29 กรกฎาคม 2553

การให้อภัย

...ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์
เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น (มัทธิว 6:12)

ฉันปลดแล้วปล่อยมันไป
ฉันให้อภัยแก่ตนเองและคนรอบข้าง
ฉันจึงเป็นไท
ฉันจึงอยู่อย่างสงบศานติ

เราคงเคยรื้อ ทำความสะอาด และจัดลิ้นชัก หรือ ตู้เสื้อผ้า
เพื่อจะได้ดูเป็นระเบียบ และ ที่สำคัญมีที่ว่าง
เพราะเราเลือกสิ่งที่ไม่ใช้แล้วออกจากลิ้นชัก หรือ ตู้เสื้อผ้า
เราจึงมีที่ว่างสำหรับใส่สิ่งใหม่ที่เราจำเป็นใช้ประโยชน์

เช่นเดียวกัน
เราสามารถเลือกที่จะเก็บรักษา หรือ ปลดแล้วปล่อย...
ความรู้สึก
ความคิด
อารมณ์...ที่ครอบงำเกาะกุมภายในเรา
ไม่ว่าจะเป็น...
ความรู้สึกเก่าๆ ที่สั่งสมกองทับกันไว้อย่างยุ่งเหยิง
ความขุ่นเคือง ความไม่พอใจ ที่กองสุม คุกรุ่น รอโอกาสลุกเป็นไฟ

สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราเลย
แต่กลับสร้างความรู้สึกหนักอึ้ง เร่าร้อนในชีวิต ในความคิด และมีผลกระทบต่อร่างกาย
สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นตัวฉุดรั้งดึงให้เราต้องถอยหลัง

ถ้าเราพบว่า เราไม่สามารถที่จะปลดและปล่อยให้มันออกจากชีวิตของเรา
ให้เราทูลขอต่อพระเจ้า ทูลขอพระคุณพระเมตตาจากพระเยซูคริสต์
ที่จะทรงช่วยปลดและปล่อยภาระหนักอึ้งแห่งการ “ไม่ยอมให้อภัย” ที่ทับถมในชีวิตของเรา
ให้เราถ่อมใจลงยอมรับการทรงช่วยจากพระองค์
ให้พระองค์ชะล้างสิ่งเหล่านั้นออกจากความคิด ความรู้สึก ในส่วนลึกชีวิตของเรา
ตระหนักสำนึกว่า... สิ่งเหล่านั้นมิใช่ “สัมภาระแห่งชีวิต” ที่เราต้องทนแบก

แล้วให้เรายอมให้อภัยแก่ตนเอง ยอมให้อภัยแก่คนอื่น
จากนั้น ให้เราเปิดชีวิต ความรู้สึกนึกคิด และจิตใจของเรา...
รับศานติสุขจากเบื้องบน
รับความเป็นไทจากพระคริสต์
รับพลังชีวิตใหม่จากพระวิญญาณบริสุทธิ์
แล้วดำเนินชีวิตในวันนี้ไปด้วย ใจถ่อม ใจสุภาพอ่อนน้อม ใจที่มีศานติมั่นคงในพระคริสต์

“อย่าวินิจฉัยโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยโทษ
อย่ากล่าวโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ
จงยกโทษให้เขา และเขาจะยกโทษให้ท่าน (ลูกา 6:37)

23เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า
พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน

24จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน
แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน (มัทธิว 5:23-24)

27 กรกฎาคม 2553

เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงดำเนินในมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความไว้วางใจ
ไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดที่จะแตะต้องท่านได้
องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นของท่านนั้น เป็นความจริง
อย่างที่ท่านเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงยึดมั่นในสัจจะดังกล่าว

การพักสงบในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการหยุดการต่อสู้ดิ้นรนทั้งมวล
ท่านจะได้รับความสงบ ความมั่นใจ และ จิตใจที่มั่นคงในชีวิต
ท่านอย่าพักพิงในพระองค์เพียงเมื่อต้องต่อสู้ดิ้นรนเกินกำลังที่เจ้าจะแบกรับไว้เอง
แต่ท่านจงพักพิงในพระองค์ เมื่อท่านต้องการ...
ความเข้าใจที่ชัดเจนสมบูรณ์
ความสำนึกที่ลุ่มลึก
มิตรภาพที่รักและผูกพัน และ
ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด

โลกที่น่าสงสารจะวิ่งแจ้นมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
ก็ต่อเมื่อประสบกับความทุกข์ยุ่งยากยิ่งเกินแก้แล้ว
เขาลืม หรือ ไม่ตระหนักในความจริงที่ว่า
ถ้าเขาเสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจกระตือรือร้นดังกล่าวแต่แรก
เพื่อมิตรภาพ และ ความสัมพันธ์ด้วยรัก
แล้วความทุกข์ยากลำบากมากมายจะไม่เกิดขึ้น

สภาวการณ์ ชีวิต และบุคลิกภาพจะแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่มาก
ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้น
ชีวิตจะสงบง่าย

จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่แรกเริ่ม
เป็นวิถีทางที่ท่านจะพบพระองค์
จงแสวงหาพระองค์ก่อนที่ความทุกข์ยากแห่งชีวิตจะประดังเข้าเกาะกุมชีวิตของท่าน และ
ก่อนที่ความทุกข์ยาก ความกดดันจะครอบงำชีวิตของท่าน และ
แย่งชิงชีวิตของท่านจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระธรรมภาวนา

สดุดี 9:10:
บรรดาผู้ที่รู้จักพระนามของพระองค์ ก็วางใจในพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า เพราะว่าพระองค์มิได้ทรงทอดทิ้งบรรดาผู้ที่เสาะแสวงหาพระองค์

สดุดี 40:16:
ขอให้บรรดาผู้แสวงหาพระองค์เปรมปรีดิ์และยินดีในพระองค์
ขอให้บรรดาผู้ที่รักความรอดของพระองค์
กล่าวเสมอว่า “พระเจ้าใหญ่ยิ่งนัก”

อิสยาห์ 11:10:
ในวันนั้น รากแห่งเจสซี ซึ่งตั้งขึ้นเป็นเครื่องหมายแก่ชนชาติทั้งหลาย จะเป็นที่แสวงหาของบรรดาประชาชาติ และที่พำนักของท่านจะรุ่งโรจน์

อิสยาห์ 55:6-7
6“จงแสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้
จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้
7ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา
และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา
ให้เขากลับ(มา)ยังพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา
และ(กลับมา)ยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ

25 กรกฎาคม 2553

พระสิริรุ่งโรจน์ปรากฏขึ้น

1ข้าพเจ้าได้เพียรรอคอยพระเจ้า
พระองค์ทรงเอนพระองค์ลง ฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า
2พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมอันน่าสลด
ออกมาจากเลนตม
แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา
กระทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง
3พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า
เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรงกลัว
และวางใจในพระเจ้า...
8ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ปีติยินดีที่กระทำตามน้ำพระทัยพระองค์
พระธรรมของพระองค์อยู่ในจิตใจของ ข้าพระองค์”.... (สดุดี 40)

องค์พระผู้เป็นเจ้าได้วางแผนชีวิตเพื่อท่าน
วิถีทางของพระองค์นั้นมหัศจรรย์เหนือความหยั่งรู้ของมนุษย์

พระองค์ทรงสูงส่งแต่ “ทรงเอนพระองค์ลง...ฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า”
พระองค์ “ทรงฉุดข้าพเจ้าออกจากหลุมเลนตมอันน่าสลด”
พระองค์ “ทรงวางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา...กระทำให้ย่างเท้ามั่นคง”
พระองค์ “ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า”

โอ ท่านจงเข้าใจและตระหนักชัด
ถึงพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของท่านที่มีมากมายเกินพอ และ
ถึงความดีขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อท่านนั้นมากยิ่งๆ ขึ้น
แล้วท่านจะประหลาดใจในการทรงนำของพระองค์
ท่านจะพบความงามของชีวิตที่ได้รับการทรงนำ

สิ่งเหล่านี้จะปรากฏในสำนึกของท่านมากขึ้นเรื่อยๆ และ
จะนำความชื่นบานปรีดีมายังท่านเพิ่มพูนมากขึ้น

ท่านกำลังเข้าสู่ภาวะที่เมื่อท่านทูลขอสิ่งใดที่ท่านประสงค์
สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงตามนั้น

ชีวิตของท่านก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมหัศจรรย์
เป็นยุคที่ชีวิตของท่านได้รับการทรงวางแผน และ
ทรงอวยพระพรโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่ท่านไม่เคยพบประสบมาก่อน

ชีวิตของท่านได้รับชัยชนะ
สิ่งของมีค่าทั้งหลาย จะหมดค่าไร้ราคาลง
ถ้าท่านได้องค์พระผู้เป็นเจ้า
พระสัญญาที่มีแก่ผู้ที่มีชัยนี้ก็น่าอัศจรรย์นัก และ
จะสำเร็จตามพระสัญญาเสมอ

ให้เราร้องบทเพลงอย่างผู้เขียนสดุดีบทนี้ว่า...
“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ปีติยินดียินดีที่กระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์
พระธรรมของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์...”

22 กรกฎาคม 2553

เผชิญวันนี้ร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า

องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย
โปรดทำให้ข้าพระองค์เป็นอย่างที่พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์เป็น

มิใช่สภาพแวดล้อมที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
แต่ท่านจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวท่านก่อน
จากนั้นเงื่อนไขแวดล้อมจะถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยธรรมชาติ

อย่าออมแรง
อย่ากักความพยายามของท่าน
ที่จะเป็นอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้ท่านเป็น
จงติดตามทุกการทรงนำ
องค์พระผู้เป็นเจ้าคือผู้นำชีวิตของท่านแต่เพียงผู้เดียว

ท่านจงมุ่งมั่นบากบั่นในทุกสิ่งที่คิดว่ายากลำบาก
จงเผชิญแต่ละวันโดยไม่หันกลับหลัง
จงเผชิญปัญหาในแต่ละวันร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
แสวงหาการทรงช่วยและทรงนำของพระองค์
ว่าอะไรบ้างที่ท่านสามารถทำได้

อย่าหันกลับหลัง
อย่ายอมแพ้ และ
ละทิ้งความทุกข์ยาก และ
อุปสรรคของวันนี้
จนกว่าท่านจะได้รับการทรงนำจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระธรรมภาวนา

I Samuel 15:11:
“เราเสียใจแล้วที่เราได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ เพราะเขาได้หันกลับเสียจากการตามเรา และไม่ได้กระทำตามบัญญัติของเรา”

สุภาษิต 25:26:
คนชอบธรรมที่ยอมแพ้แก่คนชั่วร้าย
ก็เหมือนน้ำพุมีโคลนหรือเหมือนน้ำบ่อที่สกปรก

อิสยาห์ 57:17:
เราโกรธเพราะความบาปผิดแห่งความโลภของเขา
เราตีเขา เราซ่อนตัวและโกรธ
แต่เขายังหันกลับเดินตามชอบใจของเขาอยู่

มัทธิว 13:15:
เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมี
ใจเฉื่อยชา
หูก็ตึง และ
ตาเขา เขาก็ปิด
มิฉะนั้นเขาจะเห็นด้วยตา และ
จะได้ยินด้วยหู และ
จะได้เข้าใจด้วยจิตใจ
แล้วจะหันกลับมา และ
เราจะได้รักษาเขาให้หาย

ลูกา 22:32:
...แต่เราได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และเมื่อท่านได้หันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน”

สดุดี 22:24:
เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียน
ต่อความทุกข์ยากของผู้ที่ทุกข์ใจ
และพระองค์มิได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา
เมื่อเขาร้องทูล พระองค์ทรงฟัง

สดุดี 31:7:
ข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์และยินดีในความรักมั่นคงของพระองค์
เพราะพระองค์ทรงทอดพระเนตรความทุกข์ใจของข้าพระองค์
พระองค์ทรงทราบเรื่องความทุกข์ยากของข้าพระองค์


สดุดี 82:3:
จงให้ความยุติธรรมแก่คนอ่อนเปลี้ยและกำพร้าบิดา
จงดำรงสิทธิของผู้ที่ทุกข์ยาก และคนสิ้นเนื้อประดาตัว

สดุดี 119:71:
ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก
เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์

โรม 5:3:
ยิ่งกว่านั้น เรา(หรือ ให้เรา) ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน

2โครินธ์ 1:4:
พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้นที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยความชูใจ ซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า

2โครินธ์ 6:4:
แต่เราผู้เป็นคนรับใช้ของพระเจ้า ได้กระทำตัวให้เป็นที่ชอบในการทั้งปวง โดยความเพียรอดทนเป็นอันมาก ในความทุกข์ยาก ในความขัดสน ในเหตุวิบัติ

ฟิลิปปี 1:29:
เพราะพระเจ้าได้ทรงโปรดแก่ท่านเพราะเห็นแก่พระคริสต์ มิใช่ให้ท่านเชื่อถือในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ท่านทนความทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย

2ทิโมธี 4:5:
แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ

1เปโตร 4:13:
แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดีในการที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของพระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย

21 กรกฎาคม 2553

ซึมซับจากหนังสือ The Right To Lead

เขียนโดย จอห์น ซี. แมกซ์แวลล์
เก็บความและเรียบเรียง โดย ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง

เกริ่นนำ

อะไรที่ทำให้คนบางคนมีสิทธิที่จะนำคนอื่น? ที่แน่นอนคือ การที่จะนำคนอื่นได้อย่างแท้จริงนั้นมิได้เกิดจากการที่ได้รับการเลือกตั้ง และ ก็ไม่ได้เกิดจากการได้รับเลือกสรร แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้เกิดจากการมีตำแหน่ง หรือมีคำนำหน้าชื่อ เช่น ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ ท่านนายก ท่านเลขาธิการ ท่านอธิการ หรือ ฯลฯ และก็ไม่ได้เป็นผู้นำเพราะมียศนำหน้าชื่อ หรือตัวย่อปริญญาตามท้ายชื่อ และสมรรถนะความสามารถในการนำก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะจากการสั่งสมอายุที่มากขึ้น หรือ ประสบการณ์ที่หลากหลายกว่าด้วยเช่นกัน

กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดความได้ว่า ไม่มีใครที่มีสิทธิในการเป็นผู้นำเพราะ “ได้รับสิทธิ” ในการนำ แต่สิทธิในการนำเป็นสิ่งที่เกิดจาก “การยอมรับ” จากผู้คนที่เขาจะนำ และนี่ต้องใช้เวลาครับผม

ผู้นำที่คนอื่นต้องการตาม

หัวใจที่จะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพมิได้ให้ความสำคัญที่จะจัดการด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้คนอื่น(ต้อง)ตามเขา แต่ตรงกันข้ามผู้นำควรจะเป็นคนที่ทำตนให้เป็นคนที่ผู้อื่นต้องการที่จะตาม พูดฟันธงก็คือผู้นำคนนั้นต้องเป็นคนที่คนอื่นไว้วางใจได้และนำคนอื่นไปยังที่ที่คนเหล่านั้นต้องการจะไปให้ถึง

จอห์น ซี. แมกซ์แวลล์ ได้ให้ข้อคิดและแนวทางที่น่าสนใจในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า “The Right To Lead” ดังนี้

1. ปลดและปล่อย “ตัวกูของกู” ให้ออกไปจากตน

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่แท้จริงมิใช่ผู้นำที่หวังว่า “ตนต้องได้” แต่ที่เขานำก็เพื่อที่จะ “รับใช้” คนอื่น (คำนี้ดูคุ้นหูคริส-เตียน) ในประการนี้แมกซ์แวลล์ได้อ้างอิงข้อสังเกตที่ Lawrence D. Bell ได้กล่าวไว้ว่า “ขอช่วยแสดงให้ผมเห็นถึงคนที่ไม่สามารถขวนขวายทำในสิ่งเล็กสิ่งน้อย แล้วผมจะแสดงให้เห็นถึงคนที่ไม่ควรวางใจให้ทำการใหญ่”

2. สิ่งแรก...ให้เป็นผู้ตามที่ดี

คงเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะมีผู้นำที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพซึ่งไม่เคยผ่านการเป็นผู้ตามที่ดีมาก่อน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่การฝึกฝนสร้างผู้นำในกองทัพอย่างเช่น United States Military Academy บ่มเพาะฝึกฝนเจ้าหน้าที่ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำให้เป็นผู้ตามที่ดีก่อน เช่นเดียวกันกับที่ West Point ที่ได้ผลิตผู้นำได้มากกว่า Harvard Business School

3. การเสริมสร้างสัมพันธภาพเชิงบวกและสร้างสรรค์

การเป็นผู้นำนั้นไม่ใช่เรื่องอื่นใดเลยแต่เป็นการที่คนๆ นั้นมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ในที่นี้หมายความถึงการที่มีสัมพันธภาพอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้นำในยุคปัจจุบันนี้ให้ความสนใจและความสำคัญในประการนี้ค่อนข้างมาก เพราะเขาตระหนักชัดว่า “ตำแหน่ง” หรือ คำนำหน้า เช่น “ศจ. รศ. ดร. และ ฯลฯ” มีความหมายหรือมีความสำคัญเพียงน้อยนิดสำหรับการเป็นผู้นำของเขา เพราะเขาเหล่านี้รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า คนทั้งหลายจะติดตามคนที่พวกเขาสามารถเข้าได้ด้วยดี

4. ทำงานเก่ง เยี่ยม ยอด

ไม่มีใครให้การนับถือคนที่ทำงานเหลาะแหละ ไม่เกิดผล ผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือผู้นำที่ไม่รู้จะทำอะไร ผู้นำที่จะได้รับสิทธิในการนำก็คือ คนที่ทุ่มเททั้งกาย ความตั้งใจ และความสามารถทั้งสิ้นลงในงานที่เขาทำ ผู้นำเช่นนี้มิใช่ลงทุนลงแรงตะลันต์ความสามารถของเขาเท่านั้น แต่เขาเปี่ยมด้วยความมุ่งมาดปรารถนาและทำงานหนัก เขาทำงานด้วยสมรรถนะอย่างสูงสุดในงานที่เขาทำ

5. มีวินัยในการนำ มิได้นำด้วยอารมณ์

ผู้นำจะดูสบายเมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างราบเรียบหรือเมื่อกำลังขาขึ้น แต่เมื่อทุกสิ่งดูขัดแย้งต่อต้านคุณในฐานะผู้นำ คุณจะรู้สึกหมดแรงอ่อนกำลัง เกิดความรู้สึกไม่อยากจะนำต่อไป ในเวลาเช่นนี้เองที่คุณกำลังอยู่ในฐานะผู้นำ ในทุกฤดูกาลที่ผันแปรแห่งชีวิต ผู้นำจะมีช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติสำคัญ ในช่วงเวลาที่ผู้นำคนนั้นต้องเลือกระหว่างจะ “มุ่งหน้าอย่างมุ่งมั่น” หรือ “หมดแรงหมดความตั้งใจ” การที่จะทะลุผ่านในช่วงเวลาวิกฤติติดขัดเช่นนี้ย่อมขึ้นอยู่กับตัวผู้นำว่า จะมีวินัยชีวิตอันแข็งแรงเหนียวแน่นดั่งศิลา หรือ จะใช้อารมณ์ที่อ่อนไหว หละหลวมอย่างทรายในชีวิต

6. สร้างเสริมคุณค่าแก่เป้าหมายของคุณ

เมื่อเราพิจารณาถึงผู้นำที่ได้รับการยอมรับนับถือแม้ภารกิจการนำของเขาเสร็จสิ้นไปแล้วก็ตาม เราจะพบว่าผู้นำเหล่านี้มิได้นำให้งานที่ทำให้บรรลุตามเป้าหมายต้องการจนเสร็จสิ้นเท่านั้น แต่เขาเสริมเพิ่มคุณค่าในการนำของเขาด้วยการช่วยให้ผู้คนที่เขานำแต่ละคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และสามารถใช้ศักยภาพในชีวิตอย่างเต็มที่ จนผู้ตามเหล่านั้นเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกตนมีคุณค่า และสิ่งนี้คือการทรงเรียกที่พระเจ้าประสงค์ให้ผู้นำทำเช่นนั้น และนี่คือคุณค่าสูงสุดในการเป็นผู้นำ

7. มอบอำนาจของคุณไปสู่ผู้ตาม

ความจริงที่ดูขัดกันประการหนึ่งของการเป็นผู้นำคือ การที่คุณจะเป็นผู้นำที่ดีขึ้นเมื่อคุณมอบหมายอำนาจในการนำไปสู่คนอื่นๆ มิใช่การที่คุณ “เก็บกัก” อำนาจทั้งสิ้นเพื่อตัวคุณเองและพรรคพวก คุณควรเป็นผู้นำที่เป็นเหมือน “แม่น้ำ” มิใช่เป็นเหมือน “แอ่งน้ำ หรือ หนองน้ำ” (ระวังน้ำจะเน่าเหม็น) ถ้าคุณใช้อำนาจในการเป็นผู้นำที่คุณมีอยู่ในการเสริมเพิ่มพลังผู้ตามแต่ละคน คุณจะสามารถนำอย่างกว้างไกลเกินกว่าที่คุณเองเกาะกุมยึดยั้งมันไว้ได้

ในหนังสือ The Right To Lead มีตัวอย่างหลากหลายของคนมากมายที่ทำเช่นว่านี้และได้รับการยอมรับในการนำ เพราะความกล้าและกำลังใจที่เขาได้ประสบพบเจอและท่าทีการนำที่เขาแสดงออก ทำให้คนอื่นที่พบเห็นเขาชื่นชมในคุณค่าการนำของเขาและรู้สึกต้องติดตามเขาไป (ผมไม่ได้รับจ้างทำโฆษณานะครับ แค่ประชาสัมพันธ์เท่านั้นครับ)

20 กรกฎาคม 2553

บ้านที่วางรากฐานบนศิลา

46“เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงเรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' แต่ไม่กระทำตามที่เราบอกนั้น 47ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเรา และกระทำตามคำนั้น เราจะแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า เขาเปรียบเหมือนผู้ใด 48เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก เขาขุดลึกลงไปแล้วตั้งรากบนศิลา และเมื่อน้ำมาท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง แต่ทำให้หวั่นไหวไม่ได้ เพราะได้สร้างไว้มั่นคง 49ส่วนคนที่ได้ยินและมิได้กระทำตาม เปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึกบนดินไม่ก่อราก เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่งตึกนั้น ตึกนั้นก็พังทลายลงทันที และความพินาศของตึกนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก” (ลูกา 6:46-49)

ท่านจงเฝ้าระวังพร้อมที่จะฟังเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า และ กระทำตามทันที
การเชื่อฟังจนยอมทำตามนั้นเป็นหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของความเชื่อศรัทธา
องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยตรัสกับเหล่าสาวกและคนติดตามพระองค์จำนวนมาก
ที่ฟังคำสอนของพระองค์แต่ไม่ได้กระทำตามว่า
“ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าเปรียบคนที่ได้ยินคำของพระองค์แต่ไม่กระทำตามว่า
เป็นเหมือนคนที่สร้างบ้าน แต่มิได้ก่อราก
เมื่อเกิดกระแสน้ำพัดแรงบ้านนั้นก็พังทลายลง

องค์พระผู้เป็นเจ้ายังเปรียบคนที่ได้ยินคำของพระองค์แล้วกระทำตามทันทีว่า
เป็นผู้ที่ “ขุดลึก” วางรากฐานบ้านของตนลงบนศิลา
เมื่อเกิดพายุและกระแสน้ำพัดอย่างรุนแรง
บ้านนั้นยังตั้งมั่นคงอยู่ไม่โยกคลอน

ท่านโปรดอย่าเข้าใจว่า
สิ่งที่กำลังกล่าวนี้หมายถึงการที่กระทำตามพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น และ
ก็มิใช่เพียงการทำตามคำสอนที่บนภูเขาของพระองค์เท่านั้นด้วย
พระองค์หมายความมากยิ่งกว่านั้นสำหรับคนที่รู้จักพระองค์อย่างใกล้ชิดสนิท
พระองค์หมายถึงการที่ท่านยอมกระทำตามในทุกอย่าง
ยอมทำตามเสียงแห่งการทรงนำของพระองค์ภายในชีวิตของท่าน และ
คำสั่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พระองค์มีถึงจิตวิญญาณแต่ละดวง
ความปรารถนาของพระองค์ที่สำแดงออกแก่ท่าน
เพื่อที่ท่านจะได้กระทำให้ความปรารถนาของพระองค์สำเร็จ

ชีวิตสาวกของพระองค์ ที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวสั่นคลอน
เปรียบเหมือนบ้านที่หยั่งรากลงในศิลานั้น
มิใช่สร้างได้ในชั่วพริบตา ทันที
แต่จะต้องให้เวลาในการวางรากฐาน
อิฐแต่ละก้อนที่วางทับซ้อนกันขึ้นมา
จนเป็นราก
เป็นคานที่แข็งแรง
จากนั้นค่อยก่อกำแพง เชื่อมโครงหลังคา...
ด้วยการกระทำที่เชื่อฟัง
เป็นการกระทำตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าในแต่ละวัน และ
เป็นการกระทำตามความปรารถนาของพระองค์ด้วยความรัก

“ทุกคนที่มาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและฟังคำของพระองค์แล้วทำตาม
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะสำแดงให้พวกท่านรู้ว่าท่านเป็นเหมือนอะไร
ท่านเป็นเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก
ท่านขุดลึกลงไปแล้ววางรากฐานอยู่บนศิลา
เมื่อมีน้ำท่วมและมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาซัดตึกนั้น
ตึกนั้นก็ไม่หวั่นไหว เพราะถูกสร้างไว้อย่างมั่นคง”

บ้านที่หยั่งรากลึกลงในศิลานี้
เป็นบ้านที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยการดลใจและทรงนำของพระเจ้า
เป็นบ้านแห่งความเชื่อฟังและทำตาม
เป็นการแสดงออกถึงการสรรเสริญและการนมัสการพระเจ้าอย่างจริงแท้ที่สุด และ
ในบ้านนั้นเองที่พระเจ้ามาอยู่ด้วยกับคนที่พระองค์ทรงรัก

องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ให้ความหวังแก่งานที่ท่านทำหรือ?
มิได้ประทานความหวังในวันที่มืดมนหรือ?
เพียงแค่ท่านจะวางอิฐแห่งหน้าที่ธรรมดาๆ ก้อนเล็กๆ ของท่าน
ท่านก็ได้ทำให้ความปรารถนาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เกิดเป็นรูปธรรม
เป็นสิ่งที่เสริมสร้างท่านให้มีบุคลิกคริสเตียนที่มั่นคง ไม่สั่นคลอน หวั่นไหว
ตามที่เปาโลผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้กระตุ้นเตือนให้ผู้ติดตามทุกคนมีบุคลิกเช่นนั้น

18 กรกฎาคม 2553

ในวันที่ทุกข์ยากลำบาก

14จงถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณแด่พระเจ้า
ทำตามที่ได้ถวายปฏิญาณต่อองค์ผู้สูงสุด
15และจงร้องทูลเราในวันทุกข์ยากลำบาก
เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายพระสิริแก่เรา”
(สดุดี 50:14-15 ข้อ 14 สำนวนอมตธรรม)

โปรดจำไว้ว่า...
การที่ท่านสรรเสริญและขอบพระคุณ และ
กระทำตามสัญญาที่ท่านให้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสม่ำเสมอมั่นคงนั้น
เป็นเหมือนการ “ฝากธนาคาร”
เมื่อถึงเวลาที่ท่านต้องการ
ท่านก็สามารถไปถอนมาใช้ด้วยความมั่นใจ

โลกต้องประหลาดใจ
เมื่อพวกเขาเห็นคนนั้นสามารถ “ถอน”
สิ่งที่ต้องการจำเป็นออกมาได้อย่างที่ไม่คาดคิด
จาก “ธนาคาร” ที่เขาฝากไว้
เพื่อใช้ในความจำเป็นของเขาเอง
ของมิตรสหาย และ
สำหรับการช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นๆ

แต่สิ่งที่โลกไม่ได้เห็นคือ
การที่คนๆ นั้น “ฝาก”
สิ่งต่างๆ ครั้งละนิดทีละน้อยนับครั้งไม่ถ้วนไว้ใน “ธนาคาร”
ด้วยการกระทำที่สัตย์ซื่อ
ศรัทธา และ
ด้วยรักและภักดีในหลากหลายรูปแบบวิธีการ

แผ่นดินขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ
ชาวโลกจะเห็นคนที่สัตย์ซื่อและศรัทธา
สามารถได้รับสิ่งที่เขาจำเป็นต้องการได้ทันทีจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยการ “ถอน” จากกองคลังของพระองค์ และ
ดูเถิด ความจำเป็นต้องการของเขาได้รับการตอบสนองอย่างพอเพียง

ในสายตาและความคิดของชาวโลกก็จะมองว่า
คนนั้นมีพลังที่มหัศจรรย์
มิใช่เช่นนั้นเลย
เพราะชาวโลกไม่ได้เห็น

สิ่งที่เขานำมา “ฝาก” ด้วยการขอบพระคุณ
ด้วยการสรรเสริญ และ
ด้วยการกระทำตามสัญญา อย่างสัตย์ซื่อ มั่นคง

ท่านที่รักในพระคริสต์
ท่านก็เช่นกัน

“จงถวายแด่พระเจ้าด้วยการขอบพระคุณ และ
กระทำตามที่ท่านให้สัญญาไว้กับองค์สูงสุด และ
เมื่อท่านเรียกหาพระองค์ในวันที่ทุกข์ยากลำบาก แล้วพระองค์จะช่วยกู้ท่านไว้”

นี่คือพระสัญญาสำหรับวันที่ท่านดูเหมือนว่า
เป็นวันแห่งความหมองหม่น
ที่ดูเหมือนทำอะไรไม่ได้ หรือ
ทำได้เพียงเล็กน้อย
แต่ท่านที่รักท่านจงชื่นใจเถิด
เวลาใดก็ตามที่ท่านรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะกระทำการใหญ่
ท่านสามารถที่จะ “สั่งสม” ของเล็กสิ่งน้อย

ด้วยการกระทำของท่าน และ
ด้วยการพูดอย่างสัตย์ซื่อ เมตตา ของท่าน
ไว้ในคลังมหาสมบัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เพื่อท่านพร้อมที่จะเรียกใช้ในวันที่มีความต้องการที่มากมาย

2ทิโมธี 12:10:
เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆ ในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น

15 กรกฎาคม 2553

วิ่งให้ถึงหลักชัย

จงอยู่เหนือความกลัวและความฟุ้งซ่าน
แล้วเข้าสู่ความชื่นบานในองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะนั่นก็เพียงพอที่จะรักษาเยียวยาความเจ็บปวดและบาดแผลในชีวิตของท่าน
จงละวางความรู้สึกล้มเหลวในชีวิต,
ข้อบกพร่องที่ได้ทำลงไป, และ
ความเจ็บปวดที่กระแทกแทรกเข้ามาในชีวิตของท่าน

ท่านจงไว้วางใจองค์พระผู้เป็นเจ้า
รักพระองค์ และ
ร้องเรียกหาพระองค์

ชีวิตการเป็นสาวกของท่าน
เป็นเหมือนการวิ่งแข่งขัน
“ดังนั้นจงวิ่งเพื่อท่านจะบรรลุถึงเส้นชัย”
มิใช่บรรลุตามใจปรารถนาของท่านเท่านั้น
แต่เข้าถึงองค์พระเป็นเจ้า
ผู้ทรงเป็นความชื่นบานแห่งวิญญาณจิตของท่าน และ
บรรลุถึงพระประสงค์แห่งเบื้องบน

ท่านคิดอย่างไรกับนักวิ่ง
ที่ยอมทิ้งตนเองลงนอนบนลู่วิ่งด้วยความสิ้นหวังหน้ารั้วสำหรับกระโดดข้ามอันแรก
เหนือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้นำและเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตของท่าน

พระธรรมภาวนา

ฟิลิปปี 3:14:
ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ

ฮีบรู 12:1:
...ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา

1โครินธ์ 9:24:
24ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกที่วิ่งแข่งนั้นก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รางวัลนั้นมีเพียงคนเดียว? จงวิ่งเหมือนผู้ที่จะชิงรางวัลให้ได้ 25ส่วนนักกีฬาทุกคนก็ควบคุมตัวเองในทุกด้าน พวกเขาทำเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่มงกุฎของเราจะไม่ร่วงโรยเลย 26ดังนั้นข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งแข่งโดยไม่มีเป้าหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เหมือนอย่างนักมวยที่ชกลม

2ทิโมธี 4:7:
ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว

กาลาเทีย 5:7:
ท่านกำลังก้าวหน้า(ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า กำลังวิ่งแข่ง) ไปด้วยดีอยู่แล้ว ใครเล่ายับยั้งท่านไม่ให้เชื่อฟังความจริง?

ฟิลิปปี 2:16:
จงยึดมั่นในพระวจนะแห่งชีวิต เพื่อข้าพเจ้าจะมีความภูมิใจในวันของพระคริสต์ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งแข่งโดยเปล่าประโยชน์ หรือตรากตรำโดยเปล่าประโยชน์

13 กรกฎาคม 2553

ฝึกฝนชีวิตจิตวิญญาณ

มาจนกระทั่งในยุคนี้
พลานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
ที่ได้ปกป้องรักษาความกล้าหาญ สัจจะความจริง และ
ความเข้มแข็งของชีวิตจิตวิญญาณไว้เป็นจำนวนล้านๆ ดวง
ในขณะที่ดวงวิญญาณอื่นๆ ต้องล้มลงบนวิถีที่ชีวิตดำเนินไป

ความเชื่อศรัทธาได้ถูกรักษาและส่งทอดต่อๆ กันมาได้นั้น
มิได้เกิดจากชีวิตที่ดำเนินไปอย่างราบเรียบ และสะดวกสบาย
แต่จากการที่ต้องต่อสู้ ทนทุกข์ยาก และ ในที่สุดตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

ชีวิตนี้มิใช่อยู่เพื่อร่างกาย แต่เพื่อชีวิตจิตวิญญาณ
แต่มนุษย์มักเลือกวิถีชีวิตที่ดีและเหมาะสมสำหรับร่างกาย
มิใช่วิถีชีวิตที่ดีและเหมาะสมสำหรับชีวิตจิตวิญญาณ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้สิ่งที่ดีและเหมาะสมสำหรับชีวิตจิตวิญญาณเท่านั้น

การที่ท่านยอมรับสัจจะความจริงข้างต้น
ผลก็คือท่านจะได้รับการหล่อหลอมอย่างน่าอัศจรรย์
แต่ถ้าท่านปฏิเสธสัจจะความจริงข้างต้น และพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านก็จะเกิดความสับสนในชีวิต
คำอธิษฐานของท่านไม่ได้รับคำตอบ
ความก้าวหน้าของชีวิตจิตวิญญาณต้องเชื่องช้าลง และชะงักในที่สุด
ความทุกข์ลำบากและความเศร้าโศกพอกพูนมากขึ้น

ท่านจงพยายามมุ่งมองเข้าไปในชีวิตจิตวิญญาณของตนในฐานะบุคคลที่สาม
มุ่งมองชีวิตที่ได้รับการฝึกฝนจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
อันเป็นการฝึกฝนจากองค์พระผู้เป็นเจ้าและจากตัวของท่านด้วย
จากนั้นท่านจะสามารถแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต
เป็นการแบ่งปันด้วยความปีติชื่นบานอันเนื่องจากการมีวินัยชีวิตจากการฝึกฝน

จงดำเนินชีวิตจิตวิญญาณของท่านเคียงคู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า และ
เต็มใจรับการฝึกฝน
ท่านจะชื่นชมยินดีเมื่อชีวิตจิตวิญญาณ เติบโต ก้าวหน้า

พระธรรมภาวนา

เอเฟซัส 4:12-15
12เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น 13จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ 14เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง 15แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์

สดุดี 89:21:
เพื่อว่ามือของเราจะอยู่กับเขาเป็นนิตย์
และแขนของเราจะเสริมกำลังของเขา

ฟิลิปปี 4:13:
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

11 กรกฎาคม 2553

ความงามที่แท้จริง

มิใช่เพียงมีชีวิตอยู่
แต่จงเติบโตขึ้นในพระคุณ
พลานุภาพ และ
ในความงาม
ความงามแห่งความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์
อันเป็นความงามที่แท้จริง

จงมุ่งหน้าติดตามสิ่งที่เป็นของแผ่นดินพระเจ้า
ในโลกของบรรดาสัตว์ทั้งหลาย
สรรพสัตว์ทุกชนิดต่างพยายามขนขวายแสวงหาสิ่งที่จะมาเลี้ยงชีพของมัน

ดังนั้น
การที่ท่านมุ่งหน้าติดตามมรดกแห่งแผ่นดินพระเจ้า
สรรพธรรมชาติทั้งสิ้นที่อยู่รอบชีวิตของท่านจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
เพื่อท่านจะได้มีความชื่นชมปีติ และ
ได้รับศานติสุขอันล้ำลึกแห่งแผ่นดินของพระองค์

จงดำรงอยู่ในสัจจะประการนี้

พระธรรมภาวนา

มัทธิว 6:25-29
25“เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ 26จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ 27มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ 28ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย 29แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง

มัทธิว 6:33:
แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้

มาระโก 10:15:
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้

ลูกา 6:20:
พระองค์ทอดพระเนตรแลดูเหล่าสาวกของพระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นคนยากจนก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของท่าน

โรม 14:17:
เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์

1โครินธ์ 4:20:
เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้ามิใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์เดช

08 กรกฎาคม 2553

ความไว้วางใจที่ฉีกขาด

มีบทความหรือหนังสือมากมายที่เขียนถึงเรื่องราวของผู้นำที่ทำให้ความไว้วางใจที่ผู้คนมีต่อเขาต้องฉีกขาด แต่ถ้าผู้คนที่เกี่ยวข้องกับผู้นำคนใดคนหนึ่งทำให้ความไว้วางใจของผู้นำที่มีต่อเขาต้องฉีกขาดล่ะ มันจะเป็นอย่างไร?

ถ้าท่านเป็นผู้อภิบาลหรือผู้นำในคริสตจักรท้องถิ่น ท่านย่อมรู้ดีว่า ผลจากการที่ท่านทำให้ความไว้วางใจที่ผู้คนมีต่อท่านต้องฉีกขาดนั้น มีความรุนแรงมากมายแค่ไหน ค่าราคาที่จะต้องจ่ายสำหรับการนี้มิใช่ธรรมดาเลย ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นเสียงเล่าลือกันแซดในคริสตจักรของท่าน แล้วยังกระหึ่มไปยังภาค แล้วยังมีเสียงก้องสะท้อนไปที่สภาคริสตจักรอีกด้วย หรือถ้าท่านเป็นผู้นำในสถาบัน หรือ หน่วยงานในสภาคริสตจักรฯ หรือหน่วยงานคริสเตียนทั่วไป ผลก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ก็จะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างในสถาบันหน่วยงานของท่าน แล้วก็เป็นเสียงก้องไปยังสถาบันหรือหน่วยงานอื่น และในคริสตจักร จะเป็นเรื่องพูดกันมันปากในระดับคริสตจักรระดับชาติ

แต่ถ้าเหตุการณ์ที่ทำให้ความไว้วางใจต้องฉีกขาด คนๆ นั้นมิใช่ท่านในฐานะของผู้นำ แต่เป็นคนๆ หนึ่งในคริสตจักร หรือ ในสถาบันหน่วยงานของท่านล่ะ ท่านจะรับมือ หรือจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนร่วมงานคนนั้น สมาชิกคริสตจักรคนนั้นทำให้ความไว้วางใจที่ท่านมีต่อเขาต้องฉีกขาดลง

เมื่อมีเพื่อนร่วมงานในองค์กร หรือคริสตจักร ที่ทำให้ความไว้วางใจที่ผู้นำมีต่อเขามีอันต้องฉีกขาด ท่านในฐานะผู้นำจะต้องสนองอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น ผู้นำในคริสตจักร องค์กรคริสเตียนจะตอบสนองเช่นไร

ขอให้เราเริ่มด้วยการตอบสนองด้วยวิธีการที่ “เกินจริง” สองประการ

1. “พระคุณ” ที่ไม่สนใจผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำที่ทำให้ความไว้วางใจฉีกขาด
2. “การพิพากษา” หรือ “ตัดสิน” ที่ปราศจากพระเมตตา

คงน่าจะเป็นไปได้อย่างมากที่เราจะตอบสนองตามแนวทางใดแนวทางหนึ่งในสองประการข้างต้น หรือท่านอาจจะปฏิเสธที่จะทำตามทั้งสองอย่างข้างต้นก็ได้

พระคุณของพระเจ้าเป็นของประทานจากพระองค์ มิใช่สิ่งที่เราจะกระทำด้วยตนเอง หรือซื้อหาเอามาได้ (เอเฟซัส 2:8-9) เราไม่สามารถทำให้พระคุณของพระเจ้ามีเพิ่มมากขึ้นอีกสักนิดหนึ่ง หรือให้มีน้อยลงในคนใดคนหนึ่ง ในทำนองเดียวกันเราก็ไม่สามารถที่จะลบล้างหรือกอบกู้ใครให้หลุดพ้นจากผลของความบาปผิดในอดีต เราไม่สามารถที่จะลบล้างผลของการกระทำผิด การกระทำบาปออกจากคนใดคนหนึ่งแม้คนนั้นจะเป็นคริสเตียนก็ตามที

การตอบสนองต่อความไว้วางใจที่ฉีกขาดด้วยความเกินจริงประการแรกคือ การใช้ “พระคุณเจือสารสะเตรอยด์ (steroids)” ในที่นี้หมายถึงการที่อาจจะใจดีเกินไปเลยใช้พระคุณในความหมายที่เกินเลยที่ไม่ยืนอยู่บนแก่นสารความจริง กล่าวคือ การใช้พระคุณของพระเจ้าในความหมายที่เกินเลยกว่าความหมายของ “พระคุณ” ที่มีอยู่ตามความเป็นจริงในพระวจนะของพระเจ้า “พระคุณเจือสารสะเตรอยด์” ก็เหมือนกับยาที่เจือสารสะเตรอยด์แล้วใช้เป็นยาครอบจักรวาลที่ทำให้ไม่เกิดอาการแพ้ อักเสบ บวม เพราะสารสะเตรอยด์ตัวนี้เข้าไปกดระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันอัตโนมัติ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงไม่ตอบสนองตามหน้าที่ของมันที่ควรจะเป็น แต่มิได้หมายความว่าความเจ็บป่วยไม่สบายจะได้รับการรักษาจากสารสะเต-รอยด์ ตรงกันข้าม นอกจากจะมิได้รักษาโรคที่เป็นอยู่ตามสาเหตุแล้ว สารสะเตรอยด์ยังมีผลข้างเคียงมากมาย ทั้งการทำให้คนใช้เป็นประจำเกิดอาการบวม ฉุ ไตเสื่อมไตเสีย เบาหวานรุนแรงขึ้น และ ฯลฯ “พระคุณเจือสะเตรอยด์” เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ผู้ใช้ไม่สนใจผลที่ตามมาจากการฉีกขาดของความไว้วางใจ เป็น “พระคุณราคาถูก” ตามสำนวนของบอนฮอฟเฟอร์ (Bonheoffer) เรารู้แน่ชัดว่าพระเยซูคริสต์ทรงรักคนเหล่านี้ ดังนั้นความผิดบาปในชีวิตของเขาได้รับการชำระจากพระโลหิตของพระองค์ ทั้งสองประการนี้ก็เป็นสัจจะความจริง แต่ยังมีขยะและความสกปรกมากมายที่จะต้องได้รับการทำความสะอาดและการเสริมสร้างใหม่ในชีวิตของคนๆ นั้น

เมื่อพระคุณของพระเจ้าถูกใช้ในความหมาย “ยาครอบจักรวาล” ที่ไม่สนใจผลที่ตามมาจากความไว้วางใจที่ฉีกขาด มักจะเกิดขึ้นเพราะผู้ใช้ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากซับซ้อนที่อาจจะตามมาจากผลความไว้วางใจที่ฉีกขาด เขาต้องการทำให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้น แต่ผลเสียก็คือคนที่ทำให้ความไว้วางใจฉีกขาดจะไม่ได้รับความช่วยเหลือให้รู้ถึงสัจจะความจริงที่เกิดขึ้นที่แท้จริงและจำเป็น

ผลความไว้วางใจที่ฉีกขาดคือ การตัดสินและพิพากษา เพราะสิ่งเหล่านี้ยังอยู่ภายใต้ของกฎธรรมชาติและกฎบัญญัติของการทรงกอบกู้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่จ่ายค่าราคาที่เราตกอยู่ใต้อำนาจของความผิดบาป เราจึงได้รับการช่วยกู้ให้ไปอยู่ภายใต้พระคุณ แต่หลักการเรื่องการพิพากษายังไม่ได้ถูกลบออกจากพระคัมภีร์ (โรม 1:18-2:16, กาลาเทีย 5:19-21, วิวรณ์ 20:11-15 และ ฯลฯ)

การตอบสนองที่เกินเลยความจริงประการที่สองคือ การพิพากษาหรือการตัดสินที่ปราศจากพระเมตตา ซึ่งมิใช่น้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์ พระองค์ตรัสกับหญิงคนนั้นที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณีว่า “จงไปเถิดแต่อย่าทำบาปอีก” ใช่ พระคริสต์มิได้ทำให้เธอถูกเอาหินขว้างตามที่พวกผู้นำศาสนาเห็นว่าเธอควรจะถูกเอาหินขว้างให้ตาย ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำ บุคลิกที่คิดว่าตนเป็นคนตรงไปตรงมา หรือการได้รับความกดดันจากรอบข้าง หรือหลักคิดหลักเชื่อทางคริสต์ศาสนศาสตร์ที่ท่านยึดถือ อาจทำให้ท่านเร่งด่วนตัดสิน พิพากษา หรือ กล่าวโทษคนบางคน แท้จริงแล้วการกระทำเช่นนี้อยู่คนละข้างกับ “พระคุณที่เจือสารสะเต-รอยด์” แต่เป็นการบีบคั้นให้เป็น “พระคุณพระเจ้าที่คับแคบ” กว่าที่เป็นจริงที่พระคุณเป็นอยู่

สิ่งเลวร้ายจากการตัดสินพิพากษาบ่อยครั้งมักเกิดกับอารมณ์ความรู้สึกของคน (เช่น เกิดบาดแผล ความรู้สึกเจ็บปวดในชีวิต) บางครั้งเกิดจากการแสดงความคิดเห็นของคนบางคน บางครั้งเกิดจากการเมืองในคริสตจักร ในภาค ในสภาฯ หรือในองค์กรคริสเตียน ซึ่งเป็นความเจ็บปวด และ บาดแผลที่ลึกกว่าที่ควรจะเป็นกับคนๆ นั้นที่ทำให้ความไว้วางใจระหว่างเขากับเราต้องฉีกขาดลง

เหตุการณ์จะซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากยิ่งขึ้นถ้าผู้นำที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีแนวทางที่จะรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

บ่อยครั้งใช่ไหมที่เราท่านมักจะได้ยินคำตอบต่อคำถามที่ซับซ้อนเช่นนี้ว่า “มันขึ้นอยู่กับ...” ใช่ เป็นความจริงว่าสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์แวดล้อมและในเหตุการณ์ที่แต่ละคนต้องเผชิญและตามสภาพที่เป็นจริงของแต่ละคน หรือไม่ก็จะใช้ความจริงจากพระคัมภีร์เป็นทางลัดเพื่อจะตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มอย่างที่ตนต้องการ หรืออาจจะเลวลง จากที่ตนต้องการ

ชีวิตและการเป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องที่แยกกันเด่นชัดตายตัวให้เป็นขาว หรือ ดำได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้นำที่เป็น “สีเทา” ในที่สุดท่านจะต้องหลงทางแน่นอน ผู้นำที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านจะต้องใช้วิจารณญาณของท่านในสถานการณ์ที่ยุ่งยากเช่นนี้ ตัดสินใจเลือกการตอบสนองที่เหมาะสม แต่ท่านจะต้องมีหลักการพื้นฐานในการกระทำของท่าน หลักการพื้นฐานแรกคือพระวจนะของพระเจ้า ประการต่อมาหลักการหลักเชื่อหรือหลักคริสต์ศาสนศาสตร์ที่ท่านยึดถือในชีวิตของท่าน ระบบคุณค่า เงื่อนไขปัจจัยในตอนนั้น หลักการพื้นฐานเหล่านี้ช่วยเสริมหนุนให้ท่านมีแนวทางที่จะตอบสนอง มิใช่กฎเกณฑ์การตอบสนองที่ตายตัว

ท่านสามารถที่จะมุ่งไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องเมื่อเป็นผู้นำที่ตกในสถานการณ์เช่นนี้ ด้วยการถามคำถามที่เกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้เช่น...
1. เพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นผิดใช่หรือไม่? (ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด)
2. เขารู้ว่าผิด แต่ที่ทำไปไม่ได้มีประสงค์ร้ายใช่ไหม? (รู้ว่าผิด แต่ที่ทำไปไม่ได้ตั้งใจ)
3. เขารู้ว่าผิดและมีความประสงค์ร้ายใช่ไหม? (เขารู้ที่ทำลงไปนั้นผิด และตั้งใจทำลงไปทั้งๆ ที่รู้ว่าจะทำให้คนอื่นได้รับอันตรายและความเจ็บปวด)

เราเพิ่มคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ร่วมกับความจริงบนรากฐานทางพระคัมภีร์ หลักคิดหลักเชื่อ ระบบคุณค่า และวัฒนธรรมคริสเตียน จะได้รับคำตอบที่ชัดเจน

คำถามเด่นชัดที่ละเลยไม่ได้คือ ความไว้วางใจที่ฉีกขาดสามารถที่จะเย็บชุนได้ไหม?

แน่นอน ความไว้วางใจที่ฉีกขาดนั้นสามารถเย็บชุน หรือ ซ่อมแซมใหม่ได้แน่ ให้เรากลับไปที่การตอบสนองที่เกินจริงสองประการที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ปรับแต่งให้เป็นการตอบสนองไปในทิศทางที่สร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น
1. พระคุณที่เป็นจริง
2. การตัดสินพิพากษาด้วยการซ่อมแซมและเสริมสร้างใหม่

เมื่อท่านในฐานะผู้นำเต็มใจที่จะยอมรับความเป็นจริงในสถานการณ์นั้นๆ พร้อมกับคนที่ทำผิดก็ยอมรับความจริงในสถานการณ์นั้น เมื่อนั้น พระคุณของพระเจ้าก็จะเป็นของประทานอย่างที่ควรจะเป็น ผู้กระทำผิดจะต้องมีความรับผิดชอบ รวมถึงยอมรับผลที่ตามมาจากการกระทำ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระคุณพระเจ้าก็จะเป็นสิ่งที่น่าชื่นใจ ความสัตย์ซื่อจริงใจและวุฒิภาวะหรือความเป็นผู้ใหญ่เป็นแก่นกลางของพระคุณที่มีต่อกันในสถานการณ์นั้น

ข้อฐานคิดฐานเชื่อของผมคือ จิตวิญญาณแห่งการกอบกู้ช่วยเหลือเป็นจิตใจสูงสุดในสถานการณ์นี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า “ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” (โรม 12:18) ในการนี้ต้องการการยกโทษ เมื่อคุณประกาศว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเป็นความผิด ความบาป และไม่เป็นการกล่าวโทษคนๆ นั้น ก็เป็นการร่วมกันของทั้งการสารภาพในส่วนของผู้กระทำผิด และการยกโทษจากท่าน นั่นทำให้ความไว้วางใจที่ฉีกขาดได้รับการเย็บชุนเยียวยา นี่มิใช่กระบวนการสำเร็จรูป แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและโอกาสที่แสวงหารูปแบบของความสัมพันธ์และกระบวนการการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ใหม่ อาจจะจำเป็นที่คนทำผิดคนนั้นลงจากตำแหน่งงานที่รับผิดชอบสักช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้เวลาสำหรับการเย็บชุนซ่อมแซมความไว้วางใจ

ท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า อย่าให้ความเจ็บปวด หรือ ความโกรธ จากความไว้วางใจที่ฉีกขาดจากผู้คน ทำให้ท่านต้องมองคนอื่นด้วยความไว้วางใจที่ลดน้อยถอยลง อย่าปกป้องตัวท่านเองด้วยการวางตัวออกห่างจากผู้คนด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังกล่าว เหนือสิ่งอื่นใดอย่าใช้การเยาะเย้ยถากถางในการตอบสนองคนๆ นั้น จงรักคนๆ นั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และยังให้ความไว้วางใจเขา ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงประทานสติปัญญาแก่ท่านเพื่อนำท่านผ่านไปในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้

-------------------------
บทความนี้เป็นการสะท้อนคิดและเรียบเรียงใหม่จากการอ่านบทความเรื่อง "Broken Trust" เขียนโดย Dan Reiland ท่านสามารถอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ http://aa.mg1.mail.yahoo.com/dc/launch?.gx=1&.rand=6lctb7g5h3fmt

06 กรกฎาคม 2553

มนุษย์มองเห็นพระเจ้าอย่างไร

องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเพื่อช่วยผู้คนในโลกนี้
ตามความต้องการที่จำเป็นของแต่ละคนนั้นแตกต่างหลากหลาย
ดังนั้น แต่ละคนจึงเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในพระลักษณะที่แตกต่างกัน

ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องเห็นพระองค์อย่างที่คนอื่นเขาเห็นกัน
อย่างที่โลกเห็น
หรือแม้แต่ อย่างที่คริสตจักรเห็น
อย่างที่อัครสาวกเห็น
อย่างคนอื่นๆ ที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เห็น

ที่สำคัญคือ... แต่ละคนจะเห็นพระองค์
จากการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบสนองต่อความต้องการที่จำเป็นของเขาแต่ละคน

คนอ่อนกำลังต้องการพลังของพระองค์
คนแข็งแรงต้องการความถ่อมสุภาพของพระองค์
คนที่ถูกทดลองและล้มลงต้องการการช่วยเหลืออุ้มชูของพระองค์
คนชอบธรรมต้องการจิตเมตตาสงสารของพระองค์ที่มีต่อคนบาป
คนว้าเหว่ต้องการเพื่อน
คนที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความกลัวต้องการผู้ช่วยชี้นำทาง

ไม่มีใครที่จะตอบสนองความต้องการที่จำเป็นเหล่านี้ได้นอกจากพระเจ้า และ
เมื่อท่านมีสัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง
อย่างความสัมพันธ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามีต่อคนเหล่านั้น
ท่านก็จะเห็นพระเจ้า และช่วยให้คนอื่นได้เห็นพระองค์
ท่านจะเห็นพระเจ้าผู้เป็นกัลยาณมิตร
พระเจ้าผู้ทรงช่วยชี้ทาง
พระเจ้าผู้ทรงกอบกู้ ช่วยเหลือ และ อุ้มชู

พระธรรมภาวนา

มัทธิว 5:8:
“บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า...

1ยอห์น 4:12:
ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา

สดุดี 16:11:
พระองค์ทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์
ต่อพระพักตร์พระองค์มีความชื่นบานอย่างเปี่ยมล้น
ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์

สดุดี 59:17:
ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์

มีคาห์ 6:8:
มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า
นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณา และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า

ลูกา 1:46-54
46นางมารีย์จึงว่า “จิตใจของข้าพเจ้าก็ยกย่องพระเจ้า
และวิญญาณของข้าพเจ้าก็เกิดความยินดีในพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า
48เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำแห่งทาสีของพระองค์
เพราะนั่นแหละ ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก
49เพราะว่าผู้ทรงฤทธิ์ได้ทรงกระทำการใหญ่กับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ก็บริสุทธิ์
50พระกรุณาของพระองค์มีแก่บรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ทุกชั่วอายุสืบไป
51พระองค์ทรงสำแดงฤทธิ์ด้วยพระกรของพระองค์
พระองค์ทรงกระทำให้คนที่มีใจเย่อหยิ่งแตกฉานซ่านเซ็นไป
52พระองค์ทรงถอดเจ้านายจากพระที่นั่ง และพระองค์ทรงยกผู้น้อยขึ้น
53พระองค์ทรงโปรดให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดี และทรงกระทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า
54พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ คือพระองค์ทรงจดจำพระกรุณาของพระองค์

04 กรกฎาคม 2553

พระคริสต์...ในชีวิตเรา

พระคริสต์ทรงสอนความเชื่อศรัทธา พระองค์มิได้สอนเพียงข้อเท็จจริง

พระคริสต์ทรงสำแดงวิธีการดำเนินชีวิต มิใช่ให้เพียงคำสอนเท่านั้น

พระคริสต์ทรงบ่มเพาะความเข้าใจและปัญญา มิเพียงแต่ให้ความรู้เท่านั้น

พระคริสต์ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตจิตวิญญาณด้วยพระคุณและความรักของพระองค์
มิใช่ด้วยความเข้มงวดทางธรรมบัญญัติ และ ข้อปฏิบัติหยุมหยิม

พระคริสต์ทรงสั่งสอน บ่มเพาะ และฟูมฟักชีวิตอย่างเป็นองค์รวม ให้เกิดการเรียนรู้ เติบโต และพัฒนา
มิใช่เน้นด้านจิตวิญญาณเท่านั้น

พระคริสต์บ่มเพาะฟูมฟักสาวกของพระองค์
ด้วยการกระตุ้นเตือนสติ
หนุนเสริมเพิ่มพลัง และ
เคียงข้างยืนหยัดด้วยเป็นแบบอย่างในชีวิต
ให้สาวกเรียนรู้ผ่านการกระทำพระราชกิจแห่งการทรงสละพระองค์เองเพื่อสาวกและเพื่อโลก
ด้วยสัมพันธภาพของพระคริสต์ที่มีต่อสาวก
ทำให้สาวกของพระองค์พัฒนาและเติบโตขึ้นสู่การทำอย่างพระองค์
มีชีวิตเยี่ยงพระองค์มากยิ่งขึ้น

ไม่มีมนุษย์คนใดที่ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ได้
เราเองที่จะต้องเปิดชีวิตของเรา
ให้พระวิญญาณทรงนำ
เราลงมือทำตามการทรงนำ
เราค้นพบความหมายจากประสบการณ์ของเรา
เราเกิดการเรียนรู้
เราสามารถเอื้ออำนวยให้เกิดบรรยากาศของการเรียนรู้ได้
ที่สำคัญกว่านั้น
ผู้อภิบาลและพ่อแม่ผู้ปกครองที่อุทิศตนและมีทักษะ
สามารถช่วยให้ผู้ที่ตนบ่มเพาะฟูมฟักเห็นถึงพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับตนได้
แล้วเขาจะพบคุณค่า ความหมายในตัวของเขา
ผ่านชีวิตที่หยั่งรากลงในการทรงดูแลเอาใจใส่ด้วยพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า

พระธรรมภาวนา

ยอห์น 1:14
พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา

กิจการ 20:35:
ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า 'การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'

โรม 2:19-24
19และถ้าท่านมั่นใจว่าท่านเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด 20เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก เพราะท่านมีแบบอย่างของความรู้และความจริงในธรรมบัญญัตินั้น 21ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ เมื่อท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า 22ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณี ตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารหรือเปล่า 23ท่านผู้โอ้อวดในธรรมบัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเจ้าด้วยการประพฤติผิดธรรมบัญญัติหรือเปล่า 24เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า คนต่างชาติพูดหยาบหยามต่อพระนามของพระเจ้าก็เพราะท่านทั้งหลาย

สดุดี 78:72:
ท่านจึงเลี้ยงดูเขาทั้งหลายด้วยใจเที่ยงธรรม
และนำเขาทั้งหลายไปด้วยมือช่ำชอง

1เธสะโลนิกา 2:6-8
…แต่เราก็ไม่แสวงหาศักดิ์ศรีจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากท่านหรือจากคนอื่น 7แต่ว่าเราอยู่ในหมู่พวกท่าน ด้วยความสุภาพอ่อนโยน เหมือนมารดาที่เลี้ยงดูลูกของตน 8เมื่อเรารักท่านอย่างนี้แล้ว เราก็มีใจพร้อมที่จะเผื่อแผ่เจือจาน มิใช่แต่เพียงข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น แต่อุทิศตัวเราให้แก่ท่านด้วย เพราะท่านเป็นที่รักยิ่งของเรา

01 กรกฎาคม 2553

สำเนียงที่อ่อนโยน

ในความเงียบสงัดนั้น พระเจ้าตรัสกับท่าน
จงฟังเสียงของพระองค์
อย่าฟังเสียงของโลกนี้
นอกจากเสียงที่อ่อนโยนจากเบื้องบน

จงฟังเสียงจากเบื้องบนแล้วท่านจะไม่ผิดหวัง
จงฟังเสียงที่อ่อนโยนที่เปี่ยมด้วยความเอาใจใส่
แล้วความคิดที่วิตกกังวล
เส้นประสาทที่ตึงเครียดจะได้รับการผ่อนคลาย
เสียงจากเบื้องบนมิใช่เสียงที่ดังลั่นและแข็งกร้าว
แต่เป็นเสียงที่อ่อนโยน
มิใช่เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ
แต่เปี่ยมด้วยการผ่อนคลาย

ด้วยเสียงที่อ่อนโยนและการผ่อนคลาย
บาดแผลในชีวิตของท่านจึงได้รับการเยียวยารักษา และ
ทำให้จิตใจของท่านฟื้นชื่นและเข้มแข็งขึ้น

จากนั้นก็เป็นภาระความรับผิดชอบของท่าน
ที่จะมอบกำลังทั้งสิ้นของท่านให้เป็นพลานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กำลังอันกระจิดริดของมนุษย์นั้นเป็นเหมือนโคลน
ที่เกาะติดข้างหินแกรนิตแห่งพลานุภาพของพระเจ้า

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้เอาใจใส่ด้วยความอ่อนโยนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน
ท่านจึงไม่ต้องมีความรู้สึกว่า ชีวิตท่านเป็นหนี้บุญคุณของโลกนี้
ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองท่านทั้งกลางวันและกลางคืน
ไม่มีสิ่งใดที่จะทำอันตรายท่านได้
ท่านจะต้องขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน
ถ้าเพียงท่านจะรู้ว่า...

เพราะการทรงคุ้มครองของพระองค์กระทำให้ “ลูกศรแห่งความหงุดหงิดกลัดกลุ้มและ
ความชั่วร้าย” ได้หันไปจากท่าน
จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า
สำหรับอันตรายที่เจ้าไม่รู้ ไม่เห็น แต่ได้รับการปัดเป่าจากพระองค์

พระธรรมภาวนา

อิสยาห์ 40:28:
ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์
คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก
พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย
ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้

อิสยาห์ 40:30-31:
30แม้คนหนุ่มๆ จะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย
และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว
31แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้า
จะเสริมเรี่ยวแรงใหม่
เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรีย์
เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย
เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย

อิสยาห์ 50:4:
พระเจ้าได้ประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้นของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสอน
เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ที่จะค้ำชูผู้ที่เหน็ดเหนื่อยไว้ด้วยถ้อยคำ
ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า
เพื่อให้ฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน

มัทธิว 11:28:
บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และ
เราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข