เพื่อสานต่อพระราชกิจแห่งการทรงกอบกู้  พลิกฟื้น  และสร้างใหม่ของพระเยซูคริสต์ในสังคมประเทศไทย

แต่ละคนมุ่งมั่น เต็มใจ “ให้” โดยไม่ได้คิดถึงความเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ยาก ลำบาก  หรือ  รางวัล ค่าตอบแทน และผลประโยชน์   แต่พร้อมที่จะ “ทุ่มและเท” ทั้งชีวิตให้เป็นเครื่องบูชาแด่พระคริสต์   เพียงขอให้มั่นใจว่า  สิ่งที่ทำนั้นเป็นน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ก็พอใจแล้ว

ในนิมิตฉันเห็นภาพประหลาด...
ทั้งคนที่ได้รับเลือกจากสมัชชาฯ ให้เป็น “ผู้บริหาร”  และคนที่ไม่ได้รับเลือกต่างหันหน้าเข้าหากัน  ร่วมมือกัน “สานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์” ในสังคมประเทศไทย   ด้วยความรักซึ่งกันและกันตามพระทัยของพระคริสต์
ในนิมิตฉันเห็นผู้เสนอตัวรับเลือกเป็น “ผู้บริหารสภาฯ” เปลี่ยนไป...

พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เสนอ “นโยบาย” ที่พวกเขาคิด ปรารถนา ที่มีภาพสวยหรู และ สัญญาว่าจะทำ...?
แต่ฉันกลับเห็นพวกเขาเสนอว่า...
พวกเขาจะเอื้ออำนวยหนุนเสริมให้คริสตจักรท้องถิ่นสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ในสังคมประเทศไทยอย่างไรบ้าง

ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ จะกระตุ้นและให้ความมั่นใจแก่...
โรงพยาบาลภายใต้สภาคริสตจักรฯ ให้ดำเนินพันธกิจอย่างสัตย์ซื่อ ทุ่มเท ที่สานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ด้านคุณภาพชีวิต  สุขภาพ  และจิตวิญญาณอย่างไร ด้วยความเมตตาและเข้าอกเข้าใจ และ การรับใช้ผู้คนที่มารับบริการในพระนามของพระเยซูคริสต์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งใส่ใจรับใช้คนยากไร้  ขาดโอกาส  คนชายขอบและคนนอกกรอบสังคมตามกฎหมาย   พวกเขารับใช้ผู้คนโดยมิใช่คำนึงถึง “ค่าบริการ”  แต่เขาคำนึงถึง พระฉายาของพระเจ้าในคนเหล่านั้น   และคุณค่าในความเป็นคนที่พระเจ้าทรงประทานให้   พวกเขารู้ว่าที่เขากระทำเช่นนี้มิใช่เพื่อที่จะแสดงว่าเขาทำรายได้ให้สภาฯ ปีละเท่าไหร่!   แต่เขากำลังแสดงถึงสำนึกชัดเจนว่า เขากำลังกระทำต่อชีวิตของผู้เล็กน้อยที่พระคริสต์กำลังใส่ใจอยู่

ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ  ให้ความชัดเจนและมุ่งส่งเสริมให้...
โรงเรียน และ มหาวิทยาลัยภายใต้สภาคริสตจักรฯ  ให้การทุ่มเท ใส่ใจในการสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่  ตามคุณธรรม จริยธรรมบนรากฐานพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์   เสริมสร้างทุกคนในสถาบันการศึกษาให้มี “ภาวะผู้นำที่เป็นคนรับใช้ผู้คนและสังคม”   โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง   ให้มีความคิดจิตสำนึกอย่างพระคริสต์   พร้อมที่จะทนทุกข์ยาก   มีความหวังและรอคอย   เพื่อที่จะทำให้เกิดศานติสุขในแผ่นดินและสังคมประเทศไทย

แต่ฉันยังแปลกใจอยู่ไม่หาย   เพราะฉันพบว่า...
“ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ”   ไม่มุ่งสนใจการหารายได้จากสถาบันเหล่านี้   แต่กลับให้ใช้รายได้เพื่อการสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์แห่งการกอบกู้  พลิกฟื้น  และ สร้างชีวิตใหม่” ในสถาบันแห่งนั้น ๆ   และยังเรียกร้องให้คริสตจักรท้องถิ่นเข้ามาช่วยสถาบันเหล่านี้ในการสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์อีกด้วย

ในนิมิตฉันเห็น “ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ” เอาจริงเอาจังกับ...
หน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำงานด้านการเสริมพันธกิจคริสตจักรด้วยการลงไป “คลุก” อยู่กับเจ้าหน้าที่และบุคลากรของหน่วยงานเหล่านั้น   เขาลงไปรับฟัง  ปรึกษา  ค้นหา  คิดด้วยกัน  ตัดสินใจด้วยกัน  วางแผนร่วมกัน...กับหน่วยงานเหล่านั้น   (เขามิได้ลงไปเพื่อให้นโยบายเท่านั้น!)

ทั้งนี้เพื่อให้ทุกหน่วยงานมีนิมิต  เป้าหมาย  แผนงาน  วิธีการ  และกระบวนการทำงานที่เอื้ออำนวยและเสริมหนุนให้คริสตจักรท้องถิ่นมีพลัง  และ  ชัดเจนที่จะ “ร่วมและสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์”  ในพื้นที่  บริบท  และวัฒนธรรมของแต่ละคริสตจักร

ในนิมิต   ฉันตื่นเต้นที่ได้เห็นพระเยซูคริสต์ทรงเคียงข้าง และ จาริกไปทุกที่กับ “ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ”   พวกเขาปรึกษา ขอการทรงนำ  และการทรงชี้แนะจากพระองค์ในทุกเรื่องทุกสถานการณ์

ในนิมิต   ฉันอึ้งและน้ำตาไหล   เพราะเห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเหนือ “ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ”   พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ “คนเดิม” ต่อไป   แต่พวกเขากลับกายเป็น “คนใหม่”   ที่มี...
  • ศักยภาพมากกว่าเดิม
  • มีชีวิตที่ทุ่มเทด้วยความกล้าหาญ
  • มีท่าทีและการกระทำที่ถ่อมลงด้วยความรักที่เสียสละของพระคริสต์
  • พวกเขามิได้คิดถึงแต่ตนเอง   แต่มุ่งทำทุกอย่างตามพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระคริสต์
  • พวกเขาเปี่ยมด้วยพลังแห่งการหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่ทุกคนทุกฝ่าย   ให้มุ่งมั่นใส่ใจและทุ่มเทในการ “ร่วมและสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ฯ”  ในสังคมประเทศไทย


ฉันเห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพลังแห่งชีวิตจิตวิญญาณของ “ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ”   ในการขับเคลื่อนทุกงาน   ทุกเรื่องในชีวิตของพวกเขา

นิมิตในที่สุด...ที่ฉันเห็น   ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ  ด้วย “ระบบการเลือกตั้ง” แบบการเมืองตามกระแสสังคมไทยในยุคนี้” ต่อไป

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ศิษยาภิบาลคือใคร? ใครคือศิษยาภิบาล?

ศิษยาภิบาลคือผู้ที่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเยซูคริสต์   ให้นำชุมชนคนที่เชื่อและไว้วางใจในพระองค์   ให้มีเป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่จะสานต่อพระราชกิจแห่งการกอบกู้  พลิกฟื้น  และการทรงสร้างใหม่ของพระองค์ให้ไปสู่การปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า ในแผ่นดินของพระองค์

ศิษยาภิบาลจึงมิใช่ “ตำแหน่ง” ที่ให้สิทธิอำนาจแก่ศิษยาภิบาลเป็นผู้ที่มีสถานภาพเหนือกว่าผู้เชื่อคนอื่น ๆ ตรงกันข้าม  ศิษยาภิบาลคือคนรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชีวิตของผู้คนในสังคม  เฉกเช่นที่พระองค์มาเพื่อรับใช้มวลชนด้วยชีวิต   และประทานชีวิตของพระองค์เพื่อผู้คนเป็นอันมาก  

ดังนั้น  บทบาทของศิษยาภิบาลก็คือคนใช้ของพระเยซูคริสต์ ที่รับใช้ด้วย “สิทธิอำนาจ” ที่พระคริสต์ประทานให้ แต่ต้องตระหนักชัดในที่นี้ว่า สิทธิอำนาจนี้พระคริสต์ประทานให้เพื่อกอบกู้ พลิกฟื้น และทรงสร้างสังคมโลกนี้ขึ้นใหม่ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์และพระบิดา คือการสานต่อพระราชกิจแห่งการนำ “แผ่นดินของพระเจ้า”  คือน้ำพระทัยของพระบิดาให้สำเร็จเป็นรูปธรรมในสังคมบนแผ่นดินโลกนี้

กล่าวคือ ให้ศิษยาภิบาลรับใช้ด้วยสิทธิอำนาจจากพระคริสต์เพื่อให้บรรลุตามพระประสงค์ของพระองค์และพระบิดา   มิใช่ สนองตอบความต้องการตามความปรารถนาของตนเอง  กลุ่มพรรคพวก  หรือ องค์กรใด ๆ ทั้งสิ้น   และก็มิใช่เพื่อผลประโยชน์ ค่าจ้างรางวัล เพราะค่าจ้างรางวัลพระเจ้าจะประทานให้เอง แต่ศิษยาภิบาลต้องรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชีวิตของมวลชน เพื่อให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ น้ำพระทัยของพระบิดาเป็นอย่างไรในสวรรค์ ให้เป็นเช่นนั้นในแผ่นดินโลกด้วย

พันธะความรับผิดชอบของศิษยาภิบาลที่มีต่อพระคริสต์เจ้าคือ
  1. วางรากฐาน และ เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของผู้เชื่อร่วมกับผู้เชื่อให้หยั่งรากลงในพระวจนะของพระเจ้า (ทั้งกายภาพ  จิตวิญญาณ อารมณ์  ความคิด  ความรู้สึก  และความสัมพันธ์)
  2. ฟูมฟักและเลี้ยงดูให้ผู้เชื่อเติบโตขึ้นให้มีวุฒิภาวะ(เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์)ทั้งในความเชื่อ  ความคิด  และการดำเนินชีวิตประจำวัน   ผ่านกระบวนการบ่มเพาะด้านต่าง ๆ ของชุมชนคริสตจักร
  3. สรรสร้างให้ผู้เชื่อหรือสมาชิกคริสตจักรเติบโตเข้มแข็งขึ้นเป็นสาวกพระคริสต์ และได้รับการพัฒนาไปสู่การเป็นคนรับใช้พระคริสต์ตามของประทาน ศักยภาพ ที่พระเจ้าทรงประทานให้
  4. เอื้ออำนวยให้ผู้เชื่อแต่ละคนได้เรียนรู้ และ มีประสบการณ์ตรงถึงพระราชกิจของพระคริสต์ในชีวิตของตน ผ่านชีวิตชุมชนคริสตจักร ชีวิตประจำวัน และชีวิตในการรับใช้พระองค์
  5. พัฒนาเสริมหนุนให้ผู้ปกครอง  คณะธรรมกิจคริสตจักร  แกนนำคริสตจักรให้เป็นผู้อภิบาล  และร่วมเป็นทีมอภิบาลของคริสตจักรทำงานรับใช้ร่วมกับศิษยาภิบาล   และนำไปสู่การพัฒนาให้ชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนของการอภิบาล  เยียวยารักษาชีวิต  และเป็นชุมชนที่สร้างโอกาสใหม่  ชีวิตใหม่แก่ทุกคนที่เข้ามาสัมผัสกับชุมชนคริสตจักร   และในพื้นที่ที่ผู้เชื่อของคริสตจักรออกไปรับใช้พระคริสต์
  6. เกื้อหนุนให้เกิดการบริหารจัดการชีวิตและการทำพันธกิจคริสตจักรอย่างมีส่วนร่วม   โดยสำนึกอย่างชัดเจนว่า   ชีวิตและการทำพันธกิจคริสตจักรขับเคลื่อนไปได้อย่างเข้มแข็งด้วยการขับเคลื่อนของมวลสมาชิกที่เป็นผู้รับใช้พระคริสต์ทุกคน ภายใต้การทรงนำและพระกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
  7. ศิษยาภิบาลคือผู้ที่ทุ่มเทชีวิตในการอธิษฐานด้วยสุดชีวิตจิตใจ   ที่ใส่ใจอธิษฐานเจาะจงถึงชีวิตและการรับใช้ของสมาชิกแต่ละคน   เพื่อแต่ละคนจะมีชีวิตและการรับใช้ในแต่ละวันตามพระประสงค์  และมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าในชีวิตแต่ละวัน


ศิษยาภิบาลคงไม่ “ติดหล่ม” ในการทำพันธกิจประจำของคริสตจักร  การใช้สิทธิอำนาจจากตำแหน่งในการประกอบศาสนพิธี  และฐานะพิเศษที่แยกต่างหากจากคนธรรมดาสามัญ   จนหมดแรงที่จะกระทำการตอบสนองการทรงเรียกของพระคริสต์ให้สานต่อพระราชกิจแห่งการกอบกู้ พลิกฟื้น และการทรงสร้างใหม่ของพระองค์   ให้ผู้คนมีชีวิตที่อยู่ใต้ร่มพระคุณ  ภายใต้การปกป้องคุ้มครอง  เป็นโอกาสใหม่ ชีวิตใหม่ในแผ่นดินของพระเจ้าในสังคมประเทศไทยและโลกนี้

ให้เราเดินร่วมกับพระคริสต์ในวันนี้   เพื่อรับใช้พระองค์ให้สังคมโลกนี้   ให้เราพาเพื่อมนุษย์เดินเข้าไปสู่แผ่นดินของพระเจ้า   ด้วยพระกำลังหนุนเสริมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

คริสตจักร...ตั้งอยู่ไปทำไม? ตั้งอยู่เพื่ออะไร?

นี่เป็นคำถามแรกเริ่มที่คริสตจักรจะต้องถามตนเอง!

คริสตจักรจะต้องรู้เท่าทันว่า  คริสตจักรตั้งอยู่ไปทำไม?   คริสตจักรตั้งอยู่เพื่ออะไร?   ก่อนที่จะไปถามว่าคริสตจักรจะต้องทำอะไรบ้าง?   หรือ ต้องทำอย่างไร?   หรือ จะจัดโครงสร้างคริสตจักรอย่างไรแบบไหน?

ก่อนอื่นเราคงต้องถามว่าใครคือผู้ก่อตั้งคริสตจักร?   คำถามนี้ตอบไม่ยาก  พระเยซูคริสต์คือผู้ก่อตั้งคริสตจักรขึ้น   ถ้าเช่นนั้นก็ขอถามต่อไปว่า  แล้วพระคริสต์ตั้งคริสตจักรขึ้นมาทำไม หรือ เพื่ออะไร?   ถ้าเราสามารถตอบคำถามนี้ได้   เราก็สามารถตอบได้ว่า  คริสตจักรตั้งอยู่ไปทำไม?  คริสตจักรตั้งอยู่เพื่ออะไร?

พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนี้   ยอมตนมาเกิดเป็นมนุษย์   ใช้ชีวิตท่ามกลางมวลชนในสมัยของพระองค์    โดยมีจุดประสงค์เพื่อสานต่อพระราชกิจแห่งการทรงสร้าง ของพระบิดา    มนุษย์ที่พระบิดาทรงสร้างถูกหลอกล่อว่าตนสามารถที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า   จึงตัดสินใจคิดกบฎขัดขืนพระบัญชาแล้วแยกตัวออกห่างจากพระองค์   ในที่สุดชีวิตมนุษย์จึงตกไปอยู่ใต้อำนาจแห่งความบาปชั่ว   ไม่สามารถที่จะช่วยตนเองได้  

พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อ สานต่อพระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระบิดา ด้วยการทรงกอบกู้ชีวิตมนุษย์ให้หลุดรอดออกจากการครอบงำของอำนาจแห่งความชั่ว   พลิกฟื้นการดำเนินชีวิตให้เป็นตามพระประสงค์ของพระเจ้า  และสร้างสังคมโลกขึ้นใหม่   ให้เป็นคนใหม่ในสังคมใหม่ตามพระประสงค์ของพระผู้ทรงสร้าง   ให้สังคมโลกเป็นแผ่นดินของพระเจ้า   และให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระบิดาเฉกเช่นที่เป็นอยู่ในสวรรค์ พระคริสต์ทรงกอบกู้ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์   ทรงยอมให้ชีวิตเพื่อมนุษย์จะได้มีชีวิตใหม่

พระราชกิจแห่งการกอบกู้เปลี่ยนแปลงชีวิต และ สังคมมนุษย์   พระเยซูคริสต์ทรงเรียกร้องให้ผู้คนเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจากความเชื่อความคิด   เพื่อที่จะมีมุมมองใหม่   การรับรู้ใหม่   วิธีการตัดสินใจใหม่   และการดำเนินชีวิตในแนวใหม่   การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมนุษย์ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยพลังชีวิตของตนเอง   แต่สามารถเปิดใจยอมรับการทรงเปลี่ยนแปลงจากพระวจนะ และ พลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์   ด้วยการทรงสร้างใหม่จากพระคริสต์   ให้มีชีวิตที่สอดรับกับคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า

จากนั้นพระองค์ทรงมอบหมายให้ผู้เชื่อศรัทธาในพระองค์  สาวก  และชุมชนคริสตจักรให้ สานต่อพระราชกิจแห่งการกอบกู้ พลิกฟื้น และการทรงสร้างใหม่ให้เป็นสังคมชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้า

ดังนั้น   เป้าหมายหลักของการมีชีวิตอยู่ของคริสตจักรคือการที่คนในชุมชนคริสตจักรมอบกายถวายชีวิตรับการเปลี่ยนแปลงจากพระคริสต์   แล้วร่วมกันสานต่อพระราชกิจตามพระประสงค์   ตามการทรงเรียก   และร่วมรับพระพรในการรับใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์ในสังคมโลกนี้   เป็น “แผ่นดินของพระเจ้า”  ที่ผู้คนในแผ่นดินนี้อยู่ภายใต้การทรงปกป้องคุ้มครองจากพระองค์

พระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ทรงมอบหมายให้คริสตจักรรับผิดชอบในปัจจุบันนี้คือ  การเปลี่ยนแปลง “คน” และ “ชุมชนสังคมโลก” (เปลี่ยนทั้งคนและระบบสังคม)   ให้ผู้คนได้มีโอกาสรับการทรงกอบกู้ และ การทรงสร้างใหม่จากพระคริสต์   และเข้าร่วมชีวิตในสังคมแห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ผ่านพันธกิจด้านต่าง ๆ ที่คริสตจักรได้กระทำ

พันธกิจด้านต่าง ๆ เป็นเครื่องมือที่คริสตจักรเลือกใช้ในการตอบสนองการสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์   ซึ่งพันธกิจที่สำคัญมีดังนี้
  • คริสตจักรเป็นชุมชนที่ช่วยให้คนในคริสตจักรหยั่งรากชีวิตลงในพระวจนะของพระเจ้า   ด้วยการทรงเปิดเผยความจริงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์   ผู้คนในคริสตจักรจึงเข้าใจความหมาย เชื่อ สัตย์ซื่อ  และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า   เพื่อมีชีวิตที่เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์   มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน   คริสตจักรจึงเป็นชุมชนแห่งพระวจนะของพระเจ้า
  • คริสตจักรคือชุมชนที่เสริมสร้างให้คนในคริสตจักรมี พระเจ้าทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในชีวิตและติดสนิทกับพระองค์  ในทุกมิติการดำเนินชีวิตประจำวัน   ในทุกที่ที่ตนมีชีวิตอยู่   และทำให้ผู้คนรอบข้างเห็นพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของสมาชิกคริสตจักร   เพื่อพระนามของพระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ   คริสตจักรจึงเป็นชุมชนที่มีชีวิตที่นมัสการ  ยกย่อง  เทิดทูน  และสรรเสริญพระเจ้าทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน   และการร่วมสามัคคีธรรมในคริสตจักร
  • คริสตจักรเป็นชุมชนที่ห่วงใยเอาใจใส่ชีวิตของผู้คนแม้จะมีความแตกต่างหลากหลายทั้งด้านชาติพันธุ์  วัย  ฐานะสังคม-เศรษฐกิจ  ความรู้  และความสามารถ   แต่ทุกคนมีความสัมพันธ์  สามัคคีธรรม  เป็นชุมชนที่อบอุ่น  เหนียวแน่น  ยอมรับ  และต้อนรับกันและกัน   รักซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์   เอาใจใส่ใกล้ชิดคนที่ว้าเหว่  หนุนเสริมคนอ่อนแอ  ยกชูคนต่ำต้อยและคนที่ถูกกีดกันปฏิเสธจากสังคม   เป็นชุมชนที่สำแดงถึงสังคมชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้าที่ได้รับการทรงสร้างใหม่จากพระคริสต์และด้วยพลังของพระวิญญาณ
  • คริสตจักรเป็นชุมชนแห่งการรับใช้และบริการท่ามกลางมวลชนที่พระเจ้าทรงสร้าง   เพื่อนำผู้คนให้เข้าถึงพระราชกิจแห่งการทรงกอบกู้  พลิกฟื้น  และสร้างใหม่จากพระเยซูคริสต์   เป็นชุมชนที่ช่วยให้ผู้คนในสังคมได้เห็นและสัมผัสกับพระคุณความรักของพระคริสต์   เพื่อนำการเปลี่ยนแปลงเข้าไปในชีวิตของประชาชน   และสร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลก   ด้วยความบากบั่น  อดทน   คริสตจักรเป็นชุมชนที่นำชีวิตใหม่  สังคมใหม่ คุณค่าใหม่ในชีวิตเข้าถึงสังคมโลกด้วยการรับใช้และบริการ
  • คริสตจักรเป็นชุมชนของผู้เชื่อที่จาริกไปบนเส้นทางแห่งกางเขนของพระคริสต์อย่างไม่หยุดหย่อนอ่อนแรง   เป็นชุมชนที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและรอคอยการเปลี่ยนแปลงตามพระสัญญา
  • คริสตจักรเป็นชุมชนที่ขับเคลื่อนไปด้วยพลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  ตระหนักชัดว่าตนไม่สามารถขับเคลื่อนชีวิตคริสตจักรด้วยกำลังของตนเอง   แต่พระเยซูคริสต์ทรงเคียงข้างเราในชีวิตประจำวัน   ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของผู้เชื่อแต่ละคน  และผ่านชีวิตของผู้เชื่อและชุมชนคริสตจักร   คริสตจักรคือชุมชนที่ขับเคลื่อนไปด้วยพลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
  • คริสตจักรเป็นชุมชนที่ป่าวประกาศถึงความรอดในพระเยซูคริสต์ทั้งด้วยวาจาและการดำเนินชีวิต


จุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ของคริสตจักรในสังคมประเทศไทย  ก็เพื่อที่จะสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์  อันเป็นพันธกิจแห่งการกอบกู้  พลิกฟื้น  และสร้างชีวิตใหม่ สังคมใหม่ ให้สังคมประเทศไทยเป็นสังคมแห่งแผ่นดินของพระเจ้า   ทีทรงมอบหมายให้คริสตจักรกระทำด้วยความจริงจัง  สัตย์ซื่อ  และถ่อมอย่างพระคริสต์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

02 ตุลาคม 2557

คริสตจักรจะว่าอย่างไรกับ...พระราชกิจแห่งการยกคนจนและคนขัดสนขึ้น?

อ่านพระธรรมสดุดี 113:1-9

พระ​องค์​ทรง​ยก​คน​จน​ขึ้น​มา​จาก​ผง​คลี
และ​ทรง​ยก​คน​ขัด​สน​ขึ้น​มา​จาก​กอง​ขี้เถ้า
(สดุดี 113:7 มตฐ.)

ปกติทั่วไปเรามักเข้าใจว่า  พระราชกิจของพระเจ้าประกอบด้วย  พระราชกิจแห่งการทรงสร้าง  การทรงกอบกู้ให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่ว   พระราชกิจแห่งการทรงพลิกฟื้นและสร้างสังคมโลกนี้ขึ้นใหม่   ให้เป็นแผ่นดินโลกใหม่  ฟ้าสวรรค์ใหม่   อันเป็นพระราชกิจแห่งการนำเอาสภาพสังคมแบบแผ่นดินของพระเจ้าให้เกิดขึ้นเป็นจริงบนแผ่นดินโลกที่พระองค์ทรงสร้าง

แต่ในพระธรรมสดุดี บทที่ 113:7 ได้กล่าวชัดเจนถึงพระราชกิจของพระเจ้าในการ “ทรงยกคนจนและคนขัดสนขึ้น” จากผงคลี และ จากกองขี้เถ้า  หรือ กองขยะที่ใหญ่โตมหึมาในปัจจุบัน   กล่าวคือนี่เป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงยกคนที่ต่ำต้อยด้อยค่า (ผงคลี) ให้คนเหล่านั้นมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่าในชีวิตเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน   และ  ทรงยกคนที่ถูกกดขี่และการกดดันให้ต้องจมจ่อมอยู่ในกองทุกข์ยากจนขัดสนและโศกเศร้า จากการกระทำของคนที่ตำแหน่ง อำนาจ และโอกาส จนไม่มีวันจะโงหัวขึ้น  

พระเจ้าทรงยกคนเหล่านี้ขึ้น  และนี่คือพระราชกิจของพระเจ้า!

เกิดคำถามว่า ทุกวันนี้สภาคริสตจักรของเรากระทำพันธกิจที่สืบสานต่อจากพระคริสต์ หรือ สวนกระแสกับแนวทางการทำพันธกิจของพระเจ้าและพระคริสต์กันแน่?

ผู้ประพันธ์สดุดีบทนี้ได้เรียกร้องและเชิญชวนให้เราสรรเสริญพระเจ้า (ข้อ 1-2)   เพราะพระองค์ทรงเป็นใหญ่อยู่เหนือประชาชาติทั้งหลาย และ เหนือฟ้าสวรรค์ (ข้อ 3-4)   แต่พระองค์กลับ “โน้มพระองค์ลง” เอาใจใส่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก (ข้อ 6)  ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยัง “ทรงยกคนจนขึ้นจากผงคลีดิน”  และ “ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขี้เถ้า” (ข้อ 7)   เพื่อให้มีคุณค่าและศักดิ์เท่าเทียมกับ “บรรดาเจ้านาย” (ข้อ 8)   แล้วทรงอวยพระพรแก่คนที่ขาดพระพร (ข้อ 9)   ด้วยเหตุเหล่านี้แหละที่ผู้ประพันธ์สดุดีเชิญชวนให้เราสรรเสริญพระเจ้า

นี่คือพระลักษณะของพระเจ้าที่เราสามารถเรียนรู้จากพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ!

แต่หลายท่านรวมทั้งตัวผมเองเกิดคำถามในใจว่า   แล้วพระเจ้าทรงยกคนยากจนขัดสนขึ้นอย่างไร?

พระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ให้ลงมากระทำพระราชกิจ “การยกคนยากจนและคนขัดสน” นี้ในสถานการณ์จริงบนแผ่นดินโลกในยุคของพระองค์   โดยมีเป้าหมายที่กระทำพระราชกิจดังกล่าวเพื่อนำแผ่นดินของพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระบิดาได้เกิดขึ้นเป็นจริงบนแผ่นดินโลกนี้อย่างที่เกิดขึ้นในสวรรค์  จนวันหนึ่งจะสำเร็จเป็นจริง  ที่เป็นแผ่นดินที่ผู้คนไม่ต้องหลั่งน้ำตาอีกต่อไป

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางแห่งพระราชกิจการเสริมสร้างแผ่นดินของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกนี้  พระองค์ทรงกระทำพระราชกิจนี้เพื่อเป็นแบบอย่างถึงการทุ่มเท และ การทรงอุทิศตนเพื่อพระคุณและความยุติธรรมของพระเจ้าอย่างไร   เพื่อคนที่ยอมตนติดตามเป็นสาวกของพระองค์ และ ชุมชนคริสตจักรจะได้สืบสานพระราชกิจนี้ต่อจากพระองค์   เป็นความจริงว่า พระองค์ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ได้ด้วยพระองค์เอง   และทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของผู้คน  และผ่านชีวิตของผู้คน   แต่เราพบว่าพระราชกิจส่วนใหญ่ของพระเจ้าทรงกระทำในชีวิต และ ผ่านชีวิตของคนที่พระเจ้าทรงเรียกและทรงใช้

ดังนั้น  ด้วยวิธีหนึ่งในการที่พระเจ้าทรงยกคนยากจนขัดสนขึ้นจากผงคลีและกองขี้เถ้า  ผ่านคริสตจักรที่เชื่อฟัง สัตย์ซื่อ และทุ่มเทถวายชีวิตแด่พระองค์   นั่นหมายความว่า  พระเจ้าทรงยกคนยากจนขัดสนขึ้นผ่านงานชีวิตของท่านและข้าพเจ้า  ผ่านชีวิตชุมชนคริสตจักร  ผ่านสภาคริสตจักรในประเทศไทย!

แล้วเราจะมีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระคริสต์ได้อย่างไรบ้าง?  

คริสตจักร  คนที่เชื่อและติดตามพระเยซูคริสต์  ทั้งท่านและผม สามารถที่เข้ามีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งการยกคนยากจนขัดสนขึ้นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม   บางคนเข้าไปมีส่วนในการรับใช้เอาใจใส่คนกลุ่มนี้โดยตรง  หนุนเสริมเพิ่มพลังแก่คนที่ลำบากขัดสนให้สามารถลืมตาอ้าปากที่จะสามารถจัดการชีวิตของตนเองได้อย่างมีคุณค่าและความหมาย   บางครั้งก็ได้มีคนที่รวมตัวกันเป็นองค์กรเอกชนที่จะเอาใจใส่สุขภาพ  สวัสดิภาพ  การทำมาหากิน  ของผู้ยากจนขัดสน   ด้อยโอกาส   บ้างก็เปิดโอกาสให้เด็กที่ยากจนขัดสนได้มีโอกาสเล่าเรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพ   บางครั้งคริสตจักรก็เป็นกระบอกเสียงของคนยากคนจนคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ   มีบางกลุ่มได้เริ่มทำธุรกิจเพื่อสังคม   บ้างสร้างโอกาสและพื้นที่ชีวิตที่คนกลุ่มเป้าหมายนี้จะมีอาชีพการงานเพื่อหารายได้เลี้ยงตนเอง   บางคนบางกลุ่มได้จัดสรรระบบความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อให้คนกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสที่จะเริ่มต้นอาชีพที่ตนมีศักยภาพเพื่อทำให้มีรายได้เลี้ยงตนเองได้   แต่ในเวลาเดียวกัน   มีอีกหลายคนที่มีน้ำใจและเอาใจใส่ด้วยการสนับสนุนทางการเงินด้วยจิตใจที่กว้างขวาง   ผ่านกลุ่มคนทำงานบางกลุ่มดังกล่าวข้างต้น

การเข้าร่วมสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ในรูปแบบต่าง ๆ นำมาซึ่งเสียงสรรเสริญพระนามของพระเจ้า   และการสรรเสริญพระเจ้านั้นมิใช่จะกระทำได้เพียงการเปล่งเสียงเท่านั้น   แต่เราสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ด้วยการกระทำผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการ “ยกคนยากจนขัดสนขึ้น” จากผงคลีและกองขี้เถ้า

ว่าที่ผู้บริหารสภาคริสตจักรในประเทศไทยที่กำลังหาเสียงและจะมีการเลือกตั้งในเร็ววันนี้   ไม่รู้ว่ามีนโยบายของกลุ่มไหน ทีมไหน หรือ ท่านไหนบ้างที่ให้ความสำคัญแก่การสานต่อพระราชกิจแห่งการ “ยกคนยากจนขัดสนขึ้น” จากผงคลีและกองขี้เถ้าต่อจากพระเยซูคริสต์บ้าง?  

มีทีมใด หรือ คนใดบ้างที่จะส่งเสริม และ สนับสนุนให้โรงเรียน  โรงพยาบาล  มหาวิทยาลัย  หน่วยงาน  คริสเตียนของสภาคริสตจักรทำพันธกิจ “การยกคนยากจนขัดสนขึ้น” บ้าง?   หรือ มัวมองและหาวิธีเอาเงินรายได้ของสถาบันและหน่วยงาเหล่านั้นมาจัดสรรประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับกลุ่มคนที่มีอิทธิพลในการลงคะแนนเสียงสนับสนุนกลุ่มตน?   การกระทำเช่นนี้เป็นการบีบบังคับสถาบันและหน่วยงานสภาฯ ทางอ้อมให้ต้องมุ่งทำธุรกิจหากำไร แทนการทำพันธกิจสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ในการ “ยกคนยากจนขัดสนขึ้น” หรือไม่?

ว่าที่คณะผู้บริหารสภาคริสตจักรต้องตัดสินใจว่า   จะเลือกที่จะทำให้สถาบันและหน่วยงานของสภาคริสตจักรฯ สานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ หรือ บริหารองค์กรสภาคริสตจักรที่ “สวนกระแส” ต่อพระประสงค์ของพระคริสต์ในการสานต่อพระราชกิจของพระองค์?   แล้วก็อย่าอ้างแบบข้าง ๆ คู ๆ ว่า   เอาเงินจากสถาบันและหน่วยงานมาเพื่อเลี้ยงคริสตจักร ศิษยาภิบาล  และการทำพันธกิจของคริสตจักร   พระคริสต์บอกเราชัดเจนว่า  พระองค์มาในโลกนี้มิใช่เพื่อ “ตนเอง” จะได้รับการปรนนิบัติ   แต่พระองค์มาเพื่อรับใช้และให้ชีวิตคนเป็นอันมากต่างหากครับ
                                                                                                                                
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499