29 มีนาคม 2554

สองผู้ยิ่งใหญ่

แจ็คเป็นเพื่อนของจอห์น จอห์นเติบโตในครอบครัวที่มีชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า แต่แจ็คมิได้รับการบ่มเพาะเอาใจใส่ความเชื่อศรัทธาที่ติดสนิทสนมกับพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่ทั้งสองคิดและเชื่อแตกต่างกันคือ การทรงพระชนม์อยู่ของพระเจ้าแห่งความรักเมตตา

อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักเพื่อน จอห์นจึงอธิษฐานเพื่อแจ็คเพื่อนรักของเขาเสมอ และทั้งสองคนมักจะพูดถึงเรื่องศาสนาและความเชื่อ วันหนึ่งแจ็คได้เข้าถึงความสว่าง และยอมตนเข้ารับเชื่อศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งแจ็คเสียใจอยู่นิดๆ ที่จอห์นไม่ได้เชื่อในศาสนจักรคาทอลิกอย่างตน แต่กลับเชื่อศรัทธาในคริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England) เพื่อนสนิทของแจ็คก็คือ จอห์น โรนัลด์ รูเอล โทลคี (J.R.R. Tokien) เป็นกวี นักประพันธ์ นักภาษาศาสตร์ และศาสตราจารย์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงในฐานะผู้ประพันธ์นิยายแฟนตาซีระดับคลาสสิค เรื่อง “เดอะฮอบบิท”( “The Hobbit”) และ “เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์” (The Lord of the Rings) ส่วนแจ็ค ก็คือ ซี.เอส. ลิวอิส (C.S. Lewis) มีชื่อเต็มว่า ไคลว์ สเตเปิลส์ ลิว-อิส (Clive Staples Lewis) ที่พวกเรารู้จักเขาอย่างดีในฐานะผู้เขียนชุดนาร์เนีย ประกอบด้วย 7 เล่ม นาร์เนียเป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับเด็กที่สามารถผสมผสานคติความเชื่อศรัทธาของคริสต์ศาสนาได้อย่างลงตัวและแยบยล หนังสือชุดนาร์เนียถูกตีพิมพ์มากกว่า 30 ภาษา ขายมากกว่า 100 ล้านเล่ม

เป้าหมายของคริสเตียนมิใช่การเอาชนะคะคานด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเล่ห์เหลี่ยม หรือ วาทศิลป์ แต่เป้าหมายของคริสเตียนคือการที่ตนจะรักเพื่อนบ้านเฉกเช่นรักตนเอง...และนี่คือเสียงการทรงเรียกของพระเจ้าที่ทรงเรียกเราวันนี้ท่ามกลางงานที่เรารับผิดชอบ และ การดำเนินชีวิตประจำวัน

“จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต สุดกำลัง และสุดความคิดของท่าน
และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
(ลูกา 10:27 อมตธรรม)

28 มีนาคม 2554

การรับใช้กับการอธิษฐาน

อะไร ที่ไหน ที่เป็นแหล่งพลังจิตวิญญาณสำหรับคนทำงานของพระเจ้า?
อะไร อย่างไร ที่จะช่วยปกป้องพวกเขาจากการที่ต้อง
“มึนทึมทึบ”
“อึ้ง ไม่พูดไม่จา”
“การแสดงสัมพันธภาพที่เย็นชา หรือทำเป็นธรรมเนียม (แบบขอไปที)”
“คนที่มีโครงการ แผนงานมากมาย”
“คนที่มีนัดหมายเต็มไปหมด”
แต่ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเขาไปทำ “จิตใจ” ของตนตกหล่นไว้ที่ไหนท่ามกลางกิจการงานของเขา?

อะไรที่ช่วยให้คนทำงานของพระเจ้าเป็นคนที่...
“กระปรี้กระเปร่า”
“มีชีวิตชีวา”
“เปี่ยมไปด้วยพลัง”
“เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น”

อะไรที่ช่วยให้คนทำงานของพระเจ้าเป็นคนที่...
“เทศนาและสั่งสอน”
“ให้การปรึกษา”
“มีชีวิตประจำวันด้วยชีวิต...
ที่ตื่นตาตื่นใจ
ที่ชื่นชมยินดี
ที่ซาบซึ้งและขอบคุณ
ที่สรรเสริญ ยกย่องพระเจ้า”

คำถามเหล่านี้ต้องการชวนเชิญให้ค้นหาเจาะลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตของแต่ละคน กับ กิจการงานที่เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้กระทำในชีวิตของแต่ละคน ซึ่งเราเชื่ออีกกว่า การกระทำกิจการงานในแต่ละวันคือการทำงานรับใช้พระประสงค์ของพระเจ้า หรือ เป็นชีวิตที่ทำงานรับใช้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขอเชิญชวนให้เราช่วยกันค้นหาเจาะลึกถึงสัมพันธภาพของกิจการงานในชีวิตที่เราทำในแต่ละวันกับจิตใจและจิตวิญญาณของเรา

การทำงานที่พระเจ้าทรงเรียก หรือ ใช้คำให้หรูหน่อยในภาษาไทยก็คือการทำพันธกิจ (แต่จะมีความหมายลึกซึ้งแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) นั้นเป็นการที่เรารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ในการนำข่าวดีให้ถึงคนที่ตกอยู่ในสภาพที่
“ยากจนจะได้กลับมีคุณค่า ความหมายในชีวิต”
“บอดใบ้จะได้กลับมองเห็นอีกครั้งหนึ่ง และ รู้เท่าทัน”
“ถูกจองจำหมดอิสรภาพในชีวิตจะได้กลับมีความเป็นไทในชีวิต”
“ถูกทำร้ายทำลายจะได้รับการเยียวยารักษา”
“และประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ทรงกระทำการของพระองค์ในชีวิตและชุมชนของมนุษย์”
(เขียนประยุกต์จาก ลูกา 4:18; อิสยาห์ 58:6, 61:1-2)

การทำพันธกิจจึงเป็นการทำงานรับใช้ตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่ามกลางชีวิตของผู้คนที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อคนเหล่านั้นจะกลับมารับการฟื้นคืนชีวิตใหม่อันเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ที่พระองค์ทรงสร้าง(ยอห์น 10:10) ที่องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพลิกฟื้นจิตวิญญาณที่อยู่ภายในของแต่ละคนขึ้นใหม่ ผ่านการภาวนาอธิษฐาน ทั้งในที่สงบเปล่าเปลี่ยว ในทะเลทราย บนยอดเขา ริมทะเล ในบ้านในครอบครัว ในที่ทำงานแต่ละวัน ท่ามกลางความว้าวุ่นในตลาดหุ้น และ การค้า หรือเวลาส่วนตัวกับพระเจ้า ทั้งสิ้นนี้เพื่อเปิดชีวิตของเราแต่ละคนต่อพระเจ้า เปิดจิตวิญญาณ เปิดความคิด เปิดจิตใจ เปิดการดำเนินชีวิตของเราให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จเข้ามาเพื่อพลิกฟื้นชำระชีวิตจิตวิญญาณของเราขึ้นใหม่ บางครั้งบางคนที่ร้องทูล คร่ำครวญร้องขอต่อพระองค์ ให้พระบิดาโปรดทรงเมตตาและช่วยลูกของพระองค์ บ่อยครั้งเป็นการเพ่งพิจารณา ไตร่ตรอง ถึงความรักเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เหนือคำกล่าวอ้างบรรยายใดๆ

ทุกวันนี้ บ่อยครั้งที่คริสเตียนตกอยู่ในกับดักของการทดลองที่แยกพันธกิจออกจากชีวิตจิตวิญญาณ แยกการรับใช้จากการอธิษฐาน หรือ การมีเวลาที่ส่วนตัวกับพระเจ้า เสียงภายในส่วนลึกจากชีวิตของเรามักให้เหตุผลว่า
“เรามีงานยุ่งมากไม่มีเวลาจะอธิษฐาน”
“เรามีหลายเรื่องหลายราวที่จะต้องให้การเอาใจใส่”
“หลายคนที่เราจะต้องให้การรับผิดชอบ”
“หลายคนที่มีบาดแผลฉกรรจ์ในชีวิตที่เราจะต้องรักษาเย็บชุน”

บางคนมองว่าการอธิษฐานมีไว้สำหรับคนที่มีเวลาเหลือเฟือ บ้างก็คิดว่าเขาจะอธิษฐานเมื่อมีเวลาว่าง หรือเขาอธิษฐานเมื่อเขาไม่ต้องทำงานหรือเมื่อมีเวลาไปรีทรีต บางคนที่มองว่าการอธิษฐานไม่เห็นเกี่ยวข้องกับงานที่ตนเองต้องทำในแต่ละวัน เขากลับมีทัศนคติว่า การอธิษฐานเป็นกิจกรรมของพวกใช้ชีวิตสันโดษในที่เงียบที่ลับ ที่แยกตัวเองออกไปอยู่ต่างหากจากคนอื่น คนพวกนี้จะไม่มาเกี่ยวข้องกับพันธกิจที่ตนทำอยู่ แต่ก็มีบางคนเช่นกันที่มุ่งมั่นตั้งใจอธิษฐานเท่านั้นและเห็นว่าการทำพันธกิจเป็นงานของคนอื่น

การคิดเช่นว่านี้อันตรายต่อชีวิตจิตวิญญาณ เป็นอันตรายต่อความเข้าใจในการทำพันธกิจและชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า การอธิษฐานและการรับใช้เป็นเนื้อเดียวกันในชีวิตของคริสเตียนมิสามารถแยกออกจากกันหรืออยู่ต่างหากได้ ทั้งสองนั้นต่างหนุนเนื่องเสริมแรงแก่กันและกัน การรับใช้คือการอธิษฐาน การอธิษฐานเป็นการรับใช้

สิ่งที่ต้องการเชิญชวนให้เราค้นหาเจาะลึกคือ ใน “งานรับใช้พระเจ้า” นั้น เรามิได้กระทำเพราะเราเห็นว่าเป็นสิ่งดี หรือ การกระทำดี ที่คริสเตียนควรกระทำ แต่ที่เรากระทำพันธกิจ หรือ ทำงานรับใช้พระเจ้าในลักษณะที่หลากหลายนั้นก็เพื่อที่จะช่วยให้ผู้คน “ระลึกได้” ถึงพระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ หัวใจของการทำพันธกิจคือให้แต่ละคน “ระลึกถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์” ที่มีต่อชีวิตของแต่ละคนและชุมชน

ตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่ ลูกา 24: 1-9 สาวกสตรีที่ไปยังอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซูคริสต์ และพบกับทูตสวรรค์ 2 ตน บอกว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ในอุโมงค์ฝังศพแล้ว ทูตทั้งสองชี้แนะให้เหล่าสาวกสตรี “ระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูคริสต์” ที่ “7ว่า 'บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่'” และพระธรรมตอนนี้บันทึกต่อไปว่า 8เขาจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ได้ 9และกลับไปจากอุโมงค์ แล้วบอกเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นแก่สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ทั้งหลายด้วย” พันธกิจที่ทูตสวรรค์ทั้งสองที่ได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้าคือช่วยให้สาวกสตรีเหล่านั้น “ระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูคริสต์” เมื่อระลึกได้เช่นนั้น พวกเธอรีบไปแจ้งข่าวดีนี้แก่สาวกคนอื่นๆ

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน และ ที่เมืองเอมมาอูส (อ่านลูกา 24:13-33) สาวกทั้งสองเศร้าใจเกี่ยวกับการตายของพระเยซูคริสต์ ที่ผิดคาดจากสิ่งที่เขาเชื่อและหวังไว้ แต่เขาเริ่มตาสว่างและจำได้ว่า คนที่เดินทางมากับเขาและอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเทียบเคียงคำทำนายในพระคัมภีร์กับชีวิตของพระเยซูคริสต์เอง ทั้งสองจำ หรือ “ระลึกได้” ว่าคนนี้เป็นพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงทำพิธีมหาสนิท เมื่อพระองค์ “หักขนมปัง” เขาทั้งสองจึงลุกขึ้นและเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็มทันที

30ต่อมาเมื่อพระองค์เสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปังโมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้เขา 31ตาของเขาก็หายฟางและเขาก็รู้จักพระองค์ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา 32เขาจึงพูดกันว่า “ใจเราเร่าร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสกับเราตามทาง เมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังมิใช่หรือ” 33แล้วคนทั้งสองนั้นก็ลุกขึ้นในโมงนั้นเอง กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และพวกสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมทั้งพรรคพวก”

ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อพระเยซูทรงสถาปนาพิธีมหาสนิท ลูกา 22:19 ได้บันทึกไว้ว่า 19พระองค์ทรงหยิบขนมปัง โมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา...” การทำพันธกิจของพระเจ้านั้น เพื่อช่วยให้ผู้คนได้ “ระลึกถึง” หรือ “จำได้ถึง” พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นการที่ช่วยให้ผู้คนได้เปิดชีวิตออกเพื่อรับการเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตของตนจากพระคริสต์, ระลึกถึงการทรงนำของพระคริสต์ในชีวิตของเราแต่ละคน, และระลึกถึงการที่พระคริสต์ทรงหนุนเสริมค้ำชูในชีวิตของเรา

ในวันนี้ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด หรือชีวิตอยู่ในสถานการณ์เช่นใด ให้เราระลึกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราแต่ละคน เพื่อเราจะไม่หลงทาง ไม่ดื้อรั้น และไม่อวดดี ที่สำคัญเพื่อเราจะได้เดินไปบนเส้นทางชีวิตที่พระองค์ทรงเตรียมสำหรับเราแต่ละคน

24 มีนาคม 2554

รากฐานความเชื่อศรัทธาที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน

“เพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นอีกไม่ได้
นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์”
(1โครินธ์ 3:11 อมตธรรม)

เหตุผลประการหนึ่งที่ผู้คนล้มคะมำลงในความเชื่อศรัทธาเพราะการที่คนๆ นั้นวางรากหยั่งฐานความเชื่อศรัทธาของตนอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อน บางครั้งเราวางรากฐานความเชื่อศรัทธาของเราลงบนชุมชนคริสตจักร เราเป็นคริสเตียนที่มีความกระตือรือร้นในชุมชนคริสตจักร ให้ความสำคัญกับชุมชนคริสตจักร จนพัฒนาไปสู่ทัศนคติที่ว่า คริสตจักรของฉันดีกว่าคริสตจักรของ... (โดยอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้) แต่ที่สำคัญที่เราจะต้องตระหนักชัดในสัจจะความจริงที่ว่า เรามิได้เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรที่เราเป็นสมาชิกเท่านั้น แต่เราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งใน “สากลคริสตจักรบริสุทธิ์” คือเป็นส่วนหนึ่งในพระวรกายของพระเยซูคริสต์

คริสเตียนที่หยั่งรากปักฐานความเชื่อศรัทธาของตนลงในชุมชนคริสตจักร มักเป็นผู้ที่ทุ่มเทให้ความสำคัญกับ “สามัคคีธรรมในคริสตจักร” ความสัมพันธ์กลมกลืน “ความม่วนชื่น” เมื่อวันที่มวลสมาชิกมาพบปะกัน ให้ความสำคัญศักดิ์สิทธิ์กับการประกอบศาสนพิธีจนอาจจะลืมหรือละเลยท่าทีชีวิตที่สำแดงออกในชีวิตประจำวัน เน้นความสำคัญของกิจกรรมที่กระทำในคริสตจักร เน้นความใหญ่โตอลังการของอาคาร ภูมิทัศน์ จำนวนสมาชิกมากมายใหญ่โต

สาเหตุประการที่สองคือ ความเชื่อศรัทธาของเราไปเกาะยึดในตัวของศิษยาภิบาล หรือ นักเทศน์เรืองนาม อาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์ได้เยี่ยมยอด ไม่แปลกครับ! เพราะเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรสมัยเริ่มแรกมาแล้วเช่นกัน อัครทูตเปาโลได้เตือนคริสตชนในสมัยนั้นว่า “...คนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดา(คนที่คิดตามกระแสโลก)มิใช่หรือ? อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงคนรับใช้ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน(มิใช่หรือ)?...” (1โครินธ์ 3:4-5 อมตธรรม, อักษรเอนเพิ่มโดยผู้เขียน)

คริสเตียนที่หยั่งรากเกาะยึดในตัวบุคคลสำคัญ คนเก่ง คนที่ตนเชิดชูบูชา จนบางคนบางกลุ่มวางตัวเป็น “แม่ยก” ก็มี นี่เป็นรากฐานความเชื่อศรัทธาที่ผิดพลาดอย่างมาก เพราะเป็นความเชื่อศรัทธาที่หยั่งรากฝังฐานความเชื่อศรัทธาในตัวบุคคลแทนที่จะเป็นองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น ย่อมนำมาซึ่งความแตกแยกหรือแบ่งแยกในคริสตจักร นำไปสู่ความสับสนหลงทางในความเชื่อศรัทธา และทำให้ผู้นำคนเด่นเหล่านั้นหลงเหลิงคิดว่าตนนั้นสำคัญยิ่ง

โปรดเข้าใจว่า การที่สมาชิกคริสตจักรคนใดคนหนึ่งจะรักมักชอบศิษยาภิบาลท่านใดท่านหนึ่ง หรือ ชื่นชอบชุมชนที่ตนเป็นสมาชิกไม่ได้ผิดแผกประหลาดอะไร แต่ที่สำคัญคือ ท่านต้องไม่หยั่งรากปักฐานความเชื่อศรัทธาของท่านในสิ่งเหล่านี้และผู้คนเหล่านี้ เพราะชุมชนคริสตจักรอาจจะทำให้ท่านผิดหวังเสียใจ เพราะชุมชนคริสตจักรนั้นขับเคลื่อนโดยผู้คนเฉกเช่นท่านและผม และทั้งผมและท่านต่างก็มักกระทำผิดพลาด และบ่อยครั้งที่มีความเข้าใจผิดพลาดด้วยเช่นกัน

ศิษยาภิบาล นักเทศน์เรืองนาม นักสอนพระคัมภีร์...ก็เถอะ ท่านเหล่านี้ต่างก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาที่อาจจะนำความผิดหวังเสียใจมาให้ท่านด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้าเราได้เกาะยึดท่านเป็นสรณะในชีวิตของเราก็อาจจะทำให้เราล้มคะมำคว่ำลงในความเชื่อศรัทธาก็ได้ เพราะอาจจะมีวันหนึ่งที่ผู้คนเหล่านี้เกิดความหลงทางผิดพลาดในชีวิต

เมื่อเปาโลเขียนจดหมายถึงคริสตจักรโครินธ์ ท่านได้ชี้ชัดว่า “เพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์” (1โครินธ์ 3:11) และนี่ก็เป็นคำเตือนถึงเราคริสเตียนในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21 ด้วยเช่นกัน ชีวิตและความเชื่อศรัทธาของเราหยั่งรากฝังฐานลงในชีวิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อที่พระองค์จะทรงสร้างเราขึ้นใหม่ เพื่อมีชีวิตรับใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อจะติดตามพระองค์ ไปทุกหนทุกแห่งด้วยมีพระองค์เคียงข้างและเป็นพลังชีวิตท่ามกลางทุกสถานการณ์

ดังนั้น จงให้ชีวิตและความเชื่อศรัทธาของท่านหยั่งรากฝังฐานลงในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

23 มีนาคม 2554

พื้นที่แห่งพระคุณในชีวิต

12จงหว่านความชอบธรรมไว้สำหรับตัว
จงเกี่ยวผลของความรักมั่นคง
เจ้าจงไถดินที่ร้างอยู่
เพราะเป็นเวลาที่จะแสวงหาพระเจ้า
เพื่อว่าพระองค์จะเสด็จมาโปรยความรอดลงให้แก่เจ้า
(โฮเชยา 10:12)

ท่านเคยมีความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่ว่า...?
ชีวิตนี้มีสิ่งดีๆ
ชีวิตนี้ยากลำบากแสนเข็ญ
ชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยสิ่งประหลาดมหัศจรรย์
ชีวิตนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสิ่งต่างที่ทำให้มีความสุข
ชีวิตนี้มันขึ้นๆ ลงๆ...

ท่านตื่นนอนตอนรุ่งเช้า
ด้วยความสดชื่นยินดีและบอกกับตนเองว่าให้รักษาทัศนคติดีๆ ในวันนี้
แต่แล้วก็ต้องพบกับบางคนที่วิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดความเจ็บปวดในชีวิต
ต้องพบกับบางคนทำให้สถานที่รกเลอะเทอะแล้วก็ไม่เก็บให้เรียบร้อย
ได้รับใบแจ้งหนี้ที่ไม่คาดฝันทำให้ชีพจรเต้นรัวถี่
ไปเปิดพบอีเมล์ที่กวนประสาท

สิ่งเหล่านี้ถาโถมเข้าหาฉัน ดั่งคลื่นวิทยุที่ฉันไม่เห็นตัวตน
ฉันต้องถูกมันครอบงำในอารมณ์ความรู้สึก
จิตใจของฉันต้องสะดุดล้ม
อารมณ์ของฉันร้อนแรงขึ้น
มุมมองของฉันดำดิ่งสุดขั้ว
เธอคงเข้าใจได้ว่า ฉันเกิดความสงสัยในชีวิต

เมื่อวานนี้ หลังจากที่ฉันได้รับอีเมล์กวนประสาท
ฉันอธิษฐานต่อพระเยซู
ฉันอธิษฐานด้วยคำพูดธรรมดา จริงใจ ไม่เสแสร้ง
“พระเยซูเจ้า... จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไงดี?
ทำไมชีวิตผมถึงต้องมีบาดแผล เกิดการฉีกขาดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตทุกวี่ทุกวัน?
ผมรู้สึกสับสน ผิดหวัง
ผมต้องการมุมมองจากพระองค์ต่อความฉีกขาดแตกหักในชีวิต
หรือผมควรจะเลิกราจากชีวิตที่เป็นอยู่เช่นนี้”

เงียบ... ไม่มีคำตอบ
ไม่มีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้
ไม่มีการตอบสนองจริงๆ

จนกระทั่งเช้าวันนี้
ด้วยจิตใจที่หดหู่ เหนื่อยอ่อน ฉันนั่งข้างโต๊ะในห้องครัว
เปิดพระคัมภีร์ที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง เปื่อยเก่า ผมอ่านพบข้อความว่า
“จงหว่านความชอบธรรมเพื่อตัวเจ้าเอง
จงเก็บเกี่ยวผลแห่งความรักมั่นคง
จงไถพรวนเนื้อดินที่ยังแข็งกระด้างของเจ้า
เพราะถึงเวลาที่จะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า...” (โฮเชยา 10:12 อมตธรรม)

จงหว่านความชอบธรรมเพื่อตัวเจ้าเอง...
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ฉันจะต้องหว่านความชอบธรรมในชีวิตของฉัน... ฉันต้องระลึกเสมอว่า ฉันมีโอกาสเลือกในทุกสถานการณ์ ฉันสามารถจะเลือกในสิ่งที่ให้เกียรติแด่พระเจ้า ฉันสามารถที่จะเลือกในสิ่งที่ให้เกียรติแด่พระคริสต์ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ แม้ในขณะที่ฉันกำลังได้รับความอับอายหรือหลู่เกียรติ ฉันก็สามารถที่จะเลือกสิ่งที่ให้เกียรติแด่พระองค์

จงเก็บเกี่ยวผลแห่งความรักมั่นคง
ท่ามกลางทุกสถานการณ์ที่เลือกที่จะให้เกียรติแด่พระเจ้าย่อมมีผลเกิดขึ้น เป็นผลจากการมีชีวิตที่ระลึกถึงความรักมั่นคงของพระเจ้า ในพระธรรมโรมบทที่ 8 ได้เตือนเราว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าได้ แต่อำนาจแห่งความชั่วร้ายเฉกเช่นซาตานจะใช้เล่ห์เหลี่ยมที่ลึกลับซับซ้อนที่จะทำให้ฉันเกิดความสับสนยุ่งยากในเรื่องเล็กเรื่องน้อย จนทำให้ฉันลืมพระเจ้า หรือ เกิดความสงสัยในความรักมั่นคงของพระองค์ ฉันต้องต่อต้านขัดขวางสิ่งที่ทำให้ฉันเขวและหลงจากเป้าหมายชีวิต ด้วยการที่มุ่งมั่นทุ่มเทความคิด ตัดสินใจทำทุกอย่างที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยการคิดและตัดสินใจเลือกทำเช่นนี้ ที่พระเจ้าทำให้ฉันเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้ฉันเขวและสับสนได้

จงไถพรวนเนื้อดินที่ยังแข็งกระด้างของเจ้า
พระพรท่ามกลางสถานการณ์ชีวิตที่ฉีกขาดและแตกหักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการให้พื้นดินในหัวใจของฉันได้รับการไถพรวน การไถการพรวนพื้นที่หัวใจที่แข็งกระด้างของฉันเป็นการเตรียมชีวิตจิตใจฉันให้พร้อมที่จะมีชีวิตใหม่ เกิดการเจริญเติบโตอีกครั้งหนึ่งในชีวิต และนำไปสู่วุฒิภาวะใหม่ในชีวิตจิตวิญญาณ

เพราะถึงเวลาที่จะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า...
เป็นเวลาที่ฉันจะต้องแสวงหาพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนหนึ่งในการแสวงหาพระเจ้าคือการเปิดพื้นที่อ้างว้างว่างเปล่าในชีวิตของฉันรองรับ “พระคุณ” ของพระองค์ที่จะมีในชีวิตของฉัน เมื่อสถานการณ์ทำให้ฉันมีพื้นที่ชีวิตที่แห้งผากแตกระแหง ฉันมองเห็นความว่างเปล่า หรือ โอกาสในชีวิต? แทนที่ฉันจะตอบโต้ความว่างเปล่าในชีวิต แต่ฉันสามารถที่จะเลือกที่จะมองว่าความว่างเปล่าในชีวิตเป็นพื้นที่ชีวิตเพื่อพระคุณของพระเจ้าที่จะหยั่งรากลึกและเติบโตขึ้นในชีวิตของฉัน แล้วแผ่ขยายกว้างไกลไปในส่วนต่างๆ ในชีวิตของฉัน

ด้วยการที่ฉันแผ่ขยายพระคุณของพระเจ้าไปยังคนต่างๆ ที่ไม่สมควรจะได้รับพระคุณนั้น ถ้วยแห่งพระคุณของพระเจ้าก็จะล้นไหลรดลงชีวิตของฉันด้วย ฉันต้องการพระคุณที่ไหลล้นลงในชีวิตฉันเหลือเกิน “เพราะถึงเวลาที่จะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา และโปรยความชอบธรรมลงบนพวกเจ้าอย่างสายฝน” (โฮเชยา 10:12 อมตธรรม)

ดั่งสายฝน
หลังจากนั้น การเจริญเติบโตจึงเกิดขึ้น เมื่อฉันเลือกอย่างถูกต้องคือเลือกที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ฉันเริ่มที่จะมุ่งมองไปที่ชีวิตและผู้คน ฉันเปลี่ยนการตอบสนองต่อสถานการณ์รอบข้างที่มารบกวนจิตใจของฉัน ฉันมีความพร้อมมากขึ้น ฉันสัมผัสได้ถึงการใกล้ชิดสนิทแนบใหม่กับพระเจ้า ฉันจะไม่ตกเป็นเบี้ยล่างต่อคลื่นพายุชีวิตที่ถาโถมเข้ามาและครอบงำกดดันชีวิตฉันอีกต่อไป

และจิตใจของฉันกระซิบครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ขอบพระคุณ...ขอบพระคุณ... ที่พระคุณของพระเจ้าเข้ามาครอบครองพื้นที่ชีวิตที่อ้างว้างว่างเปล่าของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า

ขอพระเจ้าโปรดชี้นำให้เราเห็นว่า
เราจะแสวงหาพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้นท่ามกลางชีวิตประจำวันอย่างไร
ขอพระเจ้าโปรดช่วยให้เราที่จะเห็น “ความว่างเปล่า” ในชีวิตเป็น “พื้นที่โอกาสแห่งพระคุณ”

17 มีนาคม 2554

สิ่งที่ “มะเร็ง” ทำไม่ได้

38เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า...
ไม่ว่าความตายหรือชีวิต
ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว
ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคตหรืออำนาจใดๆ
39ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก
หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง
ล้วนไม่สามารถพรากเราจากความรักของพระเจ้า
ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (โรม 8:38-39 อมตธรรม)

ถ้าวันหนึ่ง เมื่อท่านไปพบหมอตามที่นัดหมาย และพบว่าคุณเป็นมะเร็ง อะไรจะเกิดขึ้นกับท่าน?
ท่านอาจจะได้รับข่าวแบบนี้เกี่ยวกับตัวของท่านเอง หรือ
อาจจะรับข่าวแบบนี้เกี่ยวกับสุขภาพของคนที่ท่านรัก

ในที่นี้ผมอยากจะบอกท่านถึงสิ่งที่ “มะเร็ง” ทำอะไรท่านไม่ได้...

มะเร็งไม่สามารถทำให้ ความหวัง ของคนล้มละลายหรือละเอียดเป็นผุยผง
นอกจากว่า...ความหวังของท่านไม่ได้หยั่งรากในองค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่ยึดเกาะกับความปรารถนาและเชื่อมั่นในตนเอง

มะเร็งไม่สามารถกัดกร่อน ความเชื่อศรัทธา ของท่าน
นอกจากว่า...ท่านเชื่อศรัทธาในศักยภาพของตนเองหรือเพื่อนมนุษย์
แต่มิได้หยั่งรากความเชื่อศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า

มะเร็งไม่สามารถกลืนกิน สันติสุข ที่อยู่กับชีวิตของท่าน
นอกจากว่า...ท่านคาดหวังสันติสุขจากสิ่งท่านมี สิ่งที่ท่านทำ หรือ สิ่งที่ท่านปรารถนา
แต่มิได้ไว้วางใจในพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของท่าน

มะเร็งไม่สามารถจะจำกัด ชีวิตนิรันดร์ ได้
นอกจากว่า...ท่านเอาคุณค่าชีวิตของท่านไปผูกมัดกับวัตถุ ทรัพย์สิน และความสามารถของท่าน
แต่มิได้ละทิ้งตนเอง แบกกางเขน ติดตามพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน

มะเร็งไม่สามารถเอาชนะพระวิญญาณของพระเป็นเจ้า
นอกจากว่า...ท่านจะละทิ้งพระวิญญาณของพระเจ้า
แล้วเปิดประตูชีวิตให้วิญญาณอื่นๆ ทั้งหลายเข้ามาบงการชีวิตของท่าน

มะเร็งไม่สามารถลด อำนาจของการคืนพระชนม์ ของพระคริสต์ให้เล็กน้อยถอยลงได้
นอกจากว่า...ท่านปฏิเสธที่จะยอมตายจากชีวิตเก่า และเข้ามีชีวิตใหม่ในพระคริสต์
ชีวิตใหม่จากพลังแห่งการคืนพระชนม์ของพระคริสต์จึงถูกกีดกันขับไล่ออกจากชีวิตของท่าน

และนี่คือความจำกัดของมะเร็ง
เพราะมะเร็งไม่สามารถพรากเราจากความรักของพระคริสต์!
ถ้าเรามั่นคงและมีชีวิตอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

มีใครในครอบครัว หรือ คนที่ท่านสนิท คนที่ท่านรู้จักที่ต้องได้รับความทุกข์ยากจากมะเร็งไหม?
ถ้ามี ให้ท่านบอกข่าวดีนี้แก่เขา
เพื่อเขาจะได้สัมผัสกับความรักของพระคริสต์ และ
เพื่อเขาจะได้รับการสัมผัสชีวิตภายในจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

15 มีนาคม 2554

ความล้มเหลวมิใช่จุดจบ

7“อย่างน้อยที่สุดยังมีความหวังสำหรับต้นไม้
ถึงมันถูกโค่นก็ยังแตกหน่อขึ้นมาอีก
และงอกกิ่งใหม่ขึ้นมาแทน”
(โยบ 14:7 อมตธรรม)

ผมไม่เคยพบแม้แต่คนเดียวที่มีเป้าหมายในชีวิตของเขาคือความล้ม แต่ความล้มเหลวเป็นสัจจะความจริงหนึ่งในชีวิต กุญแจสู่ความสำเร็จมิใช่การหลีกเลี่ยงความล้มเหลว แต่เป็นการที่จะเรียนรู้จักการรับมือกับความล้มเหลวต่างหาก

  • ครั้งหนึ่ง ครูสอนดนตรีของบีโธเฟ่นบอกกับเขาว่า เขาไม่มีทางที่จะเป็นนักประพันธ์เพลงได้
  • วอลท์ ดิสนีย์ ถูกบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพูดใส่หน้าว่า เขาเป็นคนที่ไร้ความสร้างสรรค์
  • เฮนรี่ ฟอร์ด เจ้าของบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี (Ford Motor Company) เป็นธุรกิจที่สามของเขา ซึ่งสองธุรกิจก่อนหน้านี้ล้มเหลวไปเรียบร้อยแล้ว
  • ครูของโธมัส เอดิสัน (Thomas Edison) บอกเขาว่า เอดิสันโง่ทึมทึเกินกว่าที่จะเรียนรู้ได้

Mary Sotherland เคยเล่าไว้ว่า เธอสอบตกครั้งแรกเมื่อเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่ง ในการทดสอบเกี่ยวกับชื่อของรัฐและชื่อเมืองหลวงของรัฐเหล่านั้น เธอต้องท่องจำชื่อเหล่านี้อย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนกับว่ามันจะตั้งอยู่ชั่วนิรันดร์ เธอไม่ชอบเรียนวิชาภูมิศาสตร์ ถึงเวลาเรียนวิชานี้เมื่อใดเธอเป็นอันต้องใจลอยฝันกลางวันทุกครั้ง เธอถามดังๆ ในใจของเธอว่า ทำไมฉันจะต้องจำชื่อรัฐชื่อเมืองหลวงเหล่านี้ ในเมื่อชื่อพวกนี้เราก็สามารถค้นหาได้จากหนังสือเสมอ... น่าเบื่อสิ้นดี

เธอเล่าต่อไปว่า... ถึงแม้เธอจะไม่ชอบวิชาภูมิศาสตร์แค่ไหน แต่เธอก็จะต้องทำให้ได้ 100 คะแนนในการสอบ ทำไมหรือ? แม้ขณะนั้นเธอเพียงอายุ 6 ขวบ แต่เธอก็รู้กฎเกณฑ์ที่ไม่ได้พูดเป็นคำพูดคือ ถ้าสอบตกวิชาใดวิชาหนึ่งนั่นหมายถึงว่า เธอล้มเหลว

เมื่อคุณครูของเธอบอกให้นักเรียนทุกคนในชั้นเรียน ให้เอาทุกอย่างออกจากโต๊ะเรียนของตน ให้เหลือเพียงดินสอแท่งเดียว เธออกสั่นขวัญหาย เธอเหลียวไปดูที่กระดานก็ไม่เห็นมีอะไรบนกระดานนั้น เธอมองหน้าเพื่อนๆ ต่างมีสีหน้าที่สับสน ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

คุณครูอธิบายว่า “เราจะมีการทดสอบเล็กๆ เพื่อจะดูว่าพวกเราจะทำข้อสอบวิชาภูมิศาสตร์ได้แค่ไหน” เธอคิดในใจว่า เธอมีปัญหาสามประการจากคำพูดของคุณครูคนนี้คือ ไม่เคยพบเลยว่ามีการสอบเล็กๆ (เพราะที่พบทุกครั้งมันยากบรมเลย!) ประการที่สองไม่มีใครพูดถึงเรื่องการสอบนี้เลย ประการสำคัญที่สามคือ เธอไม่รู้ชื่อของรัฐและชื่อเมืองหลวงเหล่านั้นเลย เมื่อเธอบ่นออกมาให้คุณครูได้ยิน คุณครูก็บอกเธอว่า นี่เป็นการทดสอบเล็กๆ ก่อนเรียนเท่านั้น

เธอสัญญากับตนเองในใจว่า ถ้าเธอได้เป็นครูประถมศึกษาเธอจะไม่ทำเช่นนี้กับนักเรียนของตน

เธอเล่าต่อไปว่า ท้องของเธอปั่นป่วน เหงื่อแตกออกมาเป็นเม็ดๆ ในสมองของเธอแล่นค้นหาอย่างบ้าคลั่งถึงข้อมูลวิชาภูมิศาสตร์ที่อาจยังคั่งค้างอยู่ บางทีสมองเธออาจจะค้นพบชื่อรัฐและเมืองหลวงสัก 1-2 ชื่อในช่วงที่ครูกำลังแจกข้อสอบให้แต่ละคน “ไม่ให้เปิดหนังสือ” เสียงของคุณครูเตือน เธอบ่นกับตนเองว่า ทำไมฉันถึงซวยเช่นนี้!

เมื่อคุณครูวางกระดาษที่มีแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาลงบนโต๊ะเธอ เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เธอร้องไห้ เมื่อคุณครูเห็นเธอเช่นนั้น คุณครูคุกเข่าลงข้างๆ โต๊ะของเธอ ค่อยๆ โอบเธอไว้ แล้วขอให้ครูผู้ช่วยดำเนินการทดสอบในชั้นเรียนต่อไป แต่คุณครูพาเธอออกจากห้องเรียนมาที่ห้องพยาบาล

เมื่อเธอสงบ หยุดร้องไห้ คุณครูก็ถามเธอว่า “หนู...มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” เธอไม่เชื่อหูของตนเองที่ได้ยินคำตอบที่เธอตอบคุณครูว่า “หนูจำชื่อรัฐและเมืองหลวงพวกนั้นไม่ได้เลย” เสียงที่เธอคร่ำครวญออกไปฟังดูน่าขบขันสำหรับเธอเอง คุณครูถามเธอว่า “เธอพอจะจำสักบางชื่อได้ไหม?” เธอคิดอยู่พักหนึ่ง จึงตอบคุณครูไปว่า “หนูจำได้บางชื่อแต่จำไม่ได้ทั้งหมด แต่นั่นก็หมายความหว่าหนูจะต้องสอบตก” คุณครูให้กำลังใจว่า “หนูลองทำดีที่สุดเท่าที่หนูจะทำได้ แล้วดูว่าผลมันจะเป็นอย่างไร” เธอทำดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้... แต่เธอยังสอบตก

ลองทายดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับเธอ? ในเมื่อโลกหมุนไปไม่หยุด เธอเรียนผ่านชั้นประถมปีที่หนึ่ง ผ่านระดับประถมศึกษาไปอย่างฉลุย สำเร็จมัธยมตอนปลายระดับเกียรตินิยม เธอเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาด้านดนตรีโดยได้รับทุนการศึกษา ในที่สุดเธอได้เป็นครูประถมศึกษา

เธอเล่าว่า เธอพบกับความล้มเหลวตลอดเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาหลายครั้งหลายครา เฉกเช่นเดียวกับคนในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นอาดัมกับเอวาที่โกหกพระเจ้าจึงล้มลงในความบาป ดาวิดที่มีชู้กับบัทเชบา ต่อมาวางแผนให้สามีของบัทเชบาไปตายในสนามรบ เปโตรที่เคยประกาศกร้าวว่าจะอยู่กับพระคริสต์ไม่ว่าชีวิตจะเป็นเช่นไร แต่เขากลับปฏิเสธพระเยซู มิใช่เพียงครั้งเดียวแต่ปฏิเสธถึงสามครั้ง แท้จริงแล้วคงเป็นการยากที่จะค้นให้พบว่ามีใครสักคนไหมที่ไม่เคยล้มเหลวเลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต แต่เราพบมากมายหลายคนในพระคัมภีร์ที่เขาได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของเขาในชีวิต แล้วใช้สิ่งที่เรียนรู้เป็นเครื่องเสริมสร้างให้ชีวิตของเขาเจริญเติบโตขึ้น และเราพบอีกว่าหลายคนในกลุ่มนี้ที่พระเจ้าทรงใช้เขาให้ประสบความสำเร็จในพระราชกิจแห่งพระประสงค์ของพระองค์

ผมเชื่อว่า ความล้มเหลวเป็นส่วนสำคัญจำเป็นส่วนหนึ่งในการเจริญเติบโตและพัฒนาวุฒิภาวะของเราในการเป็นสาวกติดตามพระเยซูคริสต์ ถ้าเรายอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเราตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะทรงนำประสบการณ์ความล้มเหลวในชีวิตของเราไปถึงซึ่งความเข้าใจในเรื่องความรักที่ไร้เงื่อนไข และ การทรงยกโทษบาปจากพระเจ้า ซึ่งสิ่งอื่นไม่สามารถนำไปถึงได้ ความสิ้นหวังหรือภาวะที่ล่อแหลมสามารถเป็นมิตรสหายใกล้ชิดของเราถ้าเรายอมที่จะรอคอยการกระทำพระราชกิจตามพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา ถ้าเราปรารถนาที่จะเห็นพลานุภาพของพระเจ้าในชีวิตของเรา

จำไว้เสมอว่า ความล้มเหลวมิใช่จุดจบของชีวิต แต่พระคุณของพระเจ้าต่างหากที่นำเราไปถึงเป้าหมายปลายทางแห่งชีวิต

ประเด็นใคร่ครวญพระธรรมกับชีวิต

ให้เราอ่านจากพระธรรมโรม 8:28 “...เรารู้ว่า ในทุกสิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์” (อมตธรรม)
o พระธรรมข้อนี้ช่วยให้เราเผชิญหน้ากับความล้มเหลวในชีวิตของเราอย่างไรบ้าง?
o ทุกวันนี้ท่านต้องประสบกับความล้มเหลวในเรื่องอะไรบ้าง?
o ถ้ามองความล้มเหลวดังกล่าวผ่านมุมมองของพระธรรมโรม 8:28 ท่านได้รับบทเรียนอะไรบ้าง?
o และท่านเห็นชัยชนะหรือความสำเร็จอะไรบ้างที่จะงอกงามตามมาในอนาคต?
o ให้อ่านพระธรรมโยบ 14:7 “อย่างน้อยที่สุดยังมีความหวังสำหรับต้นไม้ ถึงมันถูกโค่นก็ยังแตกหน่อขึ้นมาอีก และงอกกิ่งใหม่ขึ้นมาแทน” (อมตธรรม) เราจะประยุกต์พระธรรมข้อนี้กับความล้มเหลวในชีวิตอย่างไร?

พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงความหายนะเป็นชัยชนะ
พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงความล้มเหลวเป็นความสำเร็จ
เมื่อเราเลือกที่จะมองว่า...
ความผิดพลาดล้มเหลวของเรา เป็นโอกาสของพระเจ้า
ที่จะทรงทำงานในชีวิตของเรา
แล้วเราจะพบว่า ความสำเร็จนั้นมีความหมายใหม่ที่แตกต่างจากความสำเร็จแห่งโลกนี้

13 มีนาคม 2554

ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีเพราะ...

ท่านจงระลึกถึงคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยกล่าวแก่เหล่าสาวกที่ว่า
“แต่ผีชนิดนี้ไม่เคยถูกขับออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร”
ท่านจะทำอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทำได้หรือ
“เจ้าจะดื่มถ้วยที่เราดื่มได้หรือ”
“ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี”
จงกล่าวเสมอว่า
“ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี”

ดูเหมือนหนทางจะยาวไกล
แต่มันก็ไม่มากเกินแม้แต่นิ้วเดียว
องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านและของข้าพเจ้า
มิได้ร่วมจาริกไปบนเส้นทางแห่งชีวิตของท่านเท่านั้น
แต่พระองค์ยังเป็นผู้วางแผนในการเดินทางนี้ด้วย

บนเส้นทางที่ท่านจาริกไปนั้น
ท่านจะพบความชื่นชมยินดีที่ยากจะบรรยายด้วยคำพูด
แต่ท่านจงกล้าหาญ มั่นคง และมุ่งมั่นเถิด

พระธรรมภาวนา

ปฐมกาล 28:15
(พระเจ้าตรัสกับยาโคบว่า) เราอยู่กับเจ้า และ
จะพิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป...
เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า
จนกว่าเราจะได้ทำสิ่งซึ่งเราพูดกับเจ้าไว้นั้นแล้ว”

โยชูวา 1:9
เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า”

สดุดี 27:14
จงรอคอยพระเจ้า
จงเข้มแข็ง และให้จิตใจของท่านกล้าหาญเถิด
เออ จงรอคอยพระเจ้า

I พงศาวดาร 28:9
“ซาโลมอนบุตรของเราเอ๋ย
เจ้าจงรู้จักพระเจ้า และ
จงปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจจริงและด้วยความเต็มใจของเจ้า
เพราะพระเจ้าทรงพิจารณาจิตใจทั้งปวง และ
ทรงเข้าใจในแผนงานและความคิดทั้งปวง
ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์เจ้าจะพบพระองค์
แต่ถ้าเจ้าทอดทิ้งพระองค์
พระองค์จะทรงเหวี่ยงเจ้าออกไปเสียเป็นนิตย์

สุภาษิต 16:9
ใจของมนุษย์กะแผนงานทางของเขา
แต่พระเจ้าทรงนำย่างเท้าของเขา

สุภาษิต 19:21
ในใจของมนุษย์มีแผนงานเป็นอันมาก
แต่พระประสงค์ของพระเจ้านั่นแหละจะดำรงอยู่ได้

อิสยาห์ 14:24
พระเจ้าจอมโยธาได้ทรงปฏิญาณว่า
'เรากะแผนงานไว้อย่างไร ก็จะเป็นไปอย่างนั้น
และเราได้มุ่งหมายไว้อย่างไร ก็จะเกิดขึ้นอย่างนั้น

เยเรมีย์ 29:11
พระเจ้าตรัสว่า
เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า
เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ
เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า

10 มีนาคม 2554

ความช่วยเหลือจากทุกแหล่ง

กิจกรรมทั้งหลายที่ท่านกระทำไม่มีค่าในตัวของมันเอง
ไม่ว่างานนั้นจะดูเล็กน้อยด้อยค่า หรือ ดูยิ่งใหญ่สำคัญ
แต่ถ้า...เพียงท่านจะหยุดกระทำกิจกรรมเหล่านั้นตามที่ท่านต้องการ
แล้วให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ชี้นำตามพระประสงค์ และ
กระทำผ่านความช่วยเหลือของพระองค์
กิจกรรมเหล่านั้นจะเปี่ยมล้นด้วยคุณค่ามากมาย

พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่าน
เพียงท่านจะเชื่อฟังพระองค์
เหมือนดั่งที่ท่านคาดหวังให้เลขานุการของท่าน
ทำงานทุกอย่างด้วยความสัตย์ซื่อเต็มใจ
ให้เป็นไปตามทิศทางที่ท่านต้องการ

ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทิศทางที่พระองค์ทรงชี้นำ
ไม่มีจุดประสงค์อื่นใด นอกจากพระประสงค์ของพระองค์
เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ความช่วยเหลือแก่ท่าน
พระองค์ไม่ต้องพึ่งพิงหรือขึ้นกับความช่วยเหลืออื่นใด
ความช่วยเหลือของพระองค์นั้นสามารถผ่านหลากหลายช่องทาง
รวมทั้งความช่วยเหลือด้านทรัพยากรต่างๆ ด้วย

พระธรรมภาวนา

สดุดี 51:6
ดูเถิด พระองค์มีพระประสงค์ความจริงภายใน
เพราะฉะนั้น ขอทรงสอนสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ภายในจิตใจลึกลับของข้าพระองค์

สดุดี 138:8
พระเจ้าจะทรงให้สำเร็จ (ตาม) พระประสงค์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
ขออย่าทรงละทิ้งพระหัตถกิจของพระองค์

สุภาษิต 19:21
ในใจของมนุษย์มีแผนงานเป็นอันมาก
แต่พระประสงค์ของพระเจ้านั่นแหละจะดำรงอยู่ได้

มีคาห์ 6:8
มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี
และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า
นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณา
และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า

ยอห์น 5:30
(พระเยซูตรัสว่า) “เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา

ยอห์น 6:38
(พระเยซูตรัสว่า) เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์
มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง
แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา

โรม 8:28
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง
คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

I เปโตร 2:15
เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
ที่จะให้ท่านทั้งหลายระงับความโง่ของคนโฉดเขลาด้วยการประพฤติดี

I เปโตร 4:2
เพื่อ (ท่าน) จะได้ไม่ดำเนินชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในโลกตามใจปรารถนาของมนุษย์
แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า

I เปโตร 4:19
เหตุฉะนั้น ขอให้คนทั้งหลายที่ทนทุกข์ทรมานตามพระประสงค์ของพระเจ้า
จงประพฤติชอบและฝากวิญญาณจิตของตนไว้กับองค์พระผู้สร้าง ผู้เที่ยงธรรมนั้นเถิด

I ยอห์น 5:14
และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์
คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์
พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา

มัทธิว 9:13
ท่านทั้งหลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่า...
เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา
ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม
แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต”

08 มีนาคม 2554

ทูลขอสิ่งที่ยิ่งใหญ่

จงรู้เถิดว่า
พระเจ้าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่าน
ไม่มีใครที่เป็นอยู่ก่อนพระองค์
เพียงแต่ท่านวางใจพระองค์ในทุกสิ่ง
ความช่วยเหลือนั้นพร้อมอยู่เสมอ

หนทางที่ยากลำบากกำลังจะถึงจุดเปลี่ยน
แต่ท่านจะได้เรียนรู้บทเรียนจากความทุกข์ยากดังกล่าว
ที่ท่านไม่สามารถจะเรียนรู้จากหนทางอื่น...
“แผ่นดินสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และ
ผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้” (มัทธิว 11:12)

ท่านจงดูดซับคุณค่าแห่งแผ่นดินของพระเจ้าจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยการมุ่งมั่น ความไว้วางใจ ด้วยจริงใจ และการอธิษฐานที่พากเพียร

สิ่งอัศจรรย์เกิดแก่ท่านคือ
ความชื่นชมยินดี
ศานติสุข
ความมั่นคง
ความปลอดภัย
สุขภาวะ
ความสุข
เสียงหัวเราะ

จงทูลขอพระเจ้าในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เดี๋ยวนี้
จงระลึกเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่ใหญ่เกินไป
องค์พระผู้เป็นเจ้าพอใจที่จะประทานให้
พระองค์เต็มใจที่จะอวยพระพรท่านบัดนี้และเสมอไป
ท่านจงมีศานติสุขเถิด

06 มีนาคม 2554

ไม่มีความชื่นชมยินดีที่ยิ่งใหญ่กว่านี้

จงถอนตัวออกจากกระแสแห่งโลกนี้เพื่อเข้าติดสนิทในองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วท่านจงผ่อนพักในความนิ่งสงบและศานติ
ชีวิตของท่านจะไม่พบความชื่นชมยินดีที่ยิ่งใหญ่กว่านี้คือ
เมื่อท่านหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและมีความสนิทสัมพันธ์กับพระองค์

ท่านเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อท่านพบบ้านที่ผ่อนพักอาศัยแห่งจิตวิญญาณของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อนั้นชีวิตที่แท้จริงได้เริ่มต้น
ในแผ่นดินของพระเจ้ามิได้นับช่วงเวลาชีวิตเป็นปีอย่างที่มนุษย์นับกันในโลกนี้
องค์พระผู้เป็นเจ้านับช่วงชีวิตเริ่มจากการบังเกิดใหม่(คือการเกิดครั้งที่สอง)
ตามที่พระคริสต์เคยสนทนากับนิโคเดมัสว่า
“เจ้าจะต้องบังเกิดใหม่” (ยอห์น 3:15)
เราทั้งหลายรู้ว่าเราไม่มีชีวิตนอกจากชีวิตนิรันดร์ และ
เมื่อมนุษย์ย่างก้าวเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ เขาจึงเป็นผู้ที่มีชีวิต

นี่คือชีวิตนิรันดร์
คือเมื่อท่านได้รู้จักพระเจ้าพระบิดา และ
พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระบุตรที่พระเจ้าส่งเข้ามาในโลกนี้ (ยอห์น 3:17)
ดังนั้น จงดำเนินชีวิตเป็นเหมือนผู้เยาว์ เป็นเหมือนเด็ก (มัทธิว 18:3)
เป็นชีวิตที่ให้สิ่งดีภายในหลั่งไหลออกมาสู่ภายนอก
ทำให้เป็นชีวิตที่มีที่ว่าง
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานความรักเมตตาไหลพรมเหนือท่าน
แล้วท่านจงส่งต่อความรักเมตตานั้นไปยังคนอื่นๆ

อย่ากลัวเลย
การกลัวก็เป็นเหมือนเด็กโง่คนหนึ่งมีพ่อที่ร่ำรวย
เขามีเหรียญเล็กๆ เหรียญหนึ่ง
แต่เด็กนั้นหมกมุ่นวุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรกับเหรียญนั้น
จะให้คนกู้ยืมเหรียญนั้นอย่างไร เอาดอกเบี้ยเท่าไหร่ จะให้จ่ายคืนอย่างไร
งานนี้เป็นงานของพ่อมิใช่หรือ?
ท่านควรจะไว้วางใจองค์พระผู้เป็นเจ้าในทุกเรื่องทุกกรณี (1เธสะโลนิกา 5:18)

03 มีนาคม 2554

เป็นมิตรสนิทกับความล้มเหลว

ความล้มเหลวเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู...
อยู่ที่คุณจะเลือกว่า จะให้เป็นแบบไหน
ถ้าคุณร้องเพลงสวดศพทุกครั้งที่คุณล้มเหลว
ถ้าเช่นนั้นความล้มเหลวก็ยังเป็นศัตรูของคุณ
แต่ถ้าคุณตัดสินใจที่จะเรียนรู้จากความล้มเหลวของคุณเอง
เมื่อนั้น คุณจะได้รับคุณประโยชน์จากความล้มเหลว
และนั่นที่ทำให้ความล้มเหลวกลายเป็นมิตรสนิทของคุณ

William Bolitho เคยกล่าวไว้ว่า...
สิ่งสำคัญสุดยอดในชีวิตมิได้ประเมินจากสิ่งที่คุณได้รับ
เพราะคนโง่ทุกคนก็ทำเช่นนั้น
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดคือ การที่คุณได้รับคุณค่าตอบแทนจากการสูญเสียของคุณ
นั่นต้องการสติปัญญาที่เฉียบแหลม
และสิ่งนี้ที่ชี้ถึงความแตกต่างระหว่างคนที่มีไหวพริบกับคนที่ทึมทื่อ”

ทุกคนสามารถที่จะปรับเปลี่ยนความล้มเหลวให้เป็นมิตรสหาย
ด้วยการที่มีทัศนคติที่เปิดรับการสอนจากผู้คนและสภาวะรอบด้าน
แล้วใช้กลยุทธ์ที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตน
ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนการสูญเสียเป็นคุณค่า เป็นการได้เปรียบ และเป็นประโยชน์ในชีวิต
ขอให้คุณถามคำถามต่อไปนี้ทุกครั้งเมื่อประสบพบกับการสูญเสียหรือล้มเหลว

1. อะไรที่เป็นสาเหตุของความล้มเหลว

ก้าวแรกที่คุณจะเรียนรู้คือ
คุณต้องเต็มใจค้นหาให้พบว่า อะไรคือสาเหตุของความล้มเหลว
เพราะคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรือ?
มีประเด็นที่แน่ชัดเมื่อเกิดการล้มเหลวหรือไม่?
คุณสามารถเจาะจงบ่งชี้ลงไปว่าอะไรคือหัวใจของความผิดพลาด?

2. ความสำเร็จอะไรบ้างที่อยู่ในความล้มเหลว?
Warren Wiersbe เคยกล่าวไว้ว่า...
“ผู้ยึดมั่นในความจริงเป็นนักคิดที่กล้าฝ่าเข้าไปในกองไฟเพื่อรับการเผาชำระ
ผู้สงสัยเป็นนักคิดที่เข้าไปในกองไฟแล้วถูกเผาไหม้เป็นจุล”
อย่ายอมให้ไฟแห่งความเลวร้าย ภัยพิบัติ ทำให้คุณเป็นผู้สงสัย
แต่ให้ไฟนั้นเผาชำระคุณให้บริสุทธิ์

ไม่ว่าภัยพิบัติ ความเลวร้ายใดใดที่คุณพบพาน
ในนั้นจะมี “เพชร” แห่งความสำเร็จอยู่ด้วย
บางครั้ง จะค้นหาให้พบด้วยความยากลำบาก
แต่คุณสามารถค้นพบได้ ถ้าคุณเต็มใจทุ่มเทที่จะค้นจนพบ

3. ฉันจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากสิ่งที่เกิดขึ้น?
ไม่น่าเชื่อ ที่หลายคนตอบสนองต่อความล้มเหลวอย่าง ชาลี บราว์น ในการ์ตูน
ผมเคยอ่านการ์ตูนจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง
ชาลี บราว์น สร้างปราสาททรายที่ชายหาด
เขาสร้างปราสาททรายที่สวยงามเสร็จ
เขาได้เดินถอยห่างออกมาเพื่อชื่นชมในผลงานที่น่าทึ่งของเขา
ขณะนั้นเอง ได้มีคลื่นลูกโตพัดถาโถมเข้ามาที่ชายหาด
แล้วกวาดพัดปราสาทที่เขาสร้างราบเป็นหน้ากอง
เขาพึมพำกับตนเองว่า
“จะต้องมีบทเรียนในเหตุการณ์นี้แน่ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

คนที่ประสบพบกับภัยพิบัติและล้มเหลวอย่างชาลี บราว์น
เขาถูกกลืนเข้าไปในความล้มเหลวเลวร้าย
เขาพลาดการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เขาได้รับ
แต่ในทุกความล้มเหลว ในทุกความเลวร้ายในชีวิตย่อมมีสิ่งที่เราจะเรียนรู้เสมอ
หัวใจสำคัญคือ คนๆ นั้นต้องมีทัศนคติที่เปิดใจกว้างที่จะรับบทเรียนเสมอ
แล้วยอมรับความคิดของ Lord Byron ได้ถ่ายทอดไว้ว่า
“ภัยพิบัติ ความเลวร้าย และความล้มเหลวเป็นก้าวแรกนำสู่สัจจะความจริง”

4. ใครจะช่วยฉันให้ประสบความสำเร็จ?

โดยทั่วไปแล้วมีการเรียนรู้อยู่สองประเภท
เรียนรู้จากประสบการณ์ความล้มเหลวผิดพลาดของคุณเอง และ
สติปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ถึงความผิดพลาดของคนอื่น
พลเรือเอก Hyman Rickover กล่าวไว้ว่า...
“เราทุกคน ควรมีการรับรู้ที่ดีกว่านี้
เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น
คุณไม่มีชีวิตที่ยาวนานพอที่จะเรียนรู้ทั้งหมดด้วยตัวคุณเองได้

จงเก็บเกี่ยวสติปัญญาจากความฉลาดล้ำลึกของผู้อื่น
แสวงหาคำแนะนำ ความคิดเห็น
แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นความคิดเห็นและคำแนะนำจากคนที่สำเร็จ
คนที่สำเร็จจากการรับมือกับความผิดพลาดและล้มเหลว

5. จากที่นี่...ฉันจะไปไหนต่อ?
ในหนังสือชื่อ "Everyone's a Coach,"
Don Shula and Ken Blanchard กล่าวไว้ว่า
“การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
คุณจะไม่เกิดการเรียนรู้สิ่งนั้นจนกว่าคุณจะทำสิ่งนั้น หรือใช้สิ่งนั้น”

เมื่อคุณสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เลวร้าย
แล้วปรับเปลี่ยนสิ่งเลวร้ายนั้นให้กลายเป็นสิ่งดี
คุณกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของคุณ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา John C. Maxwell ได้เคยสอนว่า
ผู้คนที่ประสบกับความเจ็บปวดมากพอในชีวิต เขาจะต้องเรียนรู้
คนที่ได้รับการเรียนรู้มากพอในชีวิต เขาจะได้รับความสามารถที่จะจัดการชีวิตได้
คุณคงเคยมีประสบการณ์ในแต่ละขั้นตอนข้างต้น
คุณต้องมั่นใจว่า ทุกครั้งที่คุณเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้น
เป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์

Sydney Harris เขียนไว้ว่า
“ผู้ชนะย่อมรู้ว่าเขาจะต้องเรียนรู้อีกมากมาย
แม้คนอื่นจะมองว่าเขาเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ”
แต่ผู้พ่ายแพ้ต้องการให้คนอื่นมองเขาว่า “เป็นผู้ชำนาญ”
ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่า เขามีความรู้ในเรื่องนั้นแค่หางอึ่ง”

จงทุ่มเทที่จะเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากทุกสิ่งที่ผิดพลาด
เพื่อเป็นประสบการณ์ในชีวิต
บทเรียนพร้อมอยู่ที่นั่นแล้วสำหรับการเรียนรู้
แต่ความล้มเหลวจะไม่ยื่นมือออกไปและสอนคุณ
คุณต้องเต็มใจที่จะเป็นมิตรสนิทกับความล้มเหลว
ด้วยการยึดฉวยความล้มเหลวให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้

เก็บความและเรียบเรียงจากบทความเรื่อง Making Failure Your Friend
เขียนโดย Dr. John C. Maxwell

พระธรรมภาวนา

สดุดี 22:24 (TBS)
เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียนต่อความทุกข์ยากของผู้ที่ทุกข์ใจ
และพระองค์มิได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา เมื่อเขาร้องทูล พระองค์ทรงฟัง

สดุดี 71:20 (IBS)
แม้พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ประสบความทุกข์มากมายและขมขื่น
พระองค์จะทรงทำให้ชีวิตของข้าพระองค์กลับคืนสู่สภาพดีอีกครั้ง
จากที่ลึกของโลก
พระองค์จะทรงดึงข้าพระองค์ขึ้นมาอีก

สดุดี 119:71(TBS)
ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก
เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์

2โครินธ์ 1:4 (TBS)
พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้น ที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยความชูใจ ซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า

อิสยาห์ 1:53:3, 10-11 (IBS)
“...เขาถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง
เป็นคนเจ้าทุกข์และคุ้นเคยกับความทุกข์ทรมาน
เป็นคนที่ใครๆ เบือนหน้าหนี
เขาถูกเหยียบหยาม และเราก็ไม่ได้นับถือเขา (ข้อ 3)
...แต่...พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองในมือของเขา
หลังจากที่ชีวิตจิตใจของเขาต้องทุกข์ทรมานแล้ว
เขาจะได้เห็นแสงสว่างแห่งชีวิต และเขาจะพึงพอใจ
โดยความรู้ของเขา ผู้รับใช้ที่ชอบธรรมของเรา
จะทำให้คนเป็นอันมากมายกลายเป็นผู้ชอบธรรม
และเขาจะแบกความชั่วช้าของคนเหล่านั้น” (ข้อ 10-11)

01 มีนาคม 2554

กุญแจสู่ความบริสุทธิ์และสันติสุข

ท่านในฐานะบุตรของพระเจ้า จงเข้าใกล้พระองค์
การสัมพันธ์สัมผัสพระองค์จะเป็นยารักษาความป่วยไข้ทั้งหลายในชีวิตของท่าน

จงจำไว้ว่า สัจจะความจริงนั้นมีหลายด้าน
จงมีใจรักที่อ่อนโยนและจงอดทนต่อผู้ที่ไม่เห็นสัจจะอย่างที่ท่านเห็น

การที่ท่านสามารถแยกแยะความจริงในชีวิต
ย่อมเป็นกุญแจนำไปสู่ความบริสุทธิ์และสันติสุข และ
การที่ท่านแยกแยะได้นั้นก็ด้วยการช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อท่าน

จงเรียนรู้จากชีวิตของพระองค์มากยิ่งขึ้น
ดำเนินชีวิตอยู่ต่อหน้าพระองค์เสมอ
จงนมัสการพระองค์ในทุกขณะจิต

องค์พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวในสวนเกธเสมนีว่า
“...ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด...” (มัทธิว 26:39)
พระคริสต์ไม่ได้บอกว่า ไม่มี “ถ้วย” แห่งความทุกข์โศกที่จะต้องดื่ม

พระคริสต์ถูกเฆี่ยน ถ่มน้ำลายรด แล้วถูกตรึงบนกางเขน และ
บนกางเขนพระคริสต์พูดว่า
“โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” (ลูกา 23:34)
พระคริสต์ไม่ได้พูดว่า พวกเขาไม่ได้กระทำผิด

เมื่อเปโตร สาวกของพระคริสต์ แนะนำให้พระองค์หนีไปจากกางเขน
พระคริสต์พูดว่า “อ้ายซาตาน จงไปให้พ้น” (มาระโก 8:33)

เมื่อสาวกของพระคริสต์ไม่สามารถที่จะรักษาเด็กที่เป็นลมบ้าหมู
พระองค์กล่าวว่า “แต่ผีชนิดนี้ไม่เคยถูกขับออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร” (มัทธิว 17:21)
พระองค์ไม่ได้พูดว่า “เจ้านึกเอาเองว่าเด็กนั้นไม่สบาย ไม่มีอะไรผิดปกตินี่”

เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า
“พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินที่จะทอดพระเนตรการชั่ว” (ฮาบากุก 1:13)
นั่นหมายความว่า พระเจ้าจะไม่ใส่ร้ายประชากรของพระองค์
พระเจ้าทรงเห็นสิ่งดีในประชากรของพระองค์ด้วย

แต่จงจำไว้ว่า “ครั้นพระองค์เสด็จมาใกล้เห็นกรุงแล้ว ก็กันแสงสงสารกรุงนั้น”(ลูกา 19:41)