ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับขนาดใหญ่
หรือ จำนวนมาก เช่น โบสถ์นี้มีคนมานมัสการครั้งละ 5,000 คน โบสถ์หลังนี้ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้
เขาเป็นนักเขียนมืออาชีพ สามารถขายได้ทั่วโลก 200 ล้านเล่ม ถูกแปลเป็น 32 ภาษา...
หลายคนถึงกับหมดใจว่า ฉันจะเป็นคนสำคัญและประสบความสำเร็จไม่ได้
เพราะไม่มีทางที่ผมจะทำอย่างเขาได้
ขอบอกว่า สำหรับพระเยซูคริสต์พระองค์ไม่มีมุมมองเช่นนั้น และพระองค์ไม่ต้องการให้สาวกของพระองค์แม้แต่คนเดียวที่มีมุมมองเช่นนั้นด้วย
อยากจะบอกว่า การกระทำที่เล็กน้อย เรียบง่าย
ธรรมดาทั่วไปที่ท่านกระทำสามารถสร้างผลกระทบที่สำคัญยิ่งในแผ่นดินของพระเจ้า
ในลูกา 13:18-21 พระเยซูคริสต์ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึง
สิ่งที่ดูเล็กน้อยแต่สร้างผลกระทบที่สำคัญยิ่งใหญ่ต่อ “แผ่นดินของพระเจ้า” เช่น เมล็ดมัสตาร์ด
และ เชื้อ (ผงฟู หรือ ยีสต์) ที่แม่บ้านใส่ลงในแป้งที่ทำขนม จนเกิดการฟูขึ้นมากมาย
พระเยซูคริสต์ได้เปรียบเทียบ
“สิ่งเล็กจิ๋วแต่แจ๋ว” สองสิ่งที่ดูมีค่าเพียงน้อยนิดในตัวของมัน แต่มีสมรรถนะ ประสิทธิภาพในชีวิตของมันที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่เฉกเช่นแผ่นดินของพระเจ้า
และทุกวันนี้ในแต่ละตัวคนจะมี “สิ่งเล็กจิ๋วแต่แจ๋ว” ในตัวของตน ที่เมื่อทำแล้วจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินของพระเจ้า
“สิ่งเล็กจิ๋วแต่แจ๋ว” ของท่านมีอะไรบ้าง?
เราสามารถทำ
“สิ่งเล็กจิ๋วแต่แจ๋ว” ที่สร้างผลกระทบต่อแผ่นดินของพระเจ้า ด้วยกระบวนการ 3
ขั้นตอนคือ “ใส่ใจสักนิด รักเมตตาสักหน่อย
รับใช้ตามความจำเป็นต้องการ” ดังนี้
ใส่ใจสักนิด
ในยอห์น บทที่ 9
เกี่ยวกับเรื่องของคนตาบอดแต่กำเนิด เมื่อพระเยซูรักษาชายที่ตาบอดแต่กำเนิดให้เขาสามารถมองเห็นได้
เขาเข้าไปในธรรมศาลาไปเล่าเรื่องที่พระเยซูรักษาเขาจนเห็นได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับชายคนนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีนัก
เขาถูกขับไล่ออกจากธรรมศาลาหลังจากที่เล่าเรื่องการรักษาของพระเยซู “[35]
พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกยิวไล่คนนั้นออกไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบเขาจึงตรัสว่า
“ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?...” (ยอห์น 9:35 มตฐ.)
ชายที่เคยตาบอดคนนี้ในสายตาของบรรดาผู้นำศาสนายิวมองว่า
เป็นคนไร้ค่าไม่สำคัญ เพราะมองว่า “เขาเป็นคนตาบอด ที่นั่งขอทาน” ไม่มีใครสนใจเขา ขนาดที่เขากลับมามองเห็นได้อีกแล้วเข้าไปในสถานนมัสการพระเจ้ากลับถูกผู้นำศาสนาไล่ออกมา
เพราะถูกมองว่าเป็นคนบาปจึงตาบอดแต่กำเนิด เขากลายเป็นคนที่
“สังคมไม่ต้อนรับไม่ต้องการ” เขาเป็นผู้ที่ไร้คุณค่า แม้แต่ในสายตาของคนในศาสนา
แต่ใน ยอห์น 9:35
พระเยซูคริสต์ใส่ใจคนเล็กน้อยด้อยค่าเช่นนี้ พระองค์ตามไปหาและพูดคุยกับเขา
ชายคนนี้ไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไรเลย
ไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่ในเมืองนั้น เขาไม่สามารถทำอะไรนอกจากนั่งขอทานเพราะตาบอด ที่ผู้นำยิวมองว่าคนนี้เป็นคนบาปถึงเกิดมาเป็นเช่นนี้
แต่พระเยซูคริสต์กลับเข้าไปหาเขา พูดคุย และรักษาให้เขาสามารถมองเห็นได้ พระองค์ให้เวลาแก่เขา
ให้ความใส่ใจเยียวยารักษาเขา ให้ชีวิตใหม่แก่เขา พระองค์ให้คุณค่าในตัวเขา
คนทั่วไปคิดไม่ถึงว่า คนอย่างพระเยซูจะเข้าถึง
ใส่ใจ และทำอะไรกับชีวิตของคนที่ไร้ค่า แต่นี่ คือการวางรากฐาน และเสริมสร้าง
“แผ่นดินของพระเจ้า” บนโลกใบนี้ และนี่คือแบบอย่างที่พระคริสต์วางไว้ให้สาวกพระคริสต์ทุกคนกระทำตาม
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนให้เวลาชีวิตเข้าถึง
ใส่ใจ เยียวยา พัฒนาชีวิตใครบางคนที่สังคมไม่เห็นคุณค่า ที่คนอื่นไม่สนใจ อาจจะเป็นคนในครอบครัวของตนเอง
คนในชุมชนรอบบ้าน หรือ คนในที่ทำงาน/ในสถานศึกษา หรือในชุมชนสังคมที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ชีวิตคริสตจักรของเราคงแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างมาก
ผลกระทบที่เกิดจากการกระทำที่
“จิ๋ว” จะสร้างผลกระทบที่ “เจ๋ง” อย่างมีพลังกระทบต่อเนื่อง กล่าวคือ “พลังที่เจ๋ง”
ประการแรกคือ คนเล็กน้อยคนนั้นเกิดความรู้สึกมีคุณค่าในชีวิตของเขา
ทำให้เขามี “มุมมอง” ที่เห็นคุณค่าของคนเล็กน้อยด้อยค่าในคนอื่นว่า
เป็นคนมีคุณค่าเช่นเดียวกับเขา และ ให้เวลาชีวิต ทักษะ ความสามารถ
ทรัพยากรเท่าที่มีแก่คนเล็กน้อยคนอื่นที่เขาพบเห็น เพื่อเสริมสร้างคุณค่าชีวิตในคนเล็กน้อยเหล่านั้นขยายวงกว้างต่อไป การกระทำที่ “จิ๋วแต่แจ๋ง” นี้ได้สร้าง
“พลังกระทบที่ต่อเนื่องและทวีคูณ”
ประการที่สอง เกิดพลังนี้ในผู้กระทำที่
“จิ๋วแต่เจ๋ง” เองด้วย เมื่อการกระทำที่จิ๋วแต่เจ๋งเกิดผลเป็นรูปธรรมย่อมทำให้ผู้กระทำเกิดความมั่นใจ
รู้สึกถึงคุณค่าในการกระทำและชีวิตของตน เป็นแรงกระตุ้นให้แสวงการกระทำที่
“จิ๋วแต่เจ๋ง” ต่อ ๆ ไป และการเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมยังทำให้สมาชิกคริสตจักรคนอื่น
ๆ ที่เห็นเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำในสิ่งที่มีคุณค่าเช่นนี้บ้าง
รักเมตตาสักหน่อย
เราเริ่มต้นจากขั้น “จิ๋วแต่เจ๋ง”
ด้วยการเป็นฝ่าย “เข้าไปหา” ด้วยความใส่ใจ
และเข้าถึงชีวิตของผู้เล็กน้อยที่เราใส่ใจ ทำให้เราสามารถรู้ถึงสิ่งที่เป็นวิกฤติ
หรือ ความจำเป็นต้องการที่แท้จริงในชีวิตของเขา ซึ่งเป็นการเปิดทางให้เรา
“สำแดงความรักเมตตา” ต่อเขา
สตรีในคริสตจักรท่านหนึ่งจะใช้เวลาของตนเข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยเรื้อรัง
หรือ ผู้สูงอายุที่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ออกจากบ้านของตน เธอได้มีโอกาสพูดคุยด้วย ทำให้เธอรู้ว่า
“คนติดบ้าน” คนนั้นมีความจำเป็นต้องการอะไร และ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขา
“ติดบ้าน” (ไม่ไปไหนมาไหน) และมีความจำเป็นต้องการอะไรในชีวิตประจำวันของเขา และหาทางที่จะตอบสนองความจำเป็นต้องการนั้นตามความเหมาะสม
ด้วยการสำแดงความรักเมตตาเช่นนี้เป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจ
และ เกิดความสนใจของคนที่เธอไปเยี่ยม จนครั้งหนึ่งเจ้าบ้านที่ “ติดบ้าน”
เอ่ยถามเธอเมื่อเธอขอตัวที่จะไปเยี่ยมอีกบ้านหนึ่ง เขาถามว่าจะไปเยี่ยมใครต่อไปหรือ? เธอบอกชื่อ... เจ้าของบ้านก็เอ่ยขึ้นว่า เขาก็รู้จักคนนั้น ได้ข่าวว่าเขาเดินลำบาก
ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง? สตรีผู้มาเยี่ยมเล่าให้เขาฟัง เขาถามสตรีผู้มาเยี่ยมว่า เขาจะขอไปด้วยได้ไหม? สตรีจากคริสตจักรตอบรับด้วยรอยยิ้มและดีใจ เหตุการณ์เช่นนี้ได้ขยายออกเป็นวงกว้าง
ดำเนินเช่นนี้ไปหลายเดือนจนเกิดการไปมาหาสู่กันในกลุ่ม “คนติดบ้าน” และให้ความใส่ใจและช่วยเหลือกันและกัน
จากความรักและใส่ใจของสตรีคริสตจักรคนหนึ่ง
เชื่อมสัมพันธ์ให้ “คนติดบ้าน” เกิดการออกบ้านไปมาหาสู่พูดคุย
และใส่ใจช่วยเหลือกันด้วยความรักเมตตา เกิดการเปลี่ยนจาก “คนติดบ้าน”
ไปเป็นการไปมาหาสู่กัน ความรักของคน ๆ หนึ่ง ทำให้เกิดความรักเกี่ยวพันขึ้นในอีกหลาย
ๆ คน เกิดการผูกพันเอาใส่ใจกันและกันในกลุ่ม
ความรักเพียง
“กระจิ๋วหลิว” แต่ก่อเกิด “ชีวิตร่วมที่เจ๋ง” เกินกว่าที่จะคาดคิด
รักเมตตาสักนิด...ชีวิตพบคุณค่าเกินกว่าที่จินตนาการ
อย่าเพียงแต่คิด หรือ
มัววางแผนการใหญ่ คิดเล็ก ๆ แต่เริ่มลงมือทำตอนนี้เลยครับ! เริ่มต้นที่ตัวเรา แล้วเราจะพบว่า
เราจะทำอย่างไรต่อไป และนี่คือการทรงนำของพระเจ้ามิใช่หรือ? ก้าวต่อก้าว วันต่อวัน เดินไปกับองค์พระเยซูคริสต์ครับ
รับใช้ตามความจำเป็นต้องการ
จากทีมเยี่ยมเยียน “คนติดบ้าน”
ของชุมชน ที่เอาใจใส่ และ แบ่งปันความรักเมตตาแก่กันและกัน ต่อมาพบว่าคนกลุ่มนี้มีปัญหาหนึ่งที่เป็นปัญหาร่วมของพวกเขาคือ
การไปพบแพทย์ตามนัดที่โรงพยาบาลอำเภอ บ่อยครั้งที่ไม่ได้ไปตามแพทย์นัด ทำให้ขาดยา พบว่าปัญหาคือ
ค่ารถจากหมู่บ้านไปที่โรงพยาบาลอำเภอไป-กลับครั้งละ 200 บาทต่อคน ถ้าตรงกับเวลาที่เขาไม่มีเงิน
เขาก็ไม่ได้ไป เดือนนั้นก็ขาดยา
สตรีคริสตจักรท่านนี้เธอได้นำเรื่องนี้มาปรึกษาในคริสตจักรของเธอ
ในที่สุดคณะธรรมกิจคริสตจักรให้ใช้รถมอเตอร์ไซด์พ่วงของคริสตจักรรับ-ส่งสมาชิกกลุ่มคนติดบ้าน
เรื่องนี้เมื่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลทราบเรื่อง จึงขอพบกับสตรีคริสตจักรท่านนั้น ถามถึงความเป็นมาทั้งหมด
ผู้อำนวยการได้ให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสำรวจว่าในหมู่บ้านนี้และข้างเคียงมีผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องพบแพทย์และรับยาประจำจำนวนเท่าใด
ในที่สุด
เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยที่ต้องพบแพทย์จำนวนมาก และเป็นหมู่บ้านที่ผู้ป่วยมักขาดยา
ผู้อำนวยการจึงปรึกษากับทางคริสตจักร ขอใช้อาคารโบสถ์เป็นที่ให้บริการแก่ผู้ป่วยเรื้อรังในหมู่บ้านนั้นและข้างเคียง
จึงนำไปถึงการที่คริสตจักรกลายเป็นพื้นที่บริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเรื่องรังในหมู่บ้าน
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของสตรีคริสตจักรเพียงคนเดียวที่
“กระทำสิ่งที่จิ๋ว” ในชุมชน แต่เกิด “ผลที่แจ๋ว” ที่ก่อเกิดคุณภาพชีวิตในคนติดบ้าน
สู่ สุขภาพผู้ป่วยเรื้อรังในชุมชน พื้นที่คริสตจักรกลายเป็นพื้นที่บริการสุขภาพคนในชุมชน
คิดถึงคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์ที่ทรงสอนที่ว่า
“...ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ น้ำพระทัยของพระองค์เป็นเช่นไรในสวรรค์ ขอให้เป็นเช่นนั้นบนแผ่นดินโลกนี้...”
รับใช้คนละเล็กคนละน้อย
นี่เป็นเพียงสมาชิกคนเดียว
แต่ถ้าสมาชิกแต่ละคนในคริสตจักร (หมายถึงทุกคน) ต่างยอมรับใช้ในงานพันธกิจของคริสตจักรคนละเล็กละน้อยล่ะ
อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตและการทำพันธกิจของคริสตจักร และอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตและวุฒิภาวะทางความเชื่อของสมาชิกแต่ละคน? ชีวิตสมาชิกแต่ละคนจะเกิดผลขนาดไหน? แน่นอนครับ การที่แต่ละคนร่วมกันรับใช้ตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์คนละเล็กคนละน้อยสามารถสร้างให้เกิดผลมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
มีผลต่อคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้าบนโลกนี้อย่างชัดเจน
เมื่อแต่ละคนมีประสบการณ์ที่รับใช้คนละเล็กคนละน้อยแต่พบว่าเกิดผลมากมายเมื่อรวมกันเข้า
ขอท้าทายว่า ขอแต่ละท่านลองพิจารณาดูว่า ถ้าตนเองจะรับใช้ในคริสตจักรของตน จะรับใช้ในงานไหนพันธกิจอะไร
ที่ตนทำได้ดี และทำจนเกิดผลมาก ด้วยการรับใช้ที่ทำไม่มากแล้วยังสนุกอีกด้วย และนั่นจะเกิดผลกระทบที่มีพลังในชีวิตและพันธกิจของคริสตจักร
และในชีวิตประจำวันของตนเองด้วย
พระเจ้าแสวงหาคนที่เต็มใจที่จะทำให้พื้นที่สังคมชุมชนที่ตนมีชีวิตอยู่เกิดคุณค่าอย่างแตกต่าง
เราเพียงเต็มใจที่จะรับใช้พระองค์ท่ามกลางชุมชนผู้คนที่เล็กน้อย ด้วยจิตใจที่ชื่นชมยินดี
และพระองค์จะทำให้เกิดผลมากมายเกินกว่าที่เราท่านคาดคิด อีกทั้งกระทบต่อคุณภาพในแผ่นดินของพระเจ้าบนโลกนี้
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499