28 กันยายน 2561

“ฉันมาไกลเกินกว่าจะ...”

ถ้าเรามีโอกาสอ่านพระธรรมเลวีนิติ บทที่ 13 
เราจะรู้ถึงความเจ็บช้ำจิตใจในชีวิตของคนที่เป็นโรคเรื้อนในยุคนั้น
เขาต้องตกเป็นเศษเดนของสังคม  ต้องอับอาย  ถูกประณาม กล่าวโทษจากสังคม
ถูกขจัดขับไล่ออกจากการเป็นคน ๆ หนึ่งในสังคม  ถูกขับไล่ออกจากครอบครัว

คนโรคเรื้อนคนหนึ่งในมัทธิวบทที่ 8  คนโรคเรื้อนคนนั้นเข้ามาขอพระเยซูรักษาเขา
เราในสมัยนี้เวลาอ่านเรื่องราวตอนนี้คิดมโนไปว่า 
“ดีจัง มีคนเข้ามาหาพระเยซู”   แต่หาตระหนักไม่ว่า คน ๆ นั้นเป็นโรคเรื้อนในยุคนั้น
เรามักลืมไปว่า  เขามีความสุ่มเสี่ยงแค่ไหน   ที่เสี่ยงเข้ามาใกล้ฝูงชน 
แล้วร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซู   เขาเสี่ยงต่อก้อนหินจากฝูงชนที่ติดตามพระเยซู!
ทั้ง ๆ ที่บริเวณนั้นเป็นนอกเมือง ติดเขตภูเขาก็จริง  
และอาจจะเป็นบริเวณที่เขาหลบซ่อนชีวิตของเขาก็ได้
แต่ที่เสี่ยงเพราะแม้พระองค์จะลงจากภูเขา (8:1)   แต่มีฝูงชนคนจำนวนมากตามพระองค์มาด้วย
นอกจากว่าเขาต้องร้องตะโกนประจานตนเองบอกให้ผู้คนรู้ว่า ตนไม่สะอาด  ตนเป็นคนมีมลทิน
แต่เขาเสี่ยงที่ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซู

ชายโรคเรื้อนคนนี้คงคิดใคร่ครวญแล้วว่า  
แทนที่จะต้องมาตายอย่างโดดเดี่ยวในป่าเขานี้ สู้เสี่ยงร้องขอพระเยซูช่วยรักษา
แต่นั่นมันเสี่ยงกับก้อนหินจากฝูงชนที่ติดตามพระเยซู...   แต่ยังไงก็ตายเหมือนกันมิใช่หรือ?
เมื่อเขาเข้ามาใกล้   เขามองหาเปโตรอยู่ที่ไหน?   ถ้าเขาไล่ฉันให้ออกไป  ฉันจะทำอย่างไงดี?
เมื่อใกล้ฝูงชนมากขึ้น   เขาเกิดคำถามว่า  “ถ้าพระเยซูรักษาฉันไม่ได้ล่ะ...???
หรือ  แทนที่ฉันจะได้รับการรักษา   แต่กลับไปแพร่โรคให้คนที่สะอาดล่ะ...อะไรจะเกิดขึ้น?
แล้วถ้าพระเยซูไม่เต็มใจจะรักษาฉันล่ะ?
เมื่อเขาเข้ามาใกล้จนอยู่ต่อหน้าพระเยซู   เขาทูลว่า
“พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หายได้ถ้าพระองค์เต็มใจ” (8:2)
พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้องชายผู้นั้นและตรัสว่า
“เราเต็มใจจะรักษา จงหายโรคเถิด!” (8:3)

นี่พระเยซูไม่กลัวจะติดโรคเรื้อนจากฉันรึ?
นี่พระเยซูไม่กลัวจะเป็นมลทินรึ?
นี่พระเยซูรักเมตตาฉันจนกล้าทำสวนทางกับพระคัมภีร์หรือ?

ปกติแล้ว   เรามักไม่มีปัญหาที่จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธานุภาพแค่ไหน   พระองค์ยิ่งใหญ่ปานใด
แต่บ่อยครั้งนักเรามักสงสัยว่า  พระองค์เต็มใจ หรือ พอใจหรือเปล่า?
แต่พระองค์แสดงออกชัดเจนว่า   มากยิ่งกว่าพอใจเพียงคำพูดเสียอีก!

ท่านผู้อ่านที่มีความเชื่อศรัทธาที่รักครับ  
พระเยซูตรัสกับท่านว่า “เราเต็มใจ...”  ในสถานการณ์ชีวิตต่าง ๆ ที่ท่านเผชิญในแต่ละวัน
ท่านครับ   เราถลำตัว...มาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังวิ่งกลับแล้วครับ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

26 กันยายน 2561

คำถามสำหรับผู้ที่อยากเป็นผู้นำขององค์กรนี้!

 ที่ริมฝั่งแม่น้ำของบาบิโลน เรานั่งลงและร่ำไห้   เมื่อระลึกถึงศิโยน
 เราแขวนพิณของเราไว้   ที่ต้นปอปลาร์
 เพราะที่นั่น ผู้คุมขอให้เราร้องเพลง   ผู้ทรมานเราสั่งให้เราร้องเพลงแห่งความยินดี
   พวกเขาพูดว่า “ไหนร้องเพลงแห่งศิโยนให้ฟังสักบทซิ!”
4   เราจะขับร้องบทเพลงขององค์พระผู้เป็นเจ้า   ในดินแดนต่างด้าวได้อย่างไร?
 เยรูซาเล็มเอ๋ย หากเราลืมเจ้า   ขอให้มือขวาของเราลืมความชำนาญเถิด
 ขอให้ลิ้นของเราเกาะติดเพดานปาก   หากเราลืมเจ้า
   หากเราไม่ได้ถือว่าเยรูซาเล็มเป็นสุดยอดแห่งความชื่นชมยินดี
 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงจดจำสิ่งที่ชาวเอโดมได้ทำในวันที่กรุงเยรูซาเล็มแตก
   พวกเขาโห่ร้องว่า “พังมันเลย”   “ทลายให้ถึงรากถึงโคนเลย!” (สดุดี 137:1-7 อมธ.)

สามประเด็นสำคัญที่สดุดีตอนนี้ได้ให้แก่เราคือ   ความใฝ่ฝันของผู้เขียน   เสียงร้องทูลต่อพระเจ้าของผู้เขียน  และ บทเพลงของผู้เขียน

ไม่น่าแปลกใจที่เป็นบทเพลงของผู้ที่มีจิตใจที่ขมขื่นและเจ็บปวด   เพราะบทเพลงนี้กลั่นกรองออกมาจากก้นบึ้งแห่งหัวใจของชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกที่กรุงบาบิโลน  ที่ผู้ร้องเพลงนี้บอกว่าเขาไม่สามารถที่จะลืมกรุงศิโยนดินแดนแห่งบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาได้   ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาใฝ่ฝัน  หวัง และ ร้องทูลขอต่อพระเจ้าขอให้พวกเขาได้กลับไปสู่มาตุภูมิของเขาสักวันหนึ่ง

บทเพลงนี้มีประเด็นสำคัญยิ่งสำหรับผู้นำในปัจจุบัน   ที่ท้าทายท่านให้ตอบคำถามยิ่งใหญ่ที่สำคัญ ในฐานะที่ชุมชนคริสตจักรของเราเคยรุ่งโรจน์ มั่งคั่ง มั่นคง  และเคยคิดว่าจะยั่งยืน   แต่มาถึงวันนี้  องค์กรของเราตกต่ำย่ำแย่   ไม่แตกต่างอะไรกับที่ประเทศชุมชนคนยิวกำลังตกเป็นเชลยศึกในแผ่นดินบาบิโลนเลยนะครับ

ท่านจะตอบอย่างไรต่อคำถามที่ท้าทายต่อไปนี้จากผู้ประพันธ์เพลงสดุดีในแดนเชลยศึก?
·         ท่านผู้นำครับ   ทุกวันนี้ท่านกำลังใฝ่ฝันอะไรกันแน่?  หรือกำลังฝันหวานอะไรกันอยู่?   ถ้าท่านไม่มีความกลัวที่จะล้มเหลวท่านจะทำอะไรบ้าง?
·         ท่านผู้นำครับ   วันนี้ท่านกำลังร้องบทเพลงชีวิตที่มีเนื้อหาอะไรบ้าง?   ภาระความรับผิดชอบอะไรที่กระตุ้นให้ท่านมีความใฝ่ฝันที่ท่านต้องการมุ่งไปให้ถึงดวงดาวที่จะเป็นผู้นำขององค์กรนี้?
·         ท่านผู้นำครับ   วันนี้ท่านร้องทูลต่อพระเจ้าว่าอะไร?   อะไรคือเนื้อหาของคำทูลต่อพระเจ้า?     อะไรที่จะเป็นสาเหตุให้ท่านเกิดความชื่นชมยินดีในชีวิตท่าน?

ท่านผู้นำทุกระดับ   ท่านจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจนและจริงใจ  เพราะท่านกำลังตอบโดยตรงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  และ ต่อหน้าประชากรของพระองค์   ท่านตอบว่าอะไรครับ? 

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

24 กันยายน 2561

พระเจ้าเตรียมท่านให้...ล้มไปข้างหน้า!

ผมเชื่อว่าแต่ละคนต่างมีคำจำกัดความของคำว่า “ความล้มเหลว” ในชีวิตตน
ผมไม่ทราบว่าท่านมีคำจำกัดความ “ความล้มเหลว” ว่าอย่างไร
ความจริงก็คือว่า  ทุกคนต่างเคยล้มเหลว พลั้งพลาด และกระทำผิดในชีวิต

มีผู้กล่าวไว้ว่า...

“การกระทำพลั้งผิดคือความเป็นมนุษย์  และ การให้อภัยยกโทษคือพระเจ้า”
นักเขียนชื่อ นอร์แมน คัสซิ่นส์ (Norman Cousins) เคยกล่าวไว้ว่า
“สาระสำคัญของความเป็นมนุษย์คือความไม่สมบูรณ์”

จอห์น ซี. แม็กซ์แวลล์  ได้สังเคราะห์ “ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์” ไว้ 5 ประการคือ

ประการแรก มนุษย์จะเรียนรู้ถึงบทเรียนชีวิต
ประการที่สอง ไม่มีความพลั้งพลาด  ล้มเหลว  มีแต่บทเรียนชีวิต
ประการที่สาม บทเรียนชีวิตเรื่องเดิมจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าคน ๆ นั้นจะเรียนรู้
ประการที่สี่ หากมนุษย์คนนั้นยังไม่เรียนรู้บทเรียนที่เรียบง่าย  เขาก็จะได้รับความยากลำบากมากขึ้นในชีวิต
ประการที่ห้า เราจะรู้ว่าเขาได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตเรื่องนั้น ๆ  เมื่อพฤติกรรมในเรื่องดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนแปลง

เรารู้จักเรื่องราวของเปโตรในพระธรรมมัทธิว 26:74-75 ที่เขียนไว้ว่า

แล้วเปโตรจึงสบถสาบานเป็นการใหญ่ว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น!”
ทันใดนั้นไก่ก็ขัน เปโตรจึงนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ว่า
“ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง”
เขาจึงออกไปข้างนอกและร้องไห้อย่างขมขื่น (มัทธิว 26:74-75)

พระเยซูคริสต์รู้ว่า สาวกของพระองค์จะพบกับความผิดพลาด แล้วรู้สึกล้มเหลวในชีวิต  พระองค์บอกกับเปโตร ตรง ๆ   แล้วบอกเขาอีกว่า  เขาจะต้องผิดพลาดล้มลง   แต่การผิดพลาดล้มลงในชีวิตครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขาให้กล้าหาญ สัตย์ซื่อทุ่มเท และมอบทั้งชีวิตเพื่อสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์

พระเยซูบอกเปโตรว่า “เปโตรเอ๋ย เราบอกท่านว่าวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง” (ลูกา 23:34 อมธ.)  พระเยซูคริสต์เตรียมจิตใจของเปโตร  ให้เตรียมตัวรับมือกับความล้มเหลวในชีวิตที่จะเกิดขึ้น   การทดลองทำให้เปโตรรู้สึกว่า  ชีวิตของตนเองล้มเหลว  และเกิดความเจ็บช้ำขมขื่นในชีวิต   เมื่อเกิดเหตุการณ์จริงเช่นนั้นในชีวิตของเปโตร   เมื่อเขาปฏิเสธการรู้จักและเป็นพวกเดียวกับพระเยซูคริสต์   มัทธิว 26:75  บันทึกไว้ว่า  “เขาจึงออกไปข้างนอกและร้องไห้อย่างขมขื่น” (อมธ.)

พระเยซูคริสต์มิเพียงแต่บอกเปโตรถึงสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าตนจะทำจะเป็นเช่นนั้นในชีวิตของเขาเท่านั้น   แต่พระองค์บอกถึงมิติใหม่ในความเข้าใจว่า   พระองค์จะใช้ความพลั้งพลาดครั้งนี้ให้เป็นบทเรียนชีวิต   เพื่อเขาจะออกไปเพื่อช่วยคนอื่นให้กลับมีชีวิตที่ตั้งตัวได้ใหม่   ให้คนอื่น ๆ รู้จักและใกล้ชิดพระคริสต์มากยิ่งขึ้น   พระคริสต์บอกกับเปโตรว่า   ในความล้มเหลวและเจ็บปวดในชีวิต  พระองค์จะอธิษฐานเผื่อเปโตร   เพื่อให้เปโตรกลับมีความเชื่อที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น   เพื่อช่วยคนอื่น ๆ ให้เข้มแข็งและมั่นคงในความเชื่อด้วย  “แต่ซีโมนเอ๋ย เราได้อธิษฐานเผื่อท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ล้มเหลว และเมื่อท่านหันกลับมาแล้ว จงช่วยให้พี่น้องของท่านเข้มแข็งขึ้น”  (ลูกา 22:32 อมธ.)

นี่คือพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำในชีวิตของเปโตร   ที่ใช้การ “ล้มลง ผิดพลาด และเจ็บปวด” ในชีวิตของเขา  ให้เป็นบทเรียนชีวิตของเปโตร   เพื่อเปโตรจะได้ใช้การเสริมสร้างจากพระคริสต์ครั้งนี้ในการทำพันธกิจที่จะหนุนเสริมคนอื่น ๆ ให้เข้มแข็งขึ้นในความเชื่อ   เมื่อชีวิตต้อง “ล้มเหลว”  “พลาดพลั้ง” “เจ็บช้ำ”   เป็นโอกาสที่เขารับการสร้างใหม่จากพระเจ้า  ให้ลุกขึ้นใหม่  และใช้บทเรียนชีวิตนี้ในการช่วยคนอื่น ๆ

นี่คือการที่พระคริสต์เตรียมและเสริมสร้างเปโตรผ่านชีวิตที่ล้มเหลว และ เจ็บปวด
นี่คือการทรงสร้างชีวิตเปโตรขึ้นใหม่ ด้วยการ “ล้มไปข้างหน้า”
นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าที่ใช้ “ความล้มเหลวเจ็บปวด” ในชีวิต   เพื่อเราจะมีชีวิตที่ทำตามพระประสงค์ของพระองค์

วันนี้  อย่ากลัวที่จะต้องพบกับ “การล้มเหลว ผิดพลาด และเจ็บปวด” ในชีวิต   เพราะพระคริสต์จะอธิษฐานเผื่อเรา  เมื่อชีวิตของเราต้องเผชิญกับความล้มเหลว   แต่เราจะพบคุณค่าและความหมายในชีวิตมากกว่านั้นคือ  ความล้มเหลวทำให้ชีวิตเรา “ก้าวหน้า เข้มแข็ง” พระองค์ช่วยให้เรา “ล้มไปข้างหน้า” สู่การร่วมสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์เจ้า

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

19 กันยายน 2561

องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นใครในชีวิตของท่านวันนี้?

วันนี้...พระคริสต์เป็นใครในชีวิตของท่าน?
พระองค์เป็นผู้วิเศษ   ที่เมื่อใดท่านต้องการอะไรก็จะขอให้ผู้วิเศษท่านนั้นออกมาช่วยท่าน?
พระองค์คือเครื่องมือเด็ด   ที่ท่านสามารถงัดมาใช้ในยามของวิกฤติ?
พระองค์คือคำตอบสารพัดสำหรับความอยากได้ใคร่มีของท่าน?
หรือ พระองค์เป็น “เชิงอรรถ” หรือ “ฟุตโน้ต”  ที่ท่านใช้อ้างอิงเพื่อความน่าเชื่อถือ ของท่าน?
หรือ พระคริสต์คือเครื่องประดับชีวิตที่ทำให้ท่านดูดีในสายตาของคนที่พบเห็น?
จริง ๆ แล้วพระคริสต์เป็นใครในชีวิตของท่าน?

เมื่อประชากรอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระเจ้าทรงดำเนินเคียงข้างเขาในการเดินทาง  เรื่องนี้ทำให้เราหวนคิดถึงว่าผู้เลี้ยงแกะได้นำฝูงแกะของเขาอย่างไร   พระเจ้าเดินนำหน้าประชาอิสราเอล  และพวกเขาเดินตามพระองค์ไป   เฉกเช่นฝูงแกะเดินตามผู้เลี้ยง

องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จล่วงหน้าพวกเขาไปในเสาเมฆ
เพื่อนำทางพวกเขาในเวลากลางวัน
และในเสาเพลิงเพื่อให้แสงสว่างแก่พวกเขาในเวลากลางคืน
เพื่อพวกเขาจะเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน  (อพยพ 13:21 อมธ.)

เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์   พระองค์จะไม่ให้ประชากรของพระองค์ต้องเดินนำไปข้างหน้าของพระองค์  เพื่อเป็นโล่เสี่ยงภัยแทนพระองค์ ดั่งเช่น ผู้นำหลายคนในปัจจุบันมักเอาเปรียบผู้ตาม หรือ ทีมงานของตน

เสาเมฆมิได้เพียงนำประชากรอิสราเอล   แต่เสาเมฆได้ใช้ตนเองเป็นเครื่องกำบังความร้อนด้วยการทำพระองค์เองให้เกิดร่มเงาที่จะปกป้องพวกเขาจากการต้องรับความร้อนแรงโดยตรงจากแสงอาทิตย์กลางทะเลทรายในเวลากลางวัน   และในเวลาค่ำคืนกลางทะเลทรายที่ต้องเผชิญกับอากาศที่เย็นยะเยือก  พระองค์ได้เป็นเสาเพลิงที่นอกจากจะเป็นแสงสว่างในเวลาค่ำคืนแล้ว   แต่ยังเป็นความอบอุ่นในภาวะที่หนาวเหน็บอีกด้วย (ในช่วงเวลากลางวันในทะเลทรายอุณหภูมิอาจพุ่งสูงขึ้นถึง 50 องศาเซนติเกรด  และในเวลาค่ำคืนอุณหภูมิอาจลดต่ำลงต่ำกว่า 0 องค์ศาเซนติเกรด)

ท่านที่รัก 

วันนี้พระเจ้าทรงเป็นเสาเมฆในชีวิตของท่านหรือไม่?  
ในวันนี้พระองค์เป็นเสาเพลิงในการดำเนินชีวิตหรือไม่?  
วันนี้พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะในชีวิตของท่านหรือเปล่า?  

พระองค์ประสงค์ให้ท่านติดตามพระองค์   ตราบใดที่ท่านยอมให้พระองค์นำในชีวิตของท่าน   พระองค์จะเอาใจใส่และดูแลสิ่งจำเป็นในชีวิตของท่าน  พระองค์เป็นทั้งผู้เตรียม  ผู้ประทาน  เป็นที่ปรึกษา  เป็นแพทย์ที่เยียวยา  เป็นปัญญาของท่าน  เป็นความชอบธรรม  เป็นผู้ชำระความบาปผิดของท่าน  เป็นผู้ให้โอกาสใหม่ในชีวิตแก่ท่าน..   พระองค์เป็นทุกสิ่งที่ท่านจำเป็นที่จะต้องมี จะต้องเป็นในชีวิตประจำวันของท่าน

พระเยซูตรัสว่า
“...เมื่อผู้เลี้ยงนำแกะทั้งหมดของเขาออกมาแล้วเขาก็เดินนำหน้า
และแกะของเขาตามเขาไปเพราะรู้จักเสียงของเขา(ผู้เลี้ยง)...”
(ยอห์น 10:4 อมธ.)
“เราเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี คนเลี้ยงที่ดีนั้นยอมพลีชีวิตเพื่อฝูงแกะ...”
(ยอห์น 10:11 อมธ.)

แล้วพระคริสต์เป็นใคร หรือ เป็นอะไรในชีวิตของท่านในวันนี้?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

17 กันยายน 2561

ทำไมฉันถึงแพ้? ทำไมฉันถึงไม่สำเร็จ?

เพื่อนผมคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า...
เมื่อตอนเป็นเด็ก
เขาเป็นคนที่ชอบถีบจักรยาน(สำหรับเด็ก)เป็นชีวิตจิตใจ              
มากกว่านั้นเขาชอบถีบจักรยานแข่งกับคนอื่นและเพื่อน ๆ
เขามักไปท้าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา   ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน
ให้มาถีบจักรยานแข่งกัน   และส่วนมากแล้วเขาเป็นผู้ชนะ

เขาเล่าต่อไปว่า...
ครั้งหนึ่งเมื่อเขาถีบจักรยานคู่ไปกับแม่   เขาท้าแม่แข่งถีบจักรยาน
แม่รับคำท้า   เขาทั้งสองแข่งขันถีบรถจักรยาน
ผลปรากฏว่า...   แม่เป็นฝ่ายชนะ
เขาถามแม่ว่า...
ทำไมทั้ง ๆ ที่เขาถีบจักรยานสุดกำลัง   ถึงจะออกแรงมากและเร็วแค่ไหนก็เอาชนะแม่ไม่ได้?

แม่ยิ้มกับเขา  และบอกเขาว่า...
“เพราะล้อจักรยานของแม่วงใหญ่กว่าของลูกไง”

และนี่คือเหตุผลธรรมดา ๆ
แต่พระเจ้าก็เคยเตือนผมในทำนองนี้เมื่อวันที่ผมกำลังสิ้นหวังหมดกำลังใจ

พระเจ้าเคยบอกกับท่านในทำนองเดียวกันนี้หรือเปล่าครับ?
“ลูกเอ๋ย   ลูกสามารถทำหลาย ๆ อย่างได้   ลูกมุ่งมั่นพยายามได้   ลูกพยายามอย่างสุดกำลังได้   และพยายามอย่างดีที่สุด   มีหลายอย่างที่เหมาะสมสำหรับความสามารถของลูก   แต่ลูกต้องไม่ลืมว่า   เมื่อพยายามเต็มที่แล้วมันยังไม่สำเร็จ   อย่าท้อแท้และท้อถอย   แต่ให้มาหาพ่อ   พ่อจะช่วยลูกให้ทำสำเร็จได้   เพราะมือและแขนของพ่อใหญ่และแข็งแรงกว่าของลูกนะ”  
“มือของพ่อจะค้ำและชูลูกไว้   แขนของพ่อจะเสริมกำลังลูก”

“มือของเราจะค้ำชูเขา
แน่ทีเดียว แขนของเราจะช่วยให้เขาเข้มแข็งขึ้น” 
(สดุดี 89:21 อมธ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

14 กันยายน 2561

เสียงรอบข้างทำให้หลงทางชีวิต!

มีคนมาบอกนายธรรมศาลาว่า ลูกสาวของเขาเสียชีวิตแล้ว
เป็นเด็กหญิงคนเดียวกันที่พระเยซูกำลังเดินทางไปรักษาเธอ (มาระโก 5:35

พระ​องค์​ตรัส​กับ​นาย​ธรรม​ศาลา​ว่า “อย่า​กลัว​เลย จง​เชื่อ​เท่า​นั้น” (มาระโก 5:36 อมธ.)

ในชีวิตของท่าน...ชีวิตด้านใดบ้างที่บอกว่า “ได้ตายแล้ว”?
ผมมีข่าวดีจะบอกว่า  พระเยซูคริสต์กำลังเดินทางไปรักษาท่าน!

ครั้งแล้วครั้งเล่า  ที่ท่านรู้สึกว่า ตอนนี้ท่านอยู่โดดเดี่ยวตัวคนเดียว
ท่านต้องเชื่อมั่นในตนเอง   เชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านกำลังทำ
ท่านต้องพยายามที่จะทำงานนั้นด้วยตัวท่านเองให้สำเร็จ

“อย่าล้อเล่นนะ...  ฉันทำไม่ได้...”
“ฉันไม่สามารถทำให้ก้าวหน้า ทำให้สำเร็จ”
“ฉันเป็นใคร...?   ฉันเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญอะไร”
เสียงดังกล่าวดังก้องในความคิดจิตใจทั้งวันทั้งคืน
เสียงนี้ฉุดรั้งให้เราต้องหยุด  และทำให้เชื่อว่าจุดหมายที่เรากำลังมุ่งไปนั้นมันเป็น “ทางตัน”

แต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้อ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ “อย่ากลัว​เลย จง​เชื่อ​เท่า​นั้น”
ทำให้ฉันเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาได้ว่า  ที่เป็นเช่นนี้เพราะฉันมีแต่ความกลัว
ฉันกลัวจะถูกปฏิเสธ
ฉันกลัวที่จะล้มเหลว
ฉันกลัวที่จะทำผิด
ตอนนั้น...   ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครที่เดินเคียงข้างฉัน

ท่านรู้ไหม? ... นี่มิใช่การวิ่งแข่ง 100 เมตรนะ
แต่เป็นการวิ่งแข่งมาราธอน
ทุกก้าวแห่งความเชื่อมีค่าอย่างมาก  แม้จะเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่สัตย์ซื่อในความเชื่อ
ไม่เป็นไรที่จะต้องหยุดพักบ้าง   ไม่เป็นไรแม้จะต้องใช้เวลา
ที่ผ่านมา ท่านอาจจะเชื่อมั่นในตนเอง   แม้เวลานั้นจะขาดความเชื่อ
แต่พระเจ้าก็ยังสัตย์ซื่อต่อท่าน
ถ้าพระเจ้าทรงอยู่เคียงท่านแล้ว   ใครเล่าจะต่อต้านท่านได้?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

12 กันยายน 2561

มีชีวิตที่ถูกใจใครดี?

จุดประสงค์ของเราเพื่อให้เป็นที่พอใจ(พระประสงค์)ของพระเจ้า
มิใช่เอาใจมนุษย์  พระเจ้าเพียงผู้เดียวที่สามารถตรวจสอบถึงเจตนาในจิตใจของเรา
(1เธสะโลนิกา 2:4 สมช.)

พระเจ้ามิได้สร้างท่านเพื่อมีชีวิตที่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งพอใจ   พระเจ้ามิได้สร้างท่านให้มีชีวิตที่พ่อแม่พอใจ  เพื่อนหญิงหรือชายของท่านพอใจ  หรือตามที่คู่ชีวิตที่ต้องการให้ท่านเป็น  และพระเจ้าก็ไม่ได้สร้างท่านให้มีชีวิตที่ทำให้เจ้านายพอใจ  และก็ไม่ได้สร้างท่านเพื่อให้ท่านมีชีวิตที่ทำให้เพื่อนพอใจ

พระเจ้าทรงสร้างท่านให้เป็น “ตัวท่าน”   และถ้าท่านจะมีชีวิตที่จะให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า   ท่านจะต้องไม่ให้คนอื่นเข้ามาเป็นผู้กำหนดเป้าหมายชีวิต  เส้นทางการดำเนินชีวิตของท่าน  ท่านจะต้องกล้าปฏิเสธที่จะดำเนินชีวิตตามกระแสสังคมและความต้องการของคนรอบข้าง  แล้วดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าทรงสร้าง   และเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าตามที่พระองค์สร้างท่านมา มากขึ้นทุกวัน

ฮีบรู 11:24 เขียนไว้ว่า  “โดยความเชื่อเมื่อโมเสสเติบโตขึ้นก็ปฏิเสธฐานะบุตรของธิดาฟาโรห์” (อมธ.)

เมื่อโมเสสโตขึ้นเป็นวัยรุ่น  เขาต้องเผชิญกับวิกฤติอัตลักษณ์ของตนเอง  โมเสสเกิดในครอบครัวทาสในอียิปต์   แต่ได้รับการเลี้ยงดูจากบุตรสาวของฟาโรห์  เขาจึงมีฐานะเป็นหลานชายของฟาโรห์  แต่เกิดวิกฤติว่า เขาจะต้องเลือกอัตลักษณ์ของตน  จะเป็นหลานชายของฟาโรห์ดีหรือเป็นลูกทาสยิวในอียิปต์   โมเสสตัดสินใจเลือกเป็นลูกชายแรงงานทาสยิวในอียิปต์   และปฏิเสธฐานะความเป็นหลานชายของฟาโรห์  

“เขา(โมเสส)เลือกที่จะถูกข่มเหงร่วมกับเหล่าประชากรของพระเจ้าแทนการเริงสำราญเพียงชั่วคราวในบาป” (ข้อ 25 อมธ.)

แต่ถ้าโมเสสตัดสินใจเลือกอัตลักษณ์ตามที่พระเจ้าให้เขามีชีวิต คือเป็นลูกของทาสยิวในอียิปต์   แน่นอนว่าทางสำนักพระราชวังอียิปต์จะต้องเฉดหัวเขาออกจากวังให้ลงไปเป็นทาส   เขาจะต้องมีชีวิตที่ทุกข์ลำบาก   และแน่นอนว่าทางพระราชวังจะไม่ปล่อยให้โมเสสได้ลอยนวลลงไปปลุกปั่นแรงงานทาสยิวแน่   เพราะโมเสสได้ร่ำเรียนสรรพวิชาและการยุทธอย่างที่เจ้าชายในวังจะได้ร่ำเรียนกัน   ถ้าปล่อยไปก็จะเป็นภัยเป็นเสี้ยนหนามต่อความมั่นคงของแผ่นดินอียิปต์และราชบัลลังก์แน่  

สิ่งที่ทางวังจะต้องทำคือ กำจัดโมเสสที่เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินให้สิ้นซากเสีย

ถ้าท่านเป็นโมเสส ท่านจะตัดสินใจเลือกชีวิตแบบไหน?

เราพบว่าโมเสสเลือกที่จะมีชีวิตอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างเขา   

แต่ในปัจจุบันนี้ คนจำนวนมากมาย “หลอกลวงตนเอง”   พวกเขาเลือกที่จะมีชีวิตที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของตน   แต่ถ้าโมเสสปฏิเสธที่จะมีชีวิตตามอัตลักษณ์ตัวตนที่แท้จริงตามที่พระเจ้าสร้างและประทานแก่เขา แต่เลือกที่จะเป็นหลานชายฟาโรห์ต่อไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? 

แต่เพราะโมเสสสัตย์ซื่อที่จะยืนหยัดดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าทรงสร้าง   แทนที่จะเลือกทำตามกระแสค่านิยมในสังคม หรือ ตามที่คนรอบข้างกดดันเขา

ในฐานะคริสตชน  ใครคือผู้กำหนดอัตลักษณ์และตัวตนที่แท้จริงของท่าน?

เพื่อนของท่านหรือ?   คนในครอบครัวของท่านหรือ?

มีบางคนใช่ไหม...   ที่พ่อแม่ของเขาตายไปหลายปีแล้ว   แต่เขายังพยายามที่จะมีชีวิตตามที่พ่อแม่เคยวาดฝันสำหรับชีวิตของเขาไว้?  และส่วนมากมีชีวิตที่ไล่ล่าอัตลักษณ์ตามที่กระแสสังคมมีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของเรา  

ท่านกำลังดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์ที่กระแสสังคมบอกให้ท่านว่าท่านจะต้องเป็นคนเช่นนั้นหรือไม่?

พระคัมภีร์บอกชัดแก่เราว่า  “จุดประสงค์ของเราเพื่อให้เป็นที่พอใจ(พระประสงค์)ของพระเจ้า  มิใช่เอาใจมนุษย์...” (1เธสะโลนิกา 2:4 สมช.)

ปณิธานแรกที่เราจะต้องยืนหยัดคือ   “ฉันตัดสินใจว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นมากดฉันลงในกรอบคิดที่เขาต้องการ   ฉันต้องการที่จะมีชีวิตตามที่พระเจ้าสร้างและตามที่พระเจ้าต้องการ   ฉันจะเป็นคนอย่างที่พระเจ้าต้องการให้ฉันเป็น   ฉันจะทำในสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้ฉันทำ และฉันจะทำตามแผนการชีวิตที่พระเจ้าทรงมีในชีวิตฉันให้สำเร็จเป็นรูปธรรม”

ท่านครับ... และนี่คือ “ความสำเร็จในชีวิต” ที่แท้จริง คือการที่เราดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าสร้างให้เราเป็น และตามแผนการของพระเจ้าที่มีในชีวิตของเราแต่ละคน   อย่าปล่อยให้ชีวิตตนต้องหลงทางนะครับ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

10 กันยายน 2561

เมื่อมองย้อนชีวิตที่ผ่านมา...

ท่านยังจำวันที่ท่านเข้ามารับเชื่อพระคริสต์หรือไม่?
ทำไมท่านถึงมารับเชื่อพระคริสต์?
ที่ผมเรียนรู้จากหลาย ๆ ท่าน  ส่วนใหญ่มิใช่เพราะต้องการที่จะมีชีวิตที่ดี บริสุทธิ์ ชอบธรรม
แต่หลาย ๆ คนเข้ามาเพื่อแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการในเวลานั้น
บ้างแสวงหาคู่ชีวิต   บ้างแสวงหาความมั่งมีมั่นคงทางการเงิน การเรียน  บ้างต้องการเพื่อน และ ฯลฯ
ส่วนที่ผมมารับเชื่อในพระคริสต์ก็มิใช่เพราะได้ยินการทรงเรียกที่ชัดเจนจากพระเจ้า
แต่เพราะครอบครัวของผมเป็นคริสเตียนมาสองชั่วอายุคนแล้ว
การที่ใครจะมีเหตุผลอะไรที่มารับเชื่อพระคริสต์มิใช่สิ่งที่ใช้วัดหรือตัดสินกันว่า
“คน ๆ นั้นเป็นคริสเตียนจริงหรือไม่!”

ทำไมถึงว่าเช่นนั้น?
ไม่ว่า จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที่ผมมารับเชื่อพระเยซูคริสต์  
ผมพบว่าชีวิตของผมไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ผมเห็นได้ว่า  ชีวิตค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละก้าวชีวิตในทางที่ดีขึ้น 
แน่นอนครับ  ระหว่างทางที่ก้าวมา  มีทั้งวันที่ชีวิตเปียกปอน เฉอะแฉะ ย่ำแย่
และก็มีวันที่ชีวิตชื่นชมยินดี

แต่ในวันที่ชีวิตต้องเปียกปอน ย่ำแย่
ผมกลับพบชัดเจนว่า  มีผู้หนึ่งที่เดินเคียงข้างชีวิต
เป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมบากบั่น จูงมือกันและกันผ่าฟันทะลุอุปสรรคปัญหา
ผมได้เรียนรู้คุณค่า ความหมาย ความรักเมตตา และ การเสียสละ
ด้วยการเอาใจใส่ของเพื่อนเคียงข้างชีวิตผู้นี้

จากชีวิตที่อ่อนแอ  อ่อนหัด  อ่อนประสบการณ์
ผมได้เรียนรู้จากตัวอย่างของเพื่อนผู้นี้ที่เคียงข้างชีวิตของผม
ผมได้เรียนรู้จากการสนทนาพูดคุย ถกถามกับเพื่อนร่วมทางผู้นี้
เมื่อมองย้อนหลังทบทวนชีวิตที่ผ่านมา
ผมสังเกตเห็นว่า  ชีวิตนี้ได้รับพระคุณล้ำค่า  ที่เป็น “พระคุณของพระคริสต์”
ที่เปลี่ยนและสร้างชีวิตของผมจนเป็นอย่างทุกวันนี้

“เพื่อในยุคต่อ ๆ ไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ
ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์” (เอเฟซัส 2:7 อมธ.)


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

07 กันยายน 2561

มาทางไหนกลับไปทางนั้น

อ่าน 1 พงศ์กษตริย์ 19:1-15

ตลกมาก!!!    คนที่วิ่งหนีจากเยเซเบล  คือคนที่เรียกไฟลงมาจากฟ้า
คือคนที่ชนะในการประลองท้าทายกัน   คือคนที่เรียกไฟลงมาจากสวรรค์
น่าเชื่อได้ว่า...  เอลียาห์ต้องการให้กองทัพทูตของพระเจ้าลงมาช่วยเขา
...ให้เขาเอาชนะเยเซเบล
แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคาดคิด  สถานการณ์พลิกผัน
ถึงแม้เอลียาห์จะเป็นฝ่ายชนะในการประลองยุทธระหว่างเขากับเยเซเบล
แต่...เอลียาห์กลับเป็นฝ่ายถูกเยเซเบลไล่ล่าต่อ
เอลียาห์จึงรู้สึกว่า “พอกันที”   ไม่เอาละ   เลิกสู้ดีกว่า
ในชีวิตประจำวันท่านเคยรู้สึกเช่นนี้ไหม?

ขอให้พระวจนะได้ตรัสกับท่านในเวลานี้ และ ในเวลาต่อ ๆ ไป

สิ่งเลวร้ายเกิดกับท่านครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิต
มิใช่เพราะท่านไม่สำนึกในพระคุณของพระเจ้า
มิใช่เพราะท่านกบฎ  หรือ กระด้างกระเดื่องต่อพระองค์
มิใช่เพราะท่านกำลังวิ่งหนีจากบางสิ่งบางอย่าง
มิใช่เพราะ  เหตุผลในการหลบหนีของท่าน

แต่สาเหตุคือ  ท่านรู้สึกว่า “พอกันที”  “ข้าพระองค์ทนมามากพอแล้ว” (ข้อ 4 อมธ.)
แต่เพราะท่านรู้สึกว่าท่านมิได้เป็นคนที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็น(อย่างที่ตนคิด)

แต่ให้เรามีความเชื่อมั่นคงในพระเจ้า   พระองค์มีแผนการสำหรับชีวิตของท่าน
ดังนั้น  “จงกลับไปตามเส้นทางที่เจ้ามา” (อมธ. ข้อ 15)
แล้วพระองค์จะทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของท่าน!

เมื่ออ่านเรื่องของเอลียาห์ในตอนนี้
ทำให้ผมคิดถึงเรื่องของโยนาห์ที่หนีจากเส้นทางทรงเรียกของพระเจ้า
เขาซ่อนตัวแล้วหลับในเรือที่ไปคนละทิศกับที่พระเจ้าทรงเรียกให้ไป
ทะเลปั่นป่วน  คนในเรือตกใจ ผวาสุดขีดว่าจะเอาชีวิตไม่รอด
แต่...เมื่อโยนาห์ยอมจำนน  แล้วให้คนในเรือโยนตัวเขาลงในทะเล 
พระเจ้าเตรียมปลาใหญ่มางับเอาโยนาห์  “กลับไปทางเดิมที่เขาหนีมา”
พระเจ้าจึงใช้ชีวิตของโนอาห์ให้เกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์

วันนี้ให้เรา “หันกลับ” ไปบนเส้นทางที่เราหนีมา
เพื่อกลับไปที่ที่พระเจ้าใช้เราทำงานร่วมกับพระองค์
วันนี้คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เกิดผลตามพระประสงค์
วันนี้คือจุดเริ่มต้นที่พระเจ้าทำงานในชีวิต และ ผ่านชีวิตของเรา
วันนี้จึงเป็นวันที่พระเจ้าสร้างท่านขึ้นให้เป็นคนที่พระองค์ต้องการ
... ไม่ใช่เป็นคนที่ท่านอยากจะเป็น!

เราหนีพระเจ้ามาทางไหน...   ให้เราหันกลับไปทางนั้น!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

05 กันยายน 2561

ข้าพระองค์เป็นใคร?... ข้าพระองค์ทำไม่ได้!

...โมเสสทูลพระเจ้าว่า
“ข้าพระองค์เป็นใครเล่าที่จะไปเฝ้าฟาโรห์ และ
(ข้าพระองค์เป็นใครที่จะไป)นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์?” (อพยพ 3:11 อมธ.)

ที่ผ่านมา  ผมอิจฉาหลายคนที่ผมรู้จัก  พวกเขามีความเชื่อมั่นในตนเอง
ไม่ว่าในการพูดจาของเขา   ท่าทีท่าทางที่แสดงออก  ความภูมิฐาน  ชาติกำเนิด และ ฯลฯ
ส่วนตัว   ผมมาจากครอบครัวปุถุชนคนธรรมดา  ครอบครัวแบบชาวบ้าน+ค้าขาย
ถึงแม้จะไม่เคยอดมื้อกินมื้อ  หรือ ร่างกายต้องเปลือยเปล่า
ผมมีโอกาสได้ไปโรงเรียน  พ่อแม่รักและให้ความใส่ใจผมก็ตาม

ถึงกระนั้น   ผมก็ยังเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ผมไม่มีความมั่นใจในการพูดคุย   แม้แต่การอ่าน หรือ การนำเสนอหน้าชั้นเรียน
ผมไม่มีทักษะ ความสามารถ หรือ ความชำนาญในการเล่นกีฬาใด ๆ 
แม้แต่การวิ่งแข่งก็แพ้ (หรือเป็นคนสุดท้าย) ทุกครั้งไป
ผมเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง 
และมักจะเกิดความรู้สึกสงสารตนเองในสิ่งที่ผมควรจะได้รับ

เมื่อคนรอบข้างของผมก้าวเข้าไปสู่ความสำเร็จในเรื่องต่าง ๆ
ผมกลับพูดกับตนเองว่า
“ใช่...พวกเขาทำได้   ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำได้อย่างเขา”
“คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่า...คุณไม่เก่งในเรื่องอะไรเลย”

ในประสบการณ์ของโมเสส
เขาอาจจะถูกกดดันจากคนรอบข้างในวัง
ผู้คนอาจจะซุบซิบกันว่า  “มันก็แค่ลูกแรงงานทาสที่เขานำขึ้นมาจากแม่น้ำ”
แม้เขาจะมีโอกาสร่ำเรียน ฝึกฝนเรื่องการปกครอง และ การต่อสู้ เมื่ออยู่ในวัง
แต่เมื่อเขาพยายามช่วยแรงงานทาสชนชาติของตน  ลงเอยด้วยการฆ่าฝ่ายตรงกันข้าม
ถูกกล่าวหาว่ากบฏต่อราชบัลลังก์
ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเอาชีวิตรอด   มาพึ่งพิงคนอื่นที่มีเดียน

เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเขาในทะเลทราย   เขาจึงถามพระเจ้าว่า
ข้าพระองค์เป็นใคร   ที่จะไปอยู่ต่อหน้าฟาโรห์
ข้าพระองค์เป็นใคร   ที่จะนำประชากรอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์
ข้าพระองค์พูดไม่เก่ง   ข้าพระองค์ล้มเหลวมาตลอดชีวิต
ข้าพระองค์ทำไม่ได้   ขอพระองค์ไปหาคนอื่นเถิด

ใช่...ด้วยตัวเราคนเดียว  เราทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
แต่ถ้างานใดที่พระเจ้าทรงเรียก ทรงมอบหมายให้เรากระทำ 
พระองค์จะทรงกระทำร่วมกับเรา  จะไม่ปล่อยให้เราทำอยู่คนเดียว
พระเจ้าบอกกับโมเสสว่า  “เราจะอยู่กับเจ้า...” (อพยพ 3:12 อมธ.)

แต่เมื่อผมให้พระคริสต์เป็นเอก เป็นใหญ่ เป็นเจ้าของชีวิตผม
ผมได้ตระหนักรู้ความจริงว่า  ชีวิตที่เคลื่อนไปสู่เส้นชัยมิใช่อยู่ที่ตัวผมคนเดียว
ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่า  ผมเป็นคนดีแค่ไหน   ผมเป็นคนเก่งมีความสามารถเท่าใด
แต่พระเจ้าต่างหากที่ทำสิ่งที่ดีในชีวิตผม  เพื่อเสริมสร้างผมให้สามารถเป็นคนดีคนเก่ง

ท่านผู้อ่านครับ  
ผมขออนุญาตให้กำลังท่านว่า...   คนที่เคยรู้สีกกับตนเอง “ติดลบ” อย่างโมเสส
ว่าตนเองเป็นคนที่ไร้คุณค่า   ชีวิตไม่มีความหมาย  หรือ 
พ่ายแพ้อีกแล้ว  ตกเป็นเหยื่ออีกแล้ว
แต่ถ้าพระเจ้ามีพระประสงค์จะใช้ชีวิตของท่านเป็น “ภาชนะ” ของพระองค์
พระองค์จะทุ่มเทลงแรงของพระองค์ 
สร้างท่านให้เป็น “ภาชนะ” หรือ “เครื่องมือ” ที่พระองค์สามารถใช้อย่างเกิดผล
พระองค์จะใช้ท่าน และ ให้ท่านทำงานร่วมกับพระองค์เพื่อเป็นพระพรของโลกนี้

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

03 กันยายน 2561

จงสงบ นิ่ง...แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า

อ่านอพยพ 14:1-18

15แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า
“เจ้ามัวร้องขอเราอยู่ทำไม?
จงสั่งให้ชนอิสราเอลเคลื่อนไปข้างหน้าเถิด” (อพยพ 14:15 อมธ.)

“...องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสู้รบแทนพวกท่านเอง ท่านเพียงแต่นิ่งไว้เถิด” (อพยพ 14:14 อมธ.)

ผมไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไร
แต่ผมเอง  มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า   ประชาชนอิสราเอลที่ติดตามโมเสส จะร้องอื้ออึงขึ้นว่า...
“ท่านผู้นำ...คำแนะนำของท่านจะเป็นประโยชน์แน่... ถ้าพวกเราสามารถที่จะสงบ และใจเย็นอย่างที่ท่านบอก”
“แต่ท่านโมเสส...  ท่านไม่เห็นหรืออ้ายพวกทหารอียิปต์มันไล่ตามก้นเรามาติด ๆ?”  
“ท่านไม่เห็นหรือว่าพวกเรากำลังเป็นหมาจนตรอกหาทางออกไม่ได้?...
 แล้วยังจะให้สงบ และ นิ่ง อยู่หรือ?”

พวกเราหลายคนจะหวาดกลัวเสียขวัญในสถานการณ์วิกฤติเช่นนั้น
แต่นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา  ไม่ผิดปกติอะไร   ความจริงก็คือว่าเราท่านต่างเป็นปุถุชนคนธรรมดา
ชีวิตของเราตกอยู่ภาวะที่วิกฤติ และเสี่ยงกับอันตราย และ ความตาย
แล้วจะไม่ให้หวาดผวาตกใจกลัวได้อย่างไร 
ในเมื่อเรากำลังเข้าสู่ภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน  แล้วผู้นำเพียงบอกเราว่า “ใจเย็น ๆ สงบไว้”
ดูเหมือนว่า... มันไม่ช่วยอะไรเลย!?

แต่ท่านผู้อ่านครับ   วันนี้ผมอยากให้กำลังใจ
พระเจ้าจะไม่ยอมให้ท่านต้องตกอับอยู่ในสถานการณ์ “ทางตัน”
ในข้อที่ 15 พระองค์บอกกับโมเสสว่า...
“เจ้ามัวร้องขอเราอยู่ทำไม?
จงสั่งให้ชนอิสราเอลเคลื่อนไปข้างหน้าเถิด”

บ่อยครั้งนัก ในความเป็นมนุษย์ปุถุชนของเรา   เรายึดมั่นถือมั่นในพลังความสามารถของตนเอง
เชื่อและยึดมั่นในความรู้ที่เรามี   ไว้วางใจในแผนงานที่เราคิดเอง  
แล้วเราก็ตั้งความคาดหวังว่าเรื่องควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แต่เมื่อไม่เป็นอย่างคาดคิด  เราก็เกิดความตึงเครียดและวิตกกังวล

แต่หากสิ่งที่เราคาดคิดมิใช่วิถีชีวิตที่พระเจ้าประสงค์ให้เรามีชีวิตเช่นนั้นล่ะ?
เราไม่ได้รู้เสียทุกครั้งหรือเสมอไปว่า เราจะรับมือกับสถานการณ์จุดอับในชีวิตอย่างไร
และที่สำคัญกว่านั้น   เราต้องไม่ลืม แต่ต้องตระหนักชัดว่า  ใครที่อยู่เคียงข้างในชีวิตประจำวันกับเรา!
แต่เมื่อเรายอมรับความจริงว่า ชีวิตเราปราศจากพลังอำนาจสูงสุดในตนเอง 
แล้วสงบใจรับสถานการณ์ที่เข้ามาหาเรา
พระเจ้าก็ยังเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมด้วยพลัง สิทธิอำนาจ
พระองค์จะนำเราไปยังอีกฝั่งหนึ่งของทะเลที่บ้าคลั่งปั่นป่วน
แล้วใช้ทะเลที่บ้าคลั่งนั้นขวางกั้นเรากับศัตรูที่ไล่ล่าชีวิตเรา
เพียงแต่ให้เราทุกคน “สงบ นิ่ง แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า”

พระเจ้าบอกกับโมเสสว่า
จะมัวแต่ทูลขอต่อพระเจ้าทำไม   ให้เคลื่อนฝูงชนไปข้างหน้า
พระเจ้าพร้อมจะกระทำพระราชกิจในส่วนที่พระองค์จะรับผิดชอบ
แต่เรามิใช่อยู่เฉย ๆ  หรือเอาแต่ร้องตะเบ็งทูลขอ   จนลืมที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า

แผนการของพระเจ้าสำหรับเราในวันนี้คือ
ให้เราแสดงออกถึงความเชื่อมั่นคงและไว้วางใจในพระเจ้า  ด้วย “จิตใจสงบนิ่ง”
ให้เราทำตามพระบัญชาพระเจ้าด้วยการ “เคลื่อนไปข้างหน้า” ตามทิศทางที่พระเจ้าทรงชี้นำ
ให้เราก้าวเข้าไปในปัญหาอุปสรรคที่ขวางหน้าเรา
ในเวลานั้นเองที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเรา

เมื่อเท้าของประชากรพระเจ้าก้าวลงไปแตะน้ำในทะเล 
พระเจ้าทำให้น้ำทะเลแหวกออกเป็นทางเดินสำหรับพวกเขา
พวกเขาเดินข้ามทะเลที่ปั่นป่วนด้วยความปลอดภัย
แล้วทะเลที่เคยเป็นอุปสรรคบ้าคลั่งสำหรับฝูงชนอิสราเอล 
พระเจ้าใช้เป็นสิ่งกีดขวางและทำลายศัตรูที่จะมาเอาชีวิตของพวกเขา
และนี่คือพระราชกิจที่ทำในชีวิตประจำวันของเรา   เป็นมหกิจที่มหัศจรรย์

ในวันนี้   เราจะได้เห็นมหกิจที่มหัศจรรย์ที่พระเจ้ากระทำ 
เมื่อเราตัดสินใจ “สงบ นิ่ง แล้วก้าวเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า” 
เข้าร่วมในพระมหกิจที่มหัศจรรย์ดังกล่าว

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499