29 กันยายน 2563

รับมือกับความหลงลืมในชีวิตประจำวัน

บทใคร่ครวญประจำวันสำหรับผู้สูงวัย+ญาติ และ ผู้เขียนเอง

คนที่มีญาติมิตรคนสนิทที่เป็นผู้สูงอายุที่เกิดอาการหลงลืม ท่านเคยพบไหมว่า ผู้สูงอายุท่านนั้นทานอาหารไปแล้ว  แต่บอกลูกหลานหรือคนดูแลว่า ยังไม่ได้รับประทาน ขอกินข้าวหน่อยซิ! แล้วคนรอบข้างจะตอบสนองหรือมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อผู้สูงอายุท่านนั้น? 

ดร. แฮโรลด์ ซี. อูเรย์ (Dr. Harold C. Urey) ศาตราจารย์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีกำลังเดินไปบนทางเท้าในมหาวิทยาลัย ท่านเห็นเพื่อนอาจารย์ ท่านรีบวิ่งข้ามถนนมาหาเพื่อนคนนั้น เขาหยุดเดินเพื่อพูดคุยกันสักพักหนึ่ง หลังจากนั้น ดร. อูเรย์ ถามเพื่อนคนนั้นว่า “เอ...เมื่อกี้ก่อนที่เราจะพบกัน ผมกำลังเดินไปทางไหน?” เพื่อนอาจารย์ท่านนั้นมองศาสตราจารย์ อูเรย์ ด้วยความงงโงย พร้อมกับชี้ไปถนนข้างหน้าเขาว่า “ไปทางนั้น ดร.อูเรย์”

ดร. อูเรย์ ร้องอุทานออกมาว่า “ขอบคุณมากครับ...นั่นแสดงว่าผมไปรับประทานอาหารกลางวันมาแล้ว”

ไม่ว่าเราจะเก่งกาจฉลาดแค่ไหน อาการหลงลืมก็มักคืบคลานเข้ามาในวัยสูงอายุนี้ บางครั้งเราอาจจะลืมวันเกิด ลืมการนัดหมาย และบางสิ่งบางเรื่องที่เราคิดว่าสำคัญมาก แต่ถึงแม้สิ่งนั้นจะสำคัญแค่ไหนเราก็อาจจะลืมได้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญที่แท้จริงมิใช่การที่เราจะสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย แต่การที่เราสามารถจดจำสิ่งที่สำคัญจริงแท้ที่สุดได้ต่างหากที่จำเป็น

เมื่อเราเกิดหลงลืมในบางสิ่งบางเรื่อง ทำให้เรารู้สึกแย่ ขอให้เราตระหนักเสมอว่า สิ่งที่สำคัญจริงแท้สำหรับเราคืออะไร? สำหรับคริสตชนสิ่งที่สำคัญจริงแท้ที่สุดคือ รักพระเจ้าและรักคนอื่น

เมื่อเราท่านคริสตชนตระหนักชัดเจนเช่นนั้น เราจะสำแดงความรักเมตตาต่อคนอื่นเมื่อเขาเกิดอาการหลงลืม เมตตาต่อตนเองเมื่อมารู้ตัวว่าตนเองลืมอีกแล้ว แทนที่จะหัวเราะและมองว่าคนนั้น “หลงลืมอีกแล้ว” ว่าเป็นคนผิดปกติ เป็นคนที่กำลังเป็นความจำเสื่อม หรือ ผู้สูงอายุเครียดกับตนเองที่หลงลืมอีกแล้ว ให้เรารักเมตตาต่อตนเอง รักเมตตาต่อคนอื่น รักเมตตาต่อคนที่หลงลืมเป็นความจำเป็นสำคัญยิ่ง

บางครั้ง ความหลงลืมเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลย อย่าให้ความหลงลืมทำให้ท่านรู้สึกหงุดหงิด โกรธตนเอง  อับอาย หรือ สิ้นหวังในชีวิต สิ่งสำคัญคือเราต้องตระหนักชัดว่า ให้เรารักษาความจำในความจริงที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ รักพระเจ้า และ รักเพื่อนมนุษย์ ส่วนรายละเอียดของความจำในส่วนอื่น ๆ ค่อย ๆ ว่ากันไปทีหลัง เพราะถึงแม้เราเป็นคนที่มักหลงลืมอะไรต่อมิอะไร แต่เรารักพระเจ้าสุดชีวิต และรักเมตตาคนรอบข้างด้วยชีวิตที่เรามีอยู่   นั่นก็เป็นการเพียงพอที่จะเป็นผู้ที่มีคุณค่าแล้ว

[5] ท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลังของท่าน [6] และจงให้ถ้อยคำเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน [7] และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน และจงพูดถึงถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อท่านนั่งอยู่ในบ้าน เดินอยู่ตามทาง นอนลงหรือลุกขึ้น [8] จงเอาถ้อยคำเหล่านี้ผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์ [9] และจงเขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้าน และที่ประตูของท่าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:5-9 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น