อะไร อย่างไร ที่จะช่วยปกป้องพวกเขาจากการที่ต้อง
“มึนทึมทึบ”
“อึ้ง ไม่พูดไม่จา”
“การแสดงสัมพันธภาพที่เย็นชา หรือทำเป็นธรรมเนียม (แบบขอไปที)”
“คนที่มีโครงการ แผนงานมากมาย”
“คนที่มีนัดหมายเต็มไปหมด”
แต่ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเขาไปทำ “จิตใจ” ของตนตกหล่นไว้ที่ไหนท่ามกลางกิจการงานของเขา?
อะไรที่ช่วยให้คนทำงานของพระเจ้าเป็นคนที่...
“กระปรี้กระเปร่า”
“มีชีวิตชีวา”
“เปี่ยมไปด้วยพลัง”
“เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น”
อะไรที่ช่วยให้คนทำงานของพระเจ้าเป็นคนที่...
“เทศนาและสั่งสอน”
“ให้การปรึกษา”
“มีชีวิตประจำวันด้วยชีวิต...
ที่ตื่นตาตื่นใจ
ที่ชื่นชมยินดี
ที่ซาบซึ้งและขอบคุณ
ที่สรรเสริญ ยกย่องพระเจ้า”
คำถามเหล่านี้ต้องการชวนเชิญให้ค้นหาเจาะลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตของแต่ละคน กับ กิจการงานที่เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้กระทำในชีวิตของแต่ละคน ซึ่งเราเชื่ออีกกว่า การกระทำกิจการงานในแต่ละวันคือการทำงานรับใช้พระประสงค์ของพระเจ้า หรือ เป็นชีวิตที่ทำงานรับใช้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขอเชิญชวนให้เราช่วยกันค้นหาเจาะลึกถึงสัมพันธภาพของกิจการงานในชีวิตที่เราทำในแต่ละวันกับจิตใจและจิตวิญญาณของเรา
การทำงานที่พระเจ้าทรงเรียก หรือ ใช้คำให้หรูหน่อยในภาษาไทยก็คือการทำพันธกิจ (แต่จะมีความหมายลึกซึ้งแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) นั้นเป็นการที่เรารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ในการนำข่าวดีให้ถึงคนที่ตกอยู่ในสภาพที่
“ยากจนจะได้กลับมีคุณค่า ความหมายในชีวิต”
“บอดใบ้จะได้กลับมองเห็นอีกครั้งหนึ่ง และ รู้เท่าทัน”
“ถูกจองจำหมดอิสรภาพในชีวิตจะได้กลับมีความเป็นไทในชีวิต”
“ถูกทำร้ายทำลายจะได้รับการเยียวยารักษา”
“และประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ทรงกระทำการของพระองค์ในชีวิตและชุมชนของมนุษย์”
(เขียนประยุกต์จาก ลูกา 4:18; อิสยาห์ 58:6, 61:1-2)
การทำพันธกิจจึงเป็นการทำงานรับใช้ตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่ามกลางชีวิตของผู้คนที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อคนเหล่านั้นจะกลับมารับการฟื้นคืนชีวิตใหม่อันเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ที่พระองค์ทรงสร้าง(ยอห์น 10:10) ที่องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพลิกฟื้นจิตวิญญาณที่อยู่ภายในของแต่ละคนขึ้นใหม่ ผ่านการภาวนาอธิษฐาน ทั้งในที่สงบเปล่าเปลี่ยว ในทะเลทราย บนยอดเขา ริมทะเล ในบ้านในครอบครัว ในที่ทำงานแต่ละวัน ท่ามกลางความว้าวุ่นในตลาดหุ้น และ การค้า หรือเวลาส่วนตัวกับพระเจ้า ทั้งสิ้นนี้เพื่อเปิดชีวิตของเราแต่ละคนต่อพระเจ้า เปิดจิตวิญญาณ เปิดความคิด เปิดจิตใจ เปิดการดำเนินชีวิตของเราให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จเข้ามาเพื่อพลิกฟื้นชำระชีวิตจิตวิญญาณของเราขึ้นใหม่ บางครั้งบางคนที่ร้องทูล คร่ำครวญร้องขอต่อพระองค์ ให้พระบิดาโปรดทรงเมตตาและช่วยลูกของพระองค์ บ่อยครั้งเป็นการเพ่งพิจารณา ไตร่ตรอง ถึงความรักเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เหนือคำกล่าวอ้างบรรยายใดๆ
ทุกวันนี้ บ่อยครั้งที่คริสเตียนตกอยู่ในกับดักของการทดลองที่แยกพันธกิจออกจากชีวิตจิตวิญญาณ แยกการรับใช้จากการอธิษฐาน หรือ การมีเวลาที่ส่วนตัวกับพระเจ้า เสียงภายในส่วนลึกจากชีวิตของเรามักให้เหตุผลว่า
“เรามีงานยุ่งมากไม่มีเวลาจะอธิษฐาน”
“เรามีหลายเรื่องหลายราวที่จะต้องให้การเอาใจใส่”
“หลายคนที่เราจะต้องให้การรับผิดชอบ”
“หลายคนที่มีบาดแผลฉกรรจ์ในชีวิตที่เราจะต้องรักษาเย็บชุน”
บางคนมองว่าการอธิษฐานมีไว้สำหรับคนที่มีเวลาเหลือเฟือ บ้างก็คิดว่าเขาจะอธิษฐานเมื่อมีเวลาว่าง หรือเขาอธิษฐานเมื่อเขาไม่ต้องทำงานหรือเมื่อมีเวลาไปรีทรีต บางคนที่มองว่าการอธิษฐานไม่เห็นเกี่ยวข้องกับงานที่ตนเองต้องทำในแต่ละวัน เขากลับมีทัศนคติว่า การอธิษฐานเป็นกิจกรรมของพวกใช้ชีวิตสันโดษในที่เงียบที่ลับ ที่แยกตัวเองออกไปอยู่ต่างหากจากคนอื่น คนพวกนี้จะไม่มาเกี่ยวข้องกับพันธกิจที่ตนทำอยู่ แต่ก็มีบางคนเช่นกันที่มุ่งมั่นตั้งใจอธิษฐานเท่านั้นและเห็นว่าการทำพันธกิจเป็นงานของคนอื่น
การคิดเช่นว่านี้อันตรายต่อชีวิตจิตวิญญาณ เป็นอันตรายต่อความเข้าใจในการทำพันธกิจและชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า การอธิษฐานและการรับใช้เป็นเนื้อเดียวกันในชีวิตของคริสเตียนมิสามารถแยกออกจากกันหรืออยู่ต่างหากได้ ทั้งสองนั้นต่างหนุนเนื่องเสริมแรงแก่กันและกัน การรับใช้คือการอธิษฐาน การอธิษฐานเป็นการรับใช้
สิ่งที่ต้องการเชิญชวนให้เราค้นหาเจาะลึกคือ ใน “งานรับใช้พระเจ้า” นั้น เรามิได้กระทำเพราะเราเห็นว่าเป็นสิ่งดี หรือ การกระทำดี ที่คริสเตียนควรกระทำ แต่ที่เรากระทำพันธกิจ หรือ ทำงานรับใช้พระเจ้าในลักษณะที่หลากหลายนั้นก็เพื่อที่จะช่วยให้ผู้คน “ระลึกได้” ถึงพระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ หัวใจของการทำพันธกิจคือให้แต่ละคน “ระลึกถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์” ที่มีต่อชีวิตของแต่ละคนและชุมชน
ตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่ ลูกา 24: 1-9 สาวกสตรีที่ไปยังอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซูคริสต์ และพบกับทูตสวรรค์ 2 ตน บอกว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ในอุโมงค์ฝังศพแล้ว ทูตทั้งสองชี้แนะให้เหล่าสาวกสตรี “ระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูคริสต์” ที่ “7ว่า 'บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่'” และพระธรรมตอนนี้บันทึกต่อไปว่า “8เขาจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ได้ 9และกลับไปจากอุโมงค์ แล้วบอกเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นแก่สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ทั้งหลายด้วย” พันธกิจที่ทูตสวรรค์ทั้งสองที่ได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้าคือช่วยให้สาวกสตรีเหล่านั้น “ระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูคริสต์” เมื่อระลึกได้เช่นนั้น พวกเธอรีบไปแจ้งข่าวดีนี้แก่สาวกคนอื่นๆ
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน และ ที่เมืองเอมมาอูส (อ่านลูกา 24:13-33) สาวกทั้งสองเศร้าใจเกี่ยวกับการตายของพระเยซูคริสต์ ที่ผิดคาดจากสิ่งที่เขาเชื่อและหวังไว้ แต่เขาเริ่มตาสว่างและจำได้ว่า คนที่เดินทางมากับเขาและอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเทียบเคียงคำทำนายในพระคัมภีร์กับชีวิตของพระเยซูคริสต์เอง ทั้งสองจำ หรือ “ระลึกได้” ว่าคนนี้เป็นพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงทำพิธีมหาสนิท เมื่อพระองค์ “หักขนมปัง” เขาทั้งสองจึงลุกขึ้นและเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็มทันที
“30ต่อมาเมื่อพระองค์เสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปังโมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้เขา 31ตาของเขาก็หายฟางและเขาก็รู้จักพระองค์ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา 32เขาจึงพูดกันว่า “ใจเราเร่าร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสกับเราตามทาง เมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังมิใช่หรือ” 33แล้วคนทั้งสองนั้นก็ลุกขึ้นในโมงนั้นเอง กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และพวกสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมทั้งพรรคพวก”
ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อพระเยซูทรงสถาปนาพิธีมหาสนิท ลูกา 22:19 ได้บันทึกไว้ว่า “19พระองค์ทรงหยิบขนมปัง โมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา...” การทำพันธกิจของพระเจ้านั้น เพื่อช่วยให้ผู้คนได้ “ระลึกถึง” หรือ “จำได้ถึง” พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นการที่ช่วยให้ผู้คนได้เปิดชีวิตออกเพื่อรับการเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตของตนจากพระคริสต์, ระลึกถึงการทรงนำของพระคริสต์ในชีวิตของเราแต่ละคน, และระลึกถึงการที่พระคริสต์ทรงหนุนเสริมค้ำชูในชีวิตของเรา
ในวันนี้ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด หรือชีวิตอยู่ในสถานการณ์เช่นใด ให้เราระลึกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราแต่ละคน เพื่อเราจะไม่หลงทาง ไม่ดื้อรั้น และไม่อวดดี ที่สำคัญเพื่อเราจะได้เดินไปบนเส้นทางชีวิตที่พระองค์ทรงเตรียมสำหรับเราแต่ละคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น