28 มีนาคม 2554

การรับใช้กับการอธิษฐาน

อะไร ที่ไหน ที่เป็นแหล่งพลังจิตวิญญาณสำหรับคนทำงานของพระเจ้า?
อะไร อย่างไร ที่จะช่วยปกป้องพวกเขาจากการที่ต้อง
“มึนทึมทึบ”
“อึ้ง ไม่พูดไม่จา”
“การแสดงสัมพันธภาพที่เย็นชา หรือทำเป็นธรรมเนียม (แบบขอไปที)”
“คนที่มีโครงการ แผนงานมากมาย”
“คนที่มีนัดหมายเต็มไปหมด”
แต่ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเขาไปทำ “จิตใจ” ของตนตกหล่นไว้ที่ไหนท่ามกลางกิจการงานของเขา?

อะไรที่ช่วยให้คนทำงานของพระเจ้าเป็นคนที่...
“กระปรี้กระเปร่า”
“มีชีวิตชีวา”
“เปี่ยมไปด้วยพลัง”
“เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น”

อะไรที่ช่วยให้คนทำงานของพระเจ้าเป็นคนที่...
“เทศนาและสั่งสอน”
“ให้การปรึกษา”
“มีชีวิตประจำวันด้วยชีวิต...
ที่ตื่นตาตื่นใจ
ที่ชื่นชมยินดี
ที่ซาบซึ้งและขอบคุณ
ที่สรรเสริญ ยกย่องพระเจ้า”

คำถามเหล่านี้ต้องการชวนเชิญให้ค้นหาเจาะลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตของแต่ละคน กับ กิจการงานที่เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้กระทำในชีวิตของแต่ละคน ซึ่งเราเชื่ออีกกว่า การกระทำกิจการงานในแต่ละวันคือการทำงานรับใช้พระประสงค์ของพระเจ้า หรือ เป็นชีวิตที่ทำงานรับใช้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขอเชิญชวนให้เราช่วยกันค้นหาเจาะลึกถึงสัมพันธภาพของกิจการงานในชีวิตที่เราทำในแต่ละวันกับจิตใจและจิตวิญญาณของเรา

การทำงานที่พระเจ้าทรงเรียก หรือ ใช้คำให้หรูหน่อยในภาษาไทยก็คือการทำพันธกิจ (แต่จะมีความหมายลึกซึ้งแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) นั้นเป็นการที่เรารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ในการนำข่าวดีให้ถึงคนที่ตกอยู่ในสภาพที่
“ยากจนจะได้กลับมีคุณค่า ความหมายในชีวิต”
“บอดใบ้จะได้กลับมองเห็นอีกครั้งหนึ่ง และ รู้เท่าทัน”
“ถูกจองจำหมดอิสรภาพในชีวิตจะได้กลับมีความเป็นไทในชีวิต”
“ถูกทำร้ายทำลายจะได้รับการเยียวยารักษา”
“และประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ทรงกระทำการของพระองค์ในชีวิตและชุมชนของมนุษย์”
(เขียนประยุกต์จาก ลูกา 4:18; อิสยาห์ 58:6, 61:1-2)

การทำพันธกิจจึงเป็นการทำงานรับใช้ตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่ามกลางชีวิตของผู้คนที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อคนเหล่านั้นจะกลับมารับการฟื้นคืนชีวิตใหม่อันเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ที่พระองค์ทรงสร้าง(ยอห์น 10:10) ที่องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพลิกฟื้นจิตวิญญาณที่อยู่ภายในของแต่ละคนขึ้นใหม่ ผ่านการภาวนาอธิษฐาน ทั้งในที่สงบเปล่าเปลี่ยว ในทะเลทราย บนยอดเขา ริมทะเล ในบ้านในครอบครัว ในที่ทำงานแต่ละวัน ท่ามกลางความว้าวุ่นในตลาดหุ้น และ การค้า หรือเวลาส่วนตัวกับพระเจ้า ทั้งสิ้นนี้เพื่อเปิดชีวิตของเราแต่ละคนต่อพระเจ้า เปิดจิตวิญญาณ เปิดความคิด เปิดจิตใจ เปิดการดำเนินชีวิตของเราให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จเข้ามาเพื่อพลิกฟื้นชำระชีวิตจิตวิญญาณของเราขึ้นใหม่ บางครั้งบางคนที่ร้องทูล คร่ำครวญร้องขอต่อพระองค์ ให้พระบิดาโปรดทรงเมตตาและช่วยลูกของพระองค์ บ่อยครั้งเป็นการเพ่งพิจารณา ไตร่ตรอง ถึงความรักเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เหนือคำกล่าวอ้างบรรยายใดๆ

ทุกวันนี้ บ่อยครั้งที่คริสเตียนตกอยู่ในกับดักของการทดลองที่แยกพันธกิจออกจากชีวิตจิตวิญญาณ แยกการรับใช้จากการอธิษฐาน หรือ การมีเวลาที่ส่วนตัวกับพระเจ้า เสียงภายในส่วนลึกจากชีวิตของเรามักให้เหตุผลว่า
“เรามีงานยุ่งมากไม่มีเวลาจะอธิษฐาน”
“เรามีหลายเรื่องหลายราวที่จะต้องให้การเอาใจใส่”
“หลายคนที่เราจะต้องให้การรับผิดชอบ”
“หลายคนที่มีบาดแผลฉกรรจ์ในชีวิตที่เราจะต้องรักษาเย็บชุน”

บางคนมองว่าการอธิษฐานมีไว้สำหรับคนที่มีเวลาเหลือเฟือ บ้างก็คิดว่าเขาจะอธิษฐานเมื่อมีเวลาว่าง หรือเขาอธิษฐานเมื่อเขาไม่ต้องทำงานหรือเมื่อมีเวลาไปรีทรีต บางคนที่มองว่าการอธิษฐานไม่เห็นเกี่ยวข้องกับงานที่ตนเองต้องทำในแต่ละวัน เขากลับมีทัศนคติว่า การอธิษฐานเป็นกิจกรรมของพวกใช้ชีวิตสันโดษในที่เงียบที่ลับ ที่แยกตัวเองออกไปอยู่ต่างหากจากคนอื่น คนพวกนี้จะไม่มาเกี่ยวข้องกับพันธกิจที่ตนทำอยู่ แต่ก็มีบางคนเช่นกันที่มุ่งมั่นตั้งใจอธิษฐานเท่านั้นและเห็นว่าการทำพันธกิจเป็นงานของคนอื่น

การคิดเช่นว่านี้อันตรายต่อชีวิตจิตวิญญาณ เป็นอันตรายต่อความเข้าใจในการทำพันธกิจและชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า การอธิษฐานและการรับใช้เป็นเนื้อเดียวกันในชีวิตของคริสเตียนมิสามารถแยกออกจากกันหรืออยู่ต่างหากได้ ทั้งสองนั้นต่างหนุนเนื่องเสริมแรงแก่กันและกัน การรับใช้คือการอธิษฐาน การอธิษฐานเป็นการรับใช้

สิ่งที่ต้องการเชิญชวนให้เราค้นหาเจาะลึกคือ ใน “งานรับใช้พระเจ้า” นั้น เรามิได้กระทำเพราะเราเห็นว่าเป็นสิ่งดี หรือ การกระทำดี ที่คริสเตียนควรกระทำ แต่ที่เรากระทำพันธกิจ หรือ ทำงานรับใช้พระเจ้าในลักษณะที่หลากหลายนั้นก็เพื่อที่จะช่วยให้ผู้คน “ระลึกได้” ถึงพระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ หัวใจของการทำพันธกิจคือให้แต่ละคน “ระลึกถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์” ที่มีต่อชีวิตของแต่ละคนและชุมชน

ตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่ ลูกา 24: 1-9 สาวกสตรีที่ไปยังอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซูคริสต์ และพบกับทูตสวรรค์ 2 ตน บอกว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ในอุโมงค์ฝังศพแล้ว ทูตทั้งสองชี้แนะให้เหล่าสาวกสตรี “ระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูคริสต์” ที่ “7ว่า 'บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่'” และพระธรรมตอนนี้บันทึกต่อไปว่า 8เขาจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ได้ 9และกลับไปจากอุโมงค์ แล้วบอกเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นแก่สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ทั้งหลายด้วย” พันธกิจที่ทูตสวรรค์ทั้งสองที่ได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้าคือช่วยให้สาวกสตรีเหล่านั้น “ระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูคริสต์” เมื่อระลึกได้เช่นนั้น พวกเธอรีบไปแจ้งข่าวดีนี้แก่สาวกคนอื่นๆ

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน และ ที่เมืองเอมมาอูส (อ่านลูกา 24:13-33) สาวกทั้งสองเศร้าใจเกี่ยวกับการตายของพระเยซูคริสต์ ที่ผิดคาดจากสิ่งที่เขาเชื่อและหวังไว้ แต่เขาเริ่มตาสว่างและจำได้ว่า คนที่เดินทางมากับเขาและอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเทียบเคียงคำทำนายในพระคัมภีร์กับชีวิตของพระเยซูคริสต์เอง ทั้งสองจำ หรือ “ระลึกได้” ว่าคนนี้เป็นพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงทำพิธีมหาสนิท เมื่อพระองค์ “หักขนมปัง” เขาทั้งสองจึงลุกขึ้นและเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็มทันที

30ต่อมาเมื่อพระองค์เสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปังโมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้เขา 31ตาของเขาก็หายฟางและเขาก็รู้จักพระองค์ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา 32เขาจึงพูดกันว่า “ใจเราเร่าร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสกับเราตามทาง เมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังมิใช่หรือ” 33แล้วคนทั้งสองนั้นก็ลุกขึ้นในโมงนั้นเอง กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และพวกสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมทั้งพรรคพวก”

ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อพระเยซูทรงสถาปนาพิธีมหาสนิท ลูกา 22:19 ได้บันทึกไว้ว่า 19พระองค์ทรงหยิบขนมปัง โมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา...” การทำพันธกิจของพระเจ้านั้น เพื่อช่วยให้ผู้คนได้ “ระลึกถึง” หรือ “จำได้ถึง” พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นการที่ช่วยให้ผู้คนได้เปิดชีวิตออกเพื่อรับการเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตของตนจากพระคริสต์, ระลึกถึงการทรงนำของพระคริสต์ในชีวิตของเราแต่ละคน, และระลึกถึงการที่พระคริสต์ทรงหนุนเสริมค้ำชูในชีวิตของเรา

ในวันนี้ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด หรือชีวิตอยู่ในสถานการณ์เช่นใด ให้เราระลึกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราแต่ละคน เพื่อเราจะไม่หลงทาง ไม่ดื้อรั้น และไม่อวดดี ที่สำคัญเพื่อเราจะได้เดินไปบนเส้นทางชีวิตที่พระองค์ทรงเตรียมสำหรับเราแต่ละคน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น