อะไรคือสิ่งที่จำเป็นในการเป็นผู้นำที่มีความยืดหยุ่นเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของชุมชนคริสตจักร
และองค์กรในสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยุ่งเหยิง และ สับสน?
โค้ช
ท่านหนึ่งมักนำคำพูดของประธานาธิบดี แฮรี่ ทรูแมน พูดกับคนที่ท้อแท้ บ่นว่าเกี่ยวกับการกดดันและความเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงานในองค์กรที่ตนนำและทำงานว่า...
“ถ้าคุณทนความร้อนไม่ไหวก็ออกไปจากห้องครัว”
ไม่ว่า ผู้นำประเทศ ผู้นำทีมนักกีฬา
ผู้นำทางการค้าธุรกิจ ผู้นำองค์กรต่าง ๆ หรือ แม้แต่ผู้นำทางศาสนา หรือ คริสตจักร
รวมถึงศิษยาภิบาลด้วย ต่างต้องพบประสบกับภาวะกดดัน ความขัดแย้งเห็นต่าง การแย่งชิงผลประโยชน์ ชื่อเสียง
การยอมรับ การเอาแพ้เอาชนะอย่างร้อนแรง ทุกคนที่ท่านนำต่างมุ่งมองมายังตัวท่านในฐานะผู้นำองค์กร
อย่างที่นักดนตรีทุกคนในวงออเคสตร้าต่างต้องจ้องมองมายังที่ “ไม้ที่ให้จังหวะ
เสียงหนักเบา” ของวาทยากร
ความร้อนแรงของห้องครัวไม่ใช่แค่สิ่งที่
หัวหน้าเชฟ (หัวหน้าพ่อ/แม่ครัว) ต้องอดทนเท่านั้น แต่เป็นสิ่งสร้าง “เชฟมือทอง”
ด้วย กล่าวคือในภาวะที่ “ร้อนแรง” “วุ่นวาย” เหล่านี้กลับเป็นเบ้าหลอมคุณลักษณะ
อัตลักษณ์ และเสริมสร้างสมรรถนะของผู้นำคนนั้นด้วย
ความร้อนแรงที่กดดันเป็นสิ่งที่เสริมสร้างหล่อหลอมให้
“เชฟ” เป็นพ่อครัวที่ประสบความสำเร็จในการทำและปรุงอาหารจานเด็ดที่โด่งดัง
นี่คือเหตุผลว่าทำไมความเป็นผู้นำจึงเป็นเรื่องยาก
ความเป็นผู้นำไม่ได้เกิดขึ้นจากการให้ตำแหน่งของงานใดงานหนึ่ง จนกว่าผู้นำคนนั้นจะถูกผลักดันให้อยู่ท่ามกลางงานนั้น
อย่างที่เราท่านเห็นกันทนโท่ในปัจจุบันนี้ ต่อให้คน ๆ นั้นเรียนจบปริญญาตรี โท
หรือปริญญาเอก แต่ไม่สามารถทำงานนำในงานนั้น หรือ รับผิดชอบในงานนั้นตามที่เรียนมา
ถ้าเขาไม่เคยมีประสบการณ์ตรงในสนามงานนั้นมาก่อน และยังขาดการสะท้อนคิด
สกัดบทเรียนจากประสบการณ์ ขาดการเรียนรู้จนตกตะกอนเป็น “ปัญญา” ในชีวิตและงานนั้นแล้ว
ต่อให้อ่านตำราร้อยเล่มพันเกวียน ต่อให้ไปร่วมฟังสัมมนาอบรมจนได้ประกาศนียบัตรติดเต็มผนังห้องทำงาน กลับมาที่ทำงานก็ยังเป็นผู้นำคนเดิม เบ้าหลอมตัวจริงของผู้นำในงานใดใด
อยู่ในสนามงานที่ผู้นำคนนั้นกำลังทำและรับผิดชอบ
ในเวลาที่ผู้นำคนนั้นเริ่มเป็นคน
“ถือหางเสือ” หรือ “เป็นผู้ควบคุมพวงมาลัย” งานที่รับผิดชอบ ในเวลานั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นของการ
“หลอมภาวะผู้นำตัวจริง” ในงานที่กำลังทำนั้น
ตัวอย่างเช่น การเป็น
“ผู้นำที่อภิบาล” ชีวิตและการทำพันธกิจคริสตจักร แต่ละคนจบจากพระคริสต์ธรรม สอนพระคัมภีร์ได้
สามารถเทศนาได้ ประกาศพระกิตติคุณได้ และ ฯลฯ แต่กิจกรรมที่เราทำเหล่านี้ได้
“อภิบาลชีวิต และ หนุนเสริมชีวิตสาวกพระคริสต์” ในคริสตจักรแห่งนั้นหรือไม่กลับเป็นคำถามตัวใหญ่
ในพระคริสต์ธรรมเป็นเบ้าหลอมให้เรามีความจริงจังจนเรียนจบตามหลักสูตรที่สถาบันแห่งนั้นกำหนด
ดังนั้น แต่ละคนจึงถูกหลอมออกมาเป็น “ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร....” เห็นไหมครับว่า...
ยังไม่ได้เป็นผู้อภิบาลชีวิต และ การทำพันธกิจของผู้คนที่ตนต้องดูแลเลี้ยงดู ไม่ว่าในคริสตจักร
ในโรงเรียน ในโรงพยาบาล...
แต่ถ้าวันใด
ที่ผู้สำเร็จหลักสูตรพระคริสต์ธรรมคนนั้นก้าวลงสู่สนามงานไม่ว่าในคริสตจักร
ในโรงเรียน โรงพยาบาล บ้านพักคนสูงอายุ ในกองทัพ ในหน่วยงาน ในเรือนจำ... เขาคนนั้นเริ่มรับการหล่อหลอมโดย
“เบ้าหลอม” สำหรับงานที่ต้องรับผิดชอบนั้น ๆ
ในกระบวนการหล่อหลอมแต่ละ
“เตา” และ “เบ้าหลอม” มีกระบวนการโดยทั่วไปคือ
การที่ต้องผ่านความร้อนในเตาหลอมและเทลงในเบ้าหลอมที่ร้อนแรงอย่างสูง นอกจากที่จะทำให้ทองหรือเหล็กนั้นอ่อนตัวลง
สิ่งที่แปลกปลอม ไม่เหมาะสมสำหรับงานนั้นจะถูกเผาไหม้ชำระให้บริสุทธิ์สำหรับงานนั้น
ๆ (หลายอย่างที่ติดตัวมา และ
ความรู้บางอย่างบางเรื่องจะถูกเผาไหม้ทิ้งถ้าไม่เหมาะสมกับงานที่รับผิดชอบ) แล้วพระเจ้าบรรจงเทน้ำทองคำบริสุทธิ์ลงในเบ้าหลอมสำหรับงานที่พระเจ้าให้รับผิดชอบตามพระประสงค์ของพระองค์
เมื่อนั้น คน ๆ นั้นก็จะเป็น “ผู้อภิบาลชีวิตและการทำพันธกิจ” หรือ
“เป็นผู้นำคนของพระเจ้า” สำหรับที่นั้น ๆ งานนั้น ๆ ที่เขาต้องรับผิดชอบ
คริสตจักร หรือ
พื้นที่งานที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบจะเป็น “เบ้าหลอม”
ตัวจริงที่จะสร้างผู้นำคนนั้น ๆ ขึ้นให้เหมาะสมกับงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่คำถามที่ได้รับบ่อย
ๆ คือ “แล้วฉันจะอยู่รอดหรือไม่ในภาวะร้อนแรงและกดดันเช่นนี้?” แทนที่จะถามว่า
“แล้วฉันจะเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการนำการทำงานเหล่านี้ได้อย่างไร?
ดังนั้น หากการสร้างผู้นำตัวจริงคือสถานการณ์แวดล้อมที่เป็นจริงของที่ทำงานนั้น
ๆ เป็นเบ้าหลอม “ภาวะผู้นำมือเยี่ยม” แล้ว อะไรคือสิ่งที่จำเป็นในการเป็นผู้นำในภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงในชุมชนคริสตจักร
และ องค์กรในที่ต่าง ๆ ที่ตกในสถานการณ์ของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และซับซ้อน ที่แตกกระจายเป็นเสี่ยง
ๆ? และมีความคิดเห็นที่หลากหลายของผู้คนในชุมชนคริสตจักร
หรือ คนในองค์กรที่มักเรียกร้องไปคนละทิศคนละทาง!? เราจะพัฒนาขีดความสามารถในการนำและอภิบาลชุมชนคริสตจักรของเราในสภาพที่กล่าว
ด้วยกระบวนการการตัดสินใจในภาวะที่สับสน ที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันได้อย่างไร?
จากงานวิจัยและการสัมภาษณ์ผู้นำและผู้อภิบาลที่ต้องทำงานนำการเปลี่ยนแปลงในภาวะวิกฤติ
และ เกิดการหยุดชะงักงันดังกล่าว สิ่งสำคัญจำเป็นที่ชัดเจนคือ ความร้อนกดดันในห้องครัวยังไม่สูงพอ หรือ
ความร้อนและความดันในเตาหลอมยังไม่สูงพอ ในเวลาเช่นนี้ผู้นำหรือผู้อภิบาลจะต้องพัฒนา
ทางอารมณ์ ที่ร่วมกันของ ความเข้มแข็งและความยืดหยุ่น ความเชื่อมั่นและความอ่อนน้อมถ่อมตน
ความเห็นอกเห็นใจและการยืนหยัด เป็นผู้นำที่ยืดหยุ่นนำผู้คนให้ผ่านภาวการณ์ที่หยุดชะงัก
คือคนที่ยอมตนที่จะผ่านภาวะที่ร้อนแรงของห้องครัวเข้าสู่กองไฟ
กองไฟที่ว่านี้ เป็นเหมือนเปลวไฟที่จะหลอมเหล็กให้อ่อนตัวที่ช่างตีเหล็กจะตีเหล็กนั้นขึ้นรูปตามที่ต้องการ
ความร้อนแรงที่ว่านี้คือ การสะท้อนคิดในตนเอง การสะท้อนคิดไตร่ตรองถึงจุดเปราะบางของตนเอง
ขอเน้นย้ำว่าไม่ใช่สถานการณ์ที่ร้อนแรง
สมรรถนะในการนำของผู้นำ
เกิดจากการก่อตัวของการสะท้อนคิดในตนเอง
ด้วยความสัตย์จริงแล้ว
ความอ่อนแอในตนเอง หรือ
แม้แต่การสะท้อนคิดถึงการดลใจของพระวิญญาณก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่จะต้องมีอยู่ในชีวิตของผู้นำเพื่อที่จะเป็นพลังในการก่อร่างสร้างคุณลักษณะของผู้นำ
และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยืนหยุ่นทางอารมณ์ด้วย จอห์น ดิวอี้
กล่าวหลายครั้งหลายคราว่า “เราไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ เราเรียนรู้จากการไตร่ตรองประสบการณ์ต่างหาก”
ในการก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำนั้นลุ่มลึกไปกว่า
“การเข้ารับตำแหน่ง” และ “กรอบรายละเอียดงานที่ต้องรับผิดชอบ” ของผู้นำ ต้องยอมรับว่ากิจกรรมพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำคือการไตร่ตรองตนเอง
การสะท้อนคิดใคร่ครวญถึงความเปราะบางของตนเองเป็นประจำ นี่เป็นกระบวนการที่อ่อนน้อมถ่อมตนเปิดชีวิตของตนในการยอมให้พระวิญญาณเข้ามาในสถานการณ์ชีวิตและการงานของเรา
ความท้าทายในการเป็นผู้นำที่เราต้องเผชิญหน้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความล้มเหลวที่เราประสบ
เพื่อทำให้เราเติบโตขึ้นในความรู้เท่าทันตระหนักชัดถึงความเปราะบางของตนเอง เราต้องเต็มใจที่จะเปิดตนเองออก
และกล้าเผชิญเปิดเผยถึงความอ่อนแอเปราะบางในตัวเรา
กษัตริย์ผู้ที่มักตกอยู่ในความหยิ่งผยอง
และตกอยู่ในความเปราะบางอ่อนแอของชีวิต ได้อธิษฐานขอต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตรวจค้นข้าพระองค์และทรงรู้จักจิตใจของข้าพระองค์
ขอทรงทดสอบข้าพระองค์และทรงนำความคิดของข้าพระองค์” เพื่อที่พระเจ้าจะทรงนำเขาไปในทางของพระองค์
การเปิดเผยและยอมรับในจุดอ่อนเปราะบางของตนเองในขณะของการนำ
เป็นการที่เราสัตย์ซื่อต่อหน้าพระเจ้า มองตนเองในกระจกด้วยสายตาที่เมตตาและกล้าหาญ
นำทีมงานและผู้คนของตนด้วยความกล้าหาญและสัตย์ซื่อจริงใจ โปร่งใส และ
ถ่อมตนด้วยความเชื่อมั่น และความร่วมมือกันจนกว่า ทั้งผู้นำและคนที่เขานำรวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
นี่คือไฟที่แปรเปลี่ยนคุณลักษณะและสมรรถนะ
มิใช่เป็นไฟที่มีเพียงความร้อนในห้องครัว
แต่เป็นเตาหลอมที่จะหลอมเชฟให้พร้อมที่ช่างตีเหล็กจะตีให้เป็น
“เชฟมือเยี่ยม” และนี่คือไฟแห่งการไตร่ตรองสะท้อนคิดในตนเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความซื่อสัตย์อ่อนน้อมถ่อมตน
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499