12 กันยายน 2563

“จิ๋วแต่แจ๋ว” ในแผ่นดินของพระเจ้า

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับขนาดใหญ่ หรือ จำนวนมาก เช่น โบสถ์นี้มีคนมานมัสการครั้งละ 5,000 คน โบสถ์หลังนี้ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ เขาเป็นนักเขียนมืออาชีพ สามารถขายได้ทั่วโลก 200 ล้านเล่ม ถูกแปลเป็น 32 ภาษา...

หลายคนถึงกับหมดใจว่า ฉันจะเป็นคนสำคัญและประสบความสำเร็จไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่ผมจะทำอย่างเขาได้  ขอบอกว่า สำหรับพระเยซูคริสต์พระองค์ไม่มีมุมมองเช่นนั้น และพระองค์ไม่ต้องการให้สาวกของพระองค์แม้แต่คนเดียวที่มีมุมมองเช่นนั้นด้วย อยากจะบอกว่า การกระทำที่เล็กน้อย เรียบง่าย ธรรมดาทั่วไปที่ท่านกระทำสามารถสร้างผลกระทบที่สำคัญยิ่งในแผ่นดินของพระเจ้า

ในลูกา 13:18-21 พระเยซูคริสต์ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึง สิ่งที่ดูเล็กน้อยแต่สร้างผลกระทบที่สำคัญยิ่งใหญ่ต่อ “แผ่นดินของพระเจ้า” เช่น เมล็ดมัสตาร์ด และ เชื้อ (ผงฟู หรือ ยีสต์) ที่แม่บ้านใส่ลงในแป้งที่ทำขนม จนเกิดการฟูขึ้นมากมาย

พระเยซูคริสต์ได้เปรียบเทียบ “สิ่งเล็กจิ๋วแต่แจ๋ว” สองสิ่งที่ดูมีค่าเพียงน้อยนิดในตัวของมัน แต่มีสมรรถนะ ประสิทธิภาพในชีวิตของมันที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่เฉกเช่นแผ่นดินของพระเจ้า และทุกวันนี้ในแต่ละตัวคนจะมี “สิ่งเล็กจิ๋วแต่แจ๋ว” ในตัวของตน ที่เมื่อทำแล้วจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินของพระเจ้า “สิ่งเล็กจิ๋วแต่แจ๋ว” ของท่านมีอะไรบ้าง? 

เราสามารถทำ “สิ่งเล็กจิ๋วแต่แจ๋ว” ที่สร้างผลกระทบต่อแผ่นดินของพระเจ้า ด้วยกระบวนการ 3 ขั้นตอนคือ “ใส่ใจสักนิด รักเมตตาสักหน่อย  รับใช้ตามความจำเป็นต้องการ” ดังนี้

ใส่ใจสักนิด

ในยอห์น บทที่ 9 เกี่ยวกับเรื่องของคนตาบอดแต่กำเนิด เมื่อพระเยซูรักษาชายที่ตาบอดแต่กำเนิดให้เขาสามารถมองเห็นได้ เขาเข้าไปในธรรมศาลาไปเล่าเรื่องที่พระเยซูรักษาเขาจนเห็นได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับชายคนนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีนัก เขาถูกขับไล่ออกจากธรรมศาลาหลังจากที่เล่าเรื่องการรักษาของพระเยซู  “[35] พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกยิวไล่คนนั้นออกไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบเขาจึงตรัสว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?...” (ยอห์น 9:35 มตฐ.)

ชายที่เคยตาบอดคนนี้ในสายตาของบรรดาผู้นำศาสนายิวมองว่า เป็นคนไร้ค่าไม่สำคัญ เพราะมองว่า “เขาเป็นคนตาบอด ที่นั่งขอทาน” ไม่มีใครสนใจเขา ขนาดที่เขากลับมามองเห็นได้อีกแล้วเข้าไปในสถานนมัสการพระเจ้ากลับถูกผู้นำศาสนาไล่ออกมา เพราะถูกมองว่าเป็นคนบาปจึงตาบอดแต่กำเนิด เขากลายเป็นคนที่ “สังคมไม่ต้อนรับไม่ต้องการ” เขาเป็นผู้ที่ไร้คุณค่า แม้แต่ในสายตาของคนในศาสนา

แต่ใน ยอห์น 9:35 พระเยซูคริสต์ใส่ใจคนเล็กน้อยด้อยค่าเช่นนี้ พระองค์ตามไปหาและพูดคุยกับเขา

ชายคนนี้ไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไรเลย ไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่ในเมืองนั้น เขาไม่สามารถทำอะไรนอกจากนั่งขอทานเพราะตาบอด ที่ผู้นำยิวมองว่าคนนี้เป็นคนบาปถึงเกิดมาเป็นเช่นนี้ แต่พระเยซูคริสต์กลับเข้าไปหาเขา พูดคุย และรักษาให้เขาสามารถมองเห็นได้ พระองค์ให้เวลาแก่เขา ให้ความใส่ใจเยียวยารักษาเขา ให้ชีวิตใหม่แก่เขา พระองค์ให้คุณค่าในตัวเขา

คนทั่วไปคิดไม่ถึงว่า คนอย่างพระเยซูจะเข้าถึง ใส่ใจ และทำอะไรกับชีวิตของคนที่ไร้ค่า แต่นี่ คือการวางรากฐาน และเสริมสร้าง “แผ่นดินของพระเจ้า” บนโลกใบนี้ และนี่คือแบบอย่างที่พระคริสต์วางไว้ให้สาวกพระคริสต์ทุกคนกระทำตาม

อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนให้เวลาชีวิตเข้าถึง ใส่ใจ เยียวยา พัฒนาชีวิตใครบางคนที่สังคมไม่เห็นคุณค่า ที่คนอื่นไม่สนใจ อาจจะเป็นคนในครอบครัวของตนเอง คนในชุมชนรอบบ้าน หรือ คนในที่ทำงาน/ในสถานศึกษา หรือในชุมชนสังคมที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ชีวิตคริสตจักรของเราคงแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างมาก

ผลกระทบที่เกิดจากการกระทำที่ “จิ๋ว” จะสร้างผลกระทบที่ “เจ๋ง” อย่างมีพลังกระทบต่อเนื่อง กล่าวคือ “พลังที่เจ๋ง”

ประการแรกคือ คนเล็กน้อยคนนั้นเกิดความรู้สึกมีคุณค่าในชีวิตของเขา ทำให้เขามี “มุมมอง” ที่เห็นคุณค่าของคนเล็กน้อยด้อยค่าในคนอื่นว่า เป็นคนมีคุณค่าเช่นเดียวกับเขา และ ให้เวลาชีวิต ทักษะ ความสามารถ ทรัพยากรเท่าที่มีแก่คนเล็กน้อยคนอื่นที่เขาพบเห็น เพื่อเสริมสร้างคุณค่าชีวิตในคนเล็กน้อยเหล่านั้นขยายวงกว้างต่อไป   การกระทำที่ “จิ๋วแต่แจ๋ง” นี้ได้สร้าง “พลังกระทบที่ต่อเนื่องและทวีคูณ”  

ประการที่สอง เกิดพลังนี้ในผู้กระทำที่ “จิ๋วแต่เจ๋ง” เองด้วย เมื่อการกระทำที่จิ๋วแต่เจ๋งเกิดผลเป็นรูปธรรมย่อมทำให้ผู้กระทำเกิดความมั่นใจ รู้สึกถึงคุณค่าในการกระทำและชีวิตของตน เป็นแรงกระตุ้นให้แสวงการกระทำที่ “จิ๋วแต่เจ๋ง” ต่อ ๆ ไป และการเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมยังทำให้สมาชิกคริสตจักรคนอื่น ๆ ที่เห็นเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำในสิ่งที่มีคุณค่าเช่นนี้บ้าง

รักเมตตาสักหน่อย

เราเริ่มต้นจากขั้น “จิ๋วแต่เจ๋ง” ด้วยการเป็นฝ่าย “เข้าไปหา” ด้วยความใส่ใจ และเข้าถึงชีวิตของผู้เล็กน้อยที่เราใส่ใจ ทำให้เราสามารถรู้ถึงสิ่งที่เป็นวิกฤติ หรือ ความจำเป็นต้องการที่แท้จริงในชีวิตของเขา ซึ่งเป็นการเปิดทางให้เรา “สำแดงความรักเมตตา” ต่อเขา

สตรีในคริสตจักรท่านหนึ่งจะใช้เวลาของตนเข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยเรื้อรัง หรือ ผู้สูงอายุที่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ออกจากบ้านของตน เธอได้มีโอกาสพูดคุยด้วย ทำให้เธอรู้ว่า “คนติดบ้าน” คนนั้นมีความจำเป็นต้องการอะไร และ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขา “ติดบ้าน” (ไม่ไปไหนมาไหน) และมีความจำเป็นต้องการอะไรในชีวิตประจำวันของเขา และหาทางที่จะตอบสนองความจำเป็นต้องการนั้นตามความเหมาะสม

ด้วยการสำแดงความรักเมตตาเช่นนี้เป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจ และ เกิดความสนใจของคนที่เธอไปเยี่ยม จนครั้งหนึ่งเจ้าบ้านที่ “ติดบ้าน” เอ่ยถามเธอเมื่อเธอขอตัวที่จะไปเยี่ยมอีกบ้านหนึ่ง เขาถามว่าจะไปเยี่ยมใครต่อไปหรือ? เธอบอกชื่อ... เจ้าของบ้านก็เอ่ยขึ้นว่า เขาก็รู้จักคนนั้น ได้ข่าวว่าเขาเดินลำบาก ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?   สตรีผู้มาเยี่ยมเล่าให้เขาฟัง เขาถามสตรีผู้มาเยี่ยมว่า เขาจะขอไปด้วยได้ไหม? สตรีจากคริสตจักรตอบรับด้วยรอยยิ้มและดีใจ เหตุการณ์เช่นนี้ได้ขยายออกเป็นวงกว้าง ดำเนินเช่นนี้ไปหลายเดือนจนเกิดการไปมาหาสู่กันในกลุ่ม “คนติดบ้าน” และให้ความใส่ใจและช่วยเหลือกันและกัน

จากความรักและใส่ใจของสตรีคริสตจักรคนหนึ่ง เชื่อมสัมพันธ์ให้ “คนติดบ้าน” เกิดการออกบ้านไปมาหาสู่พูดคุย และใส่ใจช่วยเหลือกันด้วยความรักเมตตา เกิดการเปลี่ยนจาก “คนติดบ้าน” ไปเป็นการไปมาหาสู่กัน ความรักของคน ๆ หนึ่ง ทำให้เกิดความรักเกี่ยวพันขึ้นในอีกหลาย ๆ คน เกิดการผูกพันเอาใส่ใจกันและกันในกลุ่ม

ความรักเพียง “กระจิ๋วหลิว” แต่ก่อเกิด “ชีวิตร่วมที่เจ๋ง” เกินกว่าที่จะคาดคิด
รักเมตตาสักนิด...ชีวิตพบคุณค่าเกินกว่าที่จินตนาการ

อย่าเพียงแต่คิด หรือ มัววางแผนการใหญ่ คิดเล็ก ๆ แต่เริ่มลงมือทำตอนนี้เลยครับ! เริ่มต้นที่ตัวเรา แล้วเราจะพบว่า เราจะทำอย่างไรต่อไป และนี่คือการทรงนำของพระเจ้ามิใช่หรือ? ก้าวต่อก้าว วันต่อวัน เดินไปกับองค์พระเยซูคริสต์ครับ

รับใช้ตามความจำเป็นต้องการ

จากทีมเยี่ยมเยียน “คนติดบ้าน” ของชุมชน ที่เอาใจใส่ และ แบ่งปันความรักเมตตาแก่กันและกัน ต่อมาพบว่าคนกลุ่มนี้มีปัญหาหนึ่งที่เป็นปัญหาร่วมของพวกเขาคือ การไปพบแพทย์ตามนัดที่โรงพยาบาลอำเภอ บ่อยครั้งที่ไม่ได้ไปตามแพทย์นัด ทำให้ขาดยา พบว่าปัญหาคือ ค่ารถจากหมู่บ้านไปที่โรงพยาบาลอำเภอไป-กลับครั้งละ 200 บาทต่อคน ถ้าตรงกับเวลาที่เขาไม่มีเงิน เขาก็ไม่ได้ไป เดือนนั้นก็ขาดยา

สตรีคริสตจักรท่านนี้เธอได้นำเรื่องนี้มาปรึกษาในคริสตจักรของเธอ ในที่สุดคณะธรรมกิจคริสตจักรให้ใช้รถมอเตอร์ไซด์พ่วงของคริสตจักรรับ-ส่งสมาชิกกลุ่มคนติดบ้าน เรื่องนี้เมื่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลทราบเรื่อง จึงขอพบกับสตรีคริสตจักรท่านนั้น ถามถึงความเป็นมาทั้งหมด ผู้อำนวยการได้ให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสำรวจว่าในหมู่บ้านนี้และข้างเคียงมีผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องพบแพทย์และรับยาประจำจำนวนเท่าใด

ในที่สุด เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยที่ต้องพบแพทย์จำนวนมาก และเป็นหมู่บ้านที่ผู้ป่วยมักขาดยา ผู้อำนวยการจึงปรึกษากับทางคริสตจักร ขอใช้อาคารโบสถ์เป็นที่ให้บริการแก่ผู้ป่วยเรื้อรังในหมู่บ้านนั้นและข้างเคียง จึงนำไปถึงการที่คริสตจักรกลายเป็นพื้นที่บริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเรื่องรังในหมู่บ้าน

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของสตรีคริสตจักรเพียงคนเดียวที่ “กระทำสิ่งที่จิ๋ว” ในชุมชน แต่เกิด “ผลที่แจ๋ว” ที่ก่อเกิดคุณภาพชีวิตในคนติดบ้าน สู่ สุขภาพผู้ป่วยเรื้อรังในชุมชน พื้นที่คริสตจักรกลายเป็นพื้นที่บริการสุขภาพคนในชุมชน

คิดถึงคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์ที่ทรงสอนที่ว่า “...ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ น้ำพระทัยของพระองค์เป็นเช่นไรในสวรรค์ ขอให้เป็นเช่นนั้นบนแผ่นดินโลกนี้...”

รับใช้คนละเล็กคนละน้อย

นี่เป็นเพียงสมาชิกคนเดียว แต่ถ้าสมาชิกแต่ละคนในคริสตจักร (หมายถึงทุกคน) ต่างยอมรับใช้ในงานพันธกิจของคริสตจักรคนละเล็กละน้อยล่ะ อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตและการทำพันธกิจของคริสตจักร และอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตและวุฒิภาวะทางความเชื่อของสมาชิกแต่ละคน? ชีวิตสมาชิกแต่ละคนจะเกิดผลขนาดไหน? แน่นอนครับ การที่แต่ละคนร่วมกันรับใช้ตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์คนละเล็กคนละน้อยสามารถสร้างให้เกิดผลมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ มีผลต่อคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้าบนโลกนี้อย่างชัดเจน  

เมื่อแต่ละคนมีประสบการณ์ที่รับใช้คนละเล็กคนละน้อยแต่พบว่าเกิดผลมากมายเมื่อรวมกันเข้า ขอท้าทายว่า ขอแต่ละท่านลองพิจารณาดูว่า ถ้าตนเองจะรับใช้ในคริสตจักรของตน จะรับใช้ในงานไหนพันธกิจอะไร ที่ตนทำได้ดี และทำจนเกิดผลมาก ด้วยการรับใช้ที่ทำไม่มากแล้วยังสนุกอีกด้วย และนั่นจะเกิดผลกระทบที่มีพลังในชีวิตและพันธกิจของคริสตจักร และในชีวิตประจำวันของตนเองด้วย

พระเจ้าแสวงหาคนที่เต็มใจที่จะทำให้พื้นที่สังคมชุมชนที่ตนมีชีวิตอยู่เกิดคุณค่าอย่างแตกต่าง เราเพียงเต็มใจที่จะรับใช้พระองค์ท่ามกลางชุมชนผู้คนที่เล็กน้อย ด้วยจิตใจที่ชื่นชมยินดี และพระองค์จะทำให้เกิดผลมากมายเกินกว่าที่เราท่านคาดคิด อีกทั้งกระทบต่อคุณภาพในแผ่นดินของพระเจ้าบนโลกนี้

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น