19 ธันวาคม 2559

เมื่อพระเจ้าแทรกแซงชีวิตประจำวันของเรา

ท่านคิดอย่างไรถ้าจะกล่าวว่า 

“การทรงเรียก หรือ คำตอบจากพระเจ้า ที่พระองค์ทรงแทรกแซงเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรา?” ตามพระประสงค์ และ เวลาของพระองค์

สำหรับผมส่วนตัวเห็นว่า “จริง”   เพราะเมื่อพระองค์ทรงเรียกใครก็ตาม  พระองค์ทรงเรียก หรือ ตอบคำทูลขอของคน ๆ นั้น   พระองค์ตอบและเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์  พระองค์มิได้ทรงเรียกเขาคนนั้นตามที่ใจปรารถนาต้องการของเขา   เพราะถ้าพระเจ้าตอบ หรือ ทรงเรียกตามใจปรารถนาของคน ๆ นั้นจริงพระองค์ไม่จำเป็นทรงเรียกคนนั้น   เพราะเขาตั้งใจและปรารถนาที่จะทำจะเป็นเช่นนั้นแล้ว

เมื่อพระคริสต์ทรงบังเกิดในโลกนี้   พระเจ้าทรงเรียกผู้คนหลากหลายคนด้วยกัน   เริ่มต้นตั้งแต่ทรงเรียกเศคาริยาห์และเอลิซาเบธ   มารีย์สาวพรหมจารี  โยเซฟ  คนเลี้ยงแกะ  นักปราชญ์  และ เจ้าของคอกสัตว์ที่พระคริสต์บังเกิด

เศคาริยาห์ และ เอลิซาเบธ

สามี-ภรรยาคู่นี้ได้ทูลขอบุตรจากพระเจ้าเป็นเวลาเนิ่นนาน   และคงจะเลิกที่จะทูลขออีกแล้วเพราะทั้งสองต่างแก่เฒ่า   และรู้อยู่แก่ใจว่า ที่ทั้งคู่อายุปูนนี้ไม่สามารถที่จะมีลูกอีกแล้ว  

สามีภรรยาคู่นี้ปรารถนาที่จะมีบุตรเพราะต้องการมีผู้ที่สืบวงศ์ตระกูล   อีกทั้งเป็นการแสดงให้คนทั่วไปว่า พระเจ้าทรงอวยพระพรในชีวิต    ในขณะที่พระเจ้าทรงมีแผนการของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญกว่านั้น  คือจะประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่สามีภรรยาคู่นี้   เพื่อที่บุตรชายคนนี้จะเป็นผู้เตรียมทางการเสด็จมาของพระคริสต์   ดังนั้น การที่จะประทานบุตรชายให้สามีภรรยาคู่นี้จึงมีเวลากำหนดแน่ชัดตามแผนการของพระองค์แล้ว    อีกทั้ง พระราชกิจที่กระทำในชีวิตของสามีภรรยาคู่นี้ยังมิได้ถูกจำกัดด้วยธรรมชาติของสรีระร่างกายของมนุษย์

แต่สามีภรรยาคู่นี้มองการประทานของพระเจ้าตามใจปรารถนาของตนเอง   จึงทูลขอจนล้มเลิกการทูลขอเพราะมองพระราชกิจของพระเจ้าในกรอบความจำกัดของธรรมชาติความเป็นมนุษย์   ตามกรอบคิดกรอบคาดหวังของตนเอง

ถึงแม้กาบรีเอลทูตของพระเจ้าจะบอกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ตอบคำอธิษฐานของเขา   แต่เขากลับมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างไร?   มันขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ  เพราะเขามีมุมมอง และ กรอบคิดตายตัวของตนเอง

พระราชกิจของพระเจ้าที่เข้ามาแทรกแซงในชีวิตของสามีภรรยาสูงอายุคู่นี้ คือ ภรรยาจะตั้งครรภ์  สามีกลับเป็นใบ้   บ่อยครั้งที่ผู้คนจะเข้าใจว่า  เหตุการณ์ที่เศคาริยาห์เป็นใบ้พูดไม่ได้นั้น   เป็นเพราะเขาขาดความเชื่อ   แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง   เป็นการยากอย่างยิ่งที่เศคาริยาห์ต้องตอบคำถามของผู้คนว่า   ทำไมภรรยาผู้แก่เฒ่าและสามีที่สูงอายุยังมีลูกได้  ทำอย่างไร?   สิ่งนี้เศคาริยาห์จะหนักใจว่าจะอธิบายอย่างไรดี    แต่พระเจ้าทรงประทานทางออกคือ “ให้เป็นใบ้”   พูดไม่ได้  จึงไม่ต้องอธิบาย   แต่มากกว่านั้นครับ  เพื่อคนทั้งหลายจะตระหนักชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเป็นพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของสามีภรรยาคู่นี้   และนี่คือพระเมตตาของพระเจ้า และเป็นพระพรที่ทรงมีในชีวิตของสามีภรรยาคู่นี้   เมื่อเขาตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้า

เมื่อพระเจ้าทรงตอบคำทูลของเรา หรือ เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเรา และ เมื่อพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์แทรกแซงในชีวิตของเรา   พระองค์ทรงกระทำในชีวิตประจำวันของเรา   และที่สำคัญคือ ชีวิตของเราจะถูกแทรกแซง และ จะเปลี่ยนไป   บ่อยครั้งต้องเผชิญกับความเสี่ยง  

แต่มั่นใจเถิดครับ   พระองค์เตรียมทางออกเพื่อเราซึ่งเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเราครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

12 ธันวาคม 2559

จะทำดีเพื่อพระคริสต์ หรือ จะเป็นคนที่พระคริสต์ใช้ได้?

ในแต่ละวัน   ชีวิตของเราจะถูกควบคุมด้วยพลังอำนาจที่มองไม่เห็นชัด   บ้างอาจจะถูกควบคุมด้วยความอยากได้ใคร่มีในตนเอง   บ้างถูกควบคุมครอบงำด้วยความคาดหวังของผู้อื่นที่มีต่อตน   บ้างกลับถูกครอบงำจากความกลัว หรือ ความรู้สึกผิดที่ฝังในตัวของตน   บ้างถูกกระตุ้นควบคุมจากความขมขื่นที่ชอนไชรากลึกในชีวิตของตน   บ้างถูกควบคุมจากนิสัยของตน   ในแต่ละวันชีวิตของเราแต่ละคนมักถูกครอบงำควบคุมจากพลังอำนาจไม่ประการใดก็ประการหนึ่ง

เสรีภาพ หรือ ความเป็นไทก็คือการที่เราแต่ละคนเลือกหรือยอมที่จะให้พลังอำนาจใดอำนาจหนึ่งครอบงำควบคุมการดำเนินชีวิตของเราในวันนั้น   ถ้าเราแต่ละคนเลือกที่จะให้พระเยซูคริสต์ครอบคลุมในการดำเนินชีวิตของเรา    เราก็ยอมให้พระองค์นำและทำงานในชีวิตของเราในวันนั้น   และในวันนั้นเราก็สามารถที่จะควบคุมสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นของเราอย่างสร้างสรรค์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า   แต่ถ้าเราเลือกที่จะให้พลังอำนาจอื่นเข้ามาครอบงำควบคุมการดำเนินชีวิตของเรา   เราก็ต้องดำเนินชีวิตและรับผลที่เกิดขึ้นตามพลังอำนาจนั้นจะนำเราไป   หลายครั้งที่เรายากจะฝืนง้างได้เพราะเราตกใต้พลังอำนาจนั้น

เปาโลกล่าวถึงเรื่องนี้ในโรม 6:12-13 ว่า  12 เพราะ​ฉะนั้น​อย่า​ให้​บาป​ครอบ​งำ​กาย​ที่​ต้อง​ตาย​ของ​ท่าน ซึ่ง​ทำ​ให้​ต้อง​เชื่อ​ฟัง​ตัณหา​ของ​กาย​นั้น 13 อย่า​ยก​อวัยวะ​ของ​ท่าน​ให้​แก่​บาป ให้​เป็น​เครื่อง​ใช้​ใน​การ​อธรรม แต่​จง​ถวาย​ตัว​ของ​ท่าน​แด่​พระ​เจ้า เหมือน​คน​ที่​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ตาย​แล้ว และ​จง​ให้​อวัยวะ​เป็น​เครื่อง​ใช้​ใน​การ​ชอบ​ธรรม​ถวาย​แด่​พระ​เจ้า (มตฐ. ดู  ลก. 1:74; รม. 12:1; กท. 2:20; ฮบ. 9:14; 1ปต. 4:2;)

แล้วเราจะเลือกให้พระคริสต์เข้ามาควบคุมชีวิตของเราอย่างไร?

ประการแรก   เราจะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราพยายามที่จะควบคุมการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา   บ่อยครั้งที่เราอ่อนแอ  แพ้ต่อการที่จะเอาชนะความอยากได้ใคร่มี หรือ ความปรารถนาต้องการในตัวของเราเอง   เรายอมรับว่าพลังอำนาจความตั้งใจดีของเรามักพ่ายแพ้ต่อพลังอำนาจที่ชั่วร้ายที่ฝังอยู่ในชีวิตของเรา

ประการที่สอง   เราต้องยอมรับว่า   เราไม่สามารถปกป้องตนเองจากการแผ่อิทธิพลอำนาจในสังคม และ สภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันของเรา   แม้เราจะรู้ว่า จะเกิดผลร้ายผลเสียอย่างไรถ้าพลังอำนาจแวดล้อมเข้ามาครอบงำชีวิตของเรา   แต่เราก็ไม่สามารถหลบลี้หลีกห่าง หรือ หลุดรอดออกจากการครอบงำของมันได้

ประการที่สาม   เราต้องยอมรับว่า   แม้เราจะรู้ว่าชีวิตของเราดำเนินไปในเส้นทางที่ผิดพลาด   แต่เราก็ไม่มีแรงที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางชีวิตของเราใหม่   เราเปลี่ยนชีวิตของเราเองไม่ได้

ประการที่สี่   ให้เรายอมต่อพระคริสต์   เปิดและทูลขอให้พระองค์เข้ามาในชีวิตของเราด้วยจริงใจ   ขอพระเมตตาของพระคริสต์ทำงาน เปลี่ยนแปลง และสร้างเราขึ้นใหม่

ประการที่ห้า   ทูลขอพระคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราตามพระประสงค์   และช่วยให้เราเรียนรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่มีในชีวิตเราจากการทรงทำงานและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราจากพระองค์   และ ขอพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เป็นพลังในชีวิตของเรา   ทั้งการทรงปกป้องเราจากอำนาจที่ชั่วร้าย   และเป็นพลังสร้างสรรค์ที่จะดำเนินชีวิตไปตามพระประสงค์ของพระคริสต์   และขอมอบกายถวายชีวิตทั้งสิ้นให้เป็นของพระองค์ตลอดไป

ที่ผ่านมา  เราหลายคนตั้งใจที่จะเป็นคนดีของพระคริสต์   แต่จนแล้วจนรอดเรากลับเป็นเช่นนั้นไม่ได้   เราเหนื่อยอ่อนสิ้นแรงกับ “การพยายามทำดี” ครั้งแล้วครั้งเล่า   วันนี้ให้เราทุกคนหยุด “พยายามทำดีเพื่อพระคริสต์”   แต่ให้เราเริ่มต้นเป็น “คนที่ไว้วางใจในพระคริสต์”  ว่า เมื่อพระองค์เข้ามาในชีวิตของเราแล้ว   ชีวิตของเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์   และพระองค์สร้างเราให้ดียิ่งกว่า “ลูกที่ดีของพระคริสต์”   แต่พระองค์ทรงสร้างให้ชีวิตของเราเป็น “คนที่พระคริสต์ทรงใช้ได้ตามพระประสงค์”

ให้เราเลิกที่จะพยายามทำตนเป็น “คนดีของพระคริสต์” หรือ “ทำดีเพื่อพระคริสต์”   แต่ให้เรายอมเป็นคนที่พระคริสต์ทรงใช้การได้ตามพระประสงค์   จงเลิกที่จะพยายามเป็นคนดี   แต่เริ่มมอบกายถวายชีวิตให้พระคริสต์เปลี่ยนแปลง และ สร้างใหม่  ให้เป็นคนที่พระองค์ใช้ได้ตามพระประสงค์ และ เกิดผลตามที่พระองค์ต้องการ!

และนี่คือการเตรียมรับเสด็จพระคริสต์เข้าในชีวิตของเราครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

25 พฤศจิกายน 2559

แผ่นดินของพระเจ้าในครอบครัว!

ผมเคยได้ยินคนพูดว่า  “บ้านคือที่ซุกหัวนอนในยามที่อ่อนแรงสิ้นกำลัง...”   และเคยได้ยินอีกว่า “บ้านคือที่ที่เราต้องพยายามทำดีกับคนอื่น ๆ ในบ้าน”   และหลายบ้านก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ศิษยาภิบาล ต้องพยายามฟังสมาชิกที่มาระบายและปรึกษาถึงปัญหาชีวิตด้วยความใส่ใจ   ด้วยจิตใจที่เมตตา  และที่สำคัญคือด้วยความอดทน   ตลอดวันเขาต้องแสดงความเมตตาเอาใจใส่ ให้กำลังใจกับผู้คน  ปลอบโยนคนที่กำลังทุกข์หนัก   เมื่อกลับถึงบ้านก็ตกอยู่ในสภาพที่หมดพลัง  สิ้นเรี่ยวแรง   เขากลับเป็นคนที่ต้องการความเข้าใจจากคนในบ้าน ต้องการการให้กำลังใจ  และการใส่ใจ   แล้วกี่คนในบ้านที่รู้ถึงความต้องการอย่างมากของศิษยาภิบาลท่านนี้ล่ะครับ?   แต่ที่แย่กว่านั้นคือ   ทั้งลูก ทั้งเมีย ทั้งสามี ต่างกลับเข้ามาบ้านแบบระโหยหมดแรง   ต้องการพลังหนุนเสริม   แล้วอย่างงี้ใครจะเป็นผู้เติมเต็มพลังในชีวิตของคนในครอบครัวล่ะครับ?

มิใช่ศิษยาภิบาลเท่านั้นที่มีชีวิตครอบครัวตกอยู่ในสภาพเช่นนี้   ไม่ว่าหมอ พยาบาล  ครู  ผู้บริหารคนทำงานในหน่วยงาน องค์กร แรงงานรับจ้าง ฯลฯ  ต่างต้องเผชิญกับสภาพชีวิตครอบครัวในทำนองนี้เสียส่วนใหญ่   จึงไม่น่าแปลกที่ลูกของนักจิตวิทยาแขวนคอตาย   คนในครอบครัวของหมอเป็นไมเกรน   คนในบ้านของพยาบาลมีคนเป็นโรคซึมเศร้า  ลูกของอาจารย์ตกสามวิชา  ลูกทนายเล่นยา  และ ฯลฯ   จนมีคำกล่าวในภาคเหนือว่า “ลูกอาจ๋ารย์ หลานตุ๊เจ้า”?

เราคริสตชนมักบอกว่า การทรงเรียกที่ยิ่งใหญ่และสำคัญคือการทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์   เป็นการสานต่อพระราชกิจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าที่พระองค์นำมาเริ่มต้นแล้วในโลกนี้   เราท่านอาจจะจำเป็นต้องถามตรง ๆ ว่า   พื้นที่แรกที่เราจะนำแผ่นดินของพระเจ้าให้เกิดขึ้นเป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรมในชีวิตคือพื้นที่ “ชีวิตครอบครัว”  ของเราแต่ละคนใช่ไหม?

ความใส่ใจด้วยความรัก  การช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างเมตตา   และการใช้ชีวิตแบบพระคริสต์จะเกิดขึ้นเป็นจริงได้อย่างไร?   ถ้าแผ่นดินของพระเจ้ายังไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรมในครอบครัวของเรา   แล้วเราจะนำแผ่นดินของพระเจ้าไปให้เกิดขึ้นในชุมชนสังคมโลกได้อย่างไร?

สันติสุขในครอบครัวเกิดขึ้นได้เพราะคนในครอบครัวยอมเปิดชีวิตส่วนตนและครอบครัวให้พระคริสต์เป็นใหญ่ที่สุดในทุกมิติชีวิตของเราในครอบครัว  ให้เป็นครอบครัวที่อยู่ภายใต้การครอบครองของพระเจ้า   เป็นครอบครัวที่มีน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นใหญ่ และเป็นเป้าประสงค์   เป็นครอบครัวที่สำแดงสภาพชีวิตสวรรค์ผ่านการดำเนินชีวิตประจำวันของคนในครอบครัว   เป็นครอบครัวที่ไว้วางใจในพระคุณและการทรงเอาใจใส่เลี้ยงดูของพระเจ้า   เป็นครอบครัวที่สร้างการคืนดี และ การยกโทษซึ่งกันและกัน   เป็นครอบครัวที่มีการดำเนินชีวิตที่ตระหนักชัดไม่ให้ชีวิตประจำวันตกลงใต้อำนาจของการถูกทดลองในลักษณะต่าง ๆ  แต่เชื่อพึ่งในการช่วยกู้ของพระเจ้าให้ชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนหลุดรอดออกจากการตกเป็นทาสของอำนาจแห่งความบาปชั่ว

แท้จริงแล้วการที่ครอบครัวเรามีสภาพดังกล่าวมานี้ก็เป็นครอบครัวที่ทำให้คำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนได้รับการปฏิบัติเป็นจริงในชีวิตประจำวัน  และ  นี่คือ “การแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน” ที่เป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวันของเรา (ดู มัทธิว 6:9-13;  6:33)

คงต้องกลับมาดูว่า  คริสตจักรไทยของเราได้หนุนเสริมเพิ่มพลังสมาชิกคริสตจักรในการนำแผ่นดินของพระเจ้าให้ “งอก” “เติบโต” และ “เกิดดอกออกผล”  ขึ้นในชีวิตครอบครัวมากน้อยแค่ไหน?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

20 พฤศจิกายน 2559

ระวัง...กับดักอคติ

แคเธอรีน บูธ ( Catherine Booth)  ที่รู้จักกันในนาม “เจ้าแม่เซาเวชั่น อาร์มี” ( Mother of The Salvation Army)   ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนจะมีผู้คนต่างชั้น ต่างฐานะทางสังคม และ เศรษฐกิจมาฟังเธอพูด   กล่าวได้ว่าฝูงชนที่มาไม่ว่าจะเป็นลูกเจ้าหลานเธอ  คนทุกข์ยาก เข็ญใจ  อนาถา หรือแม้แต่ยาจก   ก็ติดตามมาฟังกันที่นั่นด้วยกัน  ไม่มีการแบ่งแยก

ค่ำคืนหนึ่ง   เธอได้ไปพูดในที่หนึ่ง   ผู้ฟังหลายคนได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์   ภายหลังงานคืนนั้น   มีครอบครัวมั่งคั่งครอบครัวหนึ่งได้จัดเลี้ยงแคเธอรีนที่คฤหาสน์

หญิงเจ้าของคฤหาสน์กล่าวกับแคเธอรีน ในงานเลี้ยงนั้นว่า “ท่านรู้สึกไหมว่า   การพบปะในค่ำคืนนี้ดูน่ากลัวพิลึก   เมื่อคุณกำลังพูด   ฉันมองไปที่หน้าตาผู้คนที่อยู่รอบฉัน   หลายต่อหลายคนที่มีหน้าตาดูไม่ได้  อีกทั้งหลายคนดูน่ากลัวอย่างไงไม่รู้...  ฉันคิดว่า คืนนี้ฉันคงนอนไม่หลับแน่ ๆ”

แคเธอรีน ตอบเธอว่า  “ท่านไม่รู้จักคนพวกนี้หรือ?   ฉันไม่ได้พาพวกเขามาที่นี่นะ   แต่คนพวกนี้เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ล้อมรอบชุมชนบ้านท่าน”

เมื่อเรามองเข้าไปในสังคมโลก   เป็นการง่ายที่เราจะมองด้วยสายตามุมมองที่แบ่งแยก  ด้วยจิตใจที่อคติ   ไม่ว่าอคติด้วยการมองแบ่งแยกความแตกต่างทางเพศ  วรรณะผิวพรรณ  ฐานะทางเศรษฐกิจ  ชนชั้นทางสังคม  ฐานะ ตำแหน่ง   รูปร่างหน้าตา  หรือ เบื้องหลังความเป็นมาของชีวิตคนนั้น ๆ   การมองแบ่งแยกเช่นนี้บ่อยครั้งที่นำไปสู่การมองด้วยสายตาดูถูก ดูแคลน  เหยียดหยาม สร้างความรังเกียจเดียดฉัน  กลัว  และความเป็นศัตรูกัน

ที่สำคัญคือ  มุมมองเช่นนี้เป็นมุมมองคนละขั้วกับ มุมมองที่พระคริสต์ต้องการให้คริสตชนทุกคนมี   สัจจะความจริงก็คือว่า  พระคริสต์ต้องการให้คริสตชนแต่ละคนมองคนอื่น และ กระทำต่อผู้คนรอบข้างตนว่าเป็น “เพื่อนบ้าน” ของตน   ไม่ว่าผู้คนเหล่านั้นจะมีความแตกต่างมากน้อยเช่นไรจากตนเอง หรือ พวกตนก็ตาม

ในพระธรรมโคโลสี  เปาโล กล่าวไว้ว่า   ให้เราประหารโลกียวิสัยในตัวเราเสีย (3:5)   อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในชีวิตคริสตชน   แต่ให้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ที่กำลังได้รับการสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายาของพระเจ้า (3:10)   และการสร้างวิสัยมนุษย์ใหม่ในตัวเรา   พระคริสต์ไม่ได้แบ่งแยกว่าพระองค์สร้างในคนแบบไหน  ลักษณะอย่างไร (ข้อ 11)  แต่พระคริสต์มองว่าแม้คนจะแตกต่างกันแค่ไหนเช่นไร   พระคริสต์ก็จะสร้างคนเหล่านั้นขึ้นใหม่   มิใช่ตามมาตรฐาน หรือ กระแสนิยมแห่งสังคมโลกนี้ (โรม 12:1-2)  แต่พระองค์สร้างเราขึ้นตามแบบชีวิต(พระฉายา)ของพระผู้สร้างเราทั้งหลาย

ใครก็ตามที่ยอมเปิดชีวิตทั้งสิ้นของตนให้พระวิญญาณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงใหม่   คน ๆ นั้นจะมีมุมมองโลกและคนอื่นรอบข้างที่แตกต่างไปจากเดิม   พระวิญญาณจะเปลี่ยนมุมมองที่มองคนอื่นอย่างอคติ   ให้กลับมามองผู้คนด้วยมุมมองที่รัก เมตตา และต้องการที่จะให้ชีวิตของตนแก่คนนั้นที่อยู่ล้อมรอบเรา   และนี่คือพระราชกิจของพระเจ้าที่กระทำการเปลี่ยนแปลงและสร้างเราขึ้นใหม่   ให้เป็นคนที่สำแดงพระฉายาของพระองค์ในชีวิตของเราแต่ละคน


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

14 พฤศจิกายน 2559

พระเจ้า...ลูกยังไม่พร้อม?

วันนี้ท่านเต็มใจที่จะมอบทั้งกายและถวายทั้งชีวิตรับใช้พระเจ้า  ในที่ที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่หรือไม่?   ไม่ว่าในครอบครัวคริสตจักร   หรือที่ที่พระคริสต์ส่งท่านออกจากคริสตจักรเข้าไปในสังคม/ชุมชน  ไม่ว่า ในครอบครัวของท่าน   ในที่ทำงานของท่าน  ในเวลาที่ท่านใช้กับเพื่อนของท่านในกลุ่ม หรือ ผ่านเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ   รวมถึงการร่วมในงานพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชน

คริสตชนหลายท่านอาจจะตอบว่า   ตนเต็มใจที่จะมอบกายถวายชีวิตนี้รับใช้พระเจ้า   แต่ตนยังขาดความพร้อม   เราต้องไม่ลืมแต่ต้องตระหนักชัดว่า   เมื่อพระเจ้าทรงใช้เรา พระองค์มิได้มองว่า “เรามีความพร้อม” มากน้อยแค่ไหน   พระเจ้ามิได้ทรงเรียกเรารับใช้พระองค์ด้วยความสามารถ  สติปัญญาของเราเท่านั้น   แต่พระองค์ต้องการที่จะทำงานในและผ่านทุก ๆ มิติในชีวิตของเรา   อ่านให้ชัดนะครับว่า “พระเจ้าต้องการทำงานในและผ่านชีวิตของเรา” ใช่ พระองค์ทำงานผ่านความรู้ ความสามารถ และ ทักษะที่เราเองอาจจะรู้ “จำกัด” หรือ “ขาดด้อย”   แต่พระองค์ทำงานในชีวิตและผ่านชีวิตของเรา  พระองค์จะทรงเติมเต็มเราให้มีสิ่งจำเป็นเหล่านี้เพียงพอสำหรับงานที่พระองค์กระทำผ่านชีวิตของเรา  

ให้เราระลึกถึง แป้งที่ติดก้นหม้อ และ น้ำมันที่อยู่ก้นไห ของหญิงม่ายเมืองศาเรฟัท ที่ยอมทำตามคำขอของเอลียาห์   ผลที่เกิดขึ้นคือ ทั้งน้ำมัน และ แป้ง ใช้ไม่หมดสักทีในช่วงเวลาที่อดอยากขัดสน   มีพอทุกมื้อทุกวัน  และยังพอสำหรับทั้งท่านผู้เผยพระวจนะ และ ตัวนางพร้อมลูกของนางด้วย (1พงศ์กษัตริย์ 17:8-16)  

เมื่อพระเจ้าทำงานผ่านชีวิตของเรา   นอกจากเรามีส่วนร่วมที่จะทำให้พระประสงค์ของพระองค์ในครั้งนั้น ๆ สำเร็จ   เราเองยังได้รับการพัฒนาเสริมเพิ่มเติมเต็มจากพระเจ้า   ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา  ทักษะ ความสามารถ ความรู้  ความชำนาญ  และความเข้าใจในชีวิตรอบด้านด้วย  

หรือถ้าจะกล่าวว่า “ยิ่งทำยิ่งพร้อม”  “ยิ่งรับใช้ยิ่งเข้มแข็ง และ เติบโตในพระคริสต์” ก็ไม่ผิด!

เปาโลบอกกับคริสตชนในโครินธ์ว่า  “...ท่าน​จง​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​เจ้า​ด้วย​ร่างกาย​ของ​ท่าน​เถิด​” (1โครินธ์ 6:20 ข.  มตฐ.) 

ให้เราถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยทั้ง กาย ใจ จิตวิญญาณ  ตะลันต์ความสามารถ  ความรู้พร้อมทักษะ  และของประทานทั้งหลายที่เราได้รับจากพระองค์   นอกจากพระประสงค์ของพระเจ้าจะสำเร็จผ่านชีวิตที่รับใช้ของเราแล้ว   เราเองยังได้รับการเสริมสร้างจากพระเจ้าที่มี “ความพร้อม” มากขึ้นในการรับใช้พระเจ้าในงานต่อ ๆ ไปด้วย

นอกจากนั้นแล้ว   การร่วมรับใช้พระประสงค์และพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำผ่านชีวิตของเรา  ยังนำความรู้สึกชื่นชม ขอบคุณของผู้ได้รับผลจากการรับใช้    ซึ่งทำให้เกิดการถวายพระเกียรติ และ สรรเสริญพระนามพระเจ้า  ทั้งคริสตชนที่รับใช้พระเจ้าก็ขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ด้วย   และนี่คือการถวายเกียรติและสรรเสริญพระนามของพระเจ้าอย่างแท้จริง   มิใช่แค่การมาร่วมในการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักรเท่านั้น

การรับใช้พระเจ้าวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า หรือ ในแผ่นดินสวรรค์ อย่างเป็นรูปธรรม(สัมผัส จับต้องในชีวิตจริงปัจจุบัน)   และการรับใช้ทำให้เรามีชีวิตเติบโตและเข้มแข็งขึ้นในแผ่นดินสวรรค์ที่พระคริสต์ได้เริ่มต้นสถาปนาขึ้นแล้วบนแผ่นดินโลกนี้   การรับใช้พระเจ้าจึงเป็นการสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในที่ที่เราแต่ละคนมีชีวิตและดำเนินชีวิตประจำวัน

ชีวิตในแผ่นดินสวรรค์ หรือ ชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า ที่พระคริสต์นำมาสถาปนาบนโลกใบนี้   มิใช่การนุ่งขาวห่มขาว   มิใช่ชีวิตที่แยกตนออกจากสังคมโลกและหามุมมืดที่จะนั่งบ่นภาวนาเท่านั้น   แต่สำหรับพระคริสต์แล้ว   ชีวิตของคนที่เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า   ต้องเป็นชีวิตที่เป็นแสงสว่าง และ ความเค็มของเกลือที่แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูชีวิตของสังคมที่เราอาศัยอยู่ด้วย  

ดังนั้น   คริสตจักรคือชุมชนที่พระคริสต์ตั้งขึ้นเพื่อบ่มเพาะ ฟูมฟัก เลี้ยงดูให้ทุกคนในคริสตจักรมอบกายถวายทั้งชีวิตรับใช้พระคริสต์ในชุมชนที่ตนมีชีวิตอยู่   และนี่คือพระประสงค์ของพระคริสต์ที่ทรงก่อตั้งคริสตจักรขึ้น  

คริสตจักรของพระคริสต์ ที่มิใช่เป็นเพียงการ “หาคนใหม่ ๆ มาใส่คริสตจักร” จำนวนสมาชิกมากขึ้น   เพื่อมีเงินถวายมากขึ้น   เพราะถ้าทำเช่นนั้นเรากำลังสร้างคริสตชนเหมือนคนประหลาดที่นำมาแสดงในงานวัดในอดีต  ที่เอาคนพิการลักษณะประหลาด ๆ  มาแสดงเก็บสตางค์จากผู้ชม   ถ้าเช่นนั้นเรากำลังสร้าง  “คริสตชนที่หัวโต  ตัวเล็ก ไร้แขนและขาลีบ”   นอกจากทำอะไรไม่ได้แล้ว   ยังต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นช่วยให้สามารถมีชีวิตต่อไปด้วย

การรับใช้พระคริสต์ในชีวิตประจำวันของคริสตชนเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่ง ในการเป็นสาวกของพระคริสต์   เพราะเท่ากับเราเปิดชีวิตของเรารับการสร้างเสริมเพิ่มเติมเต็มจากพระเจ้าให้เป็นคนที่เติบโตขึ้น และ เป็นคนที่พระองค์ใช้ได้ตามพระประสงค์

อย่าตระหนักผิดคิดพลาดนะครับว่า   เรายังไม่พร้อมที่จะรับใช้พระเจ้า

แต่ให้เราตระหนักชัดว่า  วันนี้ให้เรามอบกายถวายทั้งชีวิตของเราให้พระคริสต์ทำงานผ่านชีวิตของเรา (ไม่ใช่เราทำเองด้วยความสามารถของเรา)  ในกระบวนการรับใช้และพระองค์ทำงานผ่านชีวิตของเรานั้นเองที่พระเจ้าทรงสร้างเสริมเติมเต็มให้ชีวิตของเรา “พร้อม” ที่จะรับใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์มากขึ้น

จุดเริ่มต้นสำหรับวันนี้   ขอท่านพิจารณาใคร่ครวญถึงชีวิตของตนว่า   ปัจจุบันนี้ท่านกำลังใช้ทุกมิติชีวิตของท่านเพื่อตนเอง หรือ เพื่อให้พระคริสต์จะทำงานผ่านชีวิตประจำวันของท่านตามพระประสงค์ของพระองค์?   เมื่อพบความจริงอย่างไรแล้วก็ให้ปรึกษากับพระคริสต์ตรง ๆ ว่า  พระองค์จะทรงทำงานในชีวิต และ ผ่านชีวิตของท่านอย่างไรในวันนี้ก็เต็มใจให้พระองค์ใช้ตามพระประสงค์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

07 พฤศจิกายน 2559

ท่านผู้นำครับ...ความมั่นคงของท่านอยู่ในพระเจ้า หาใช่คนที่ติดตามท่าน

ถ้าพระเจ้ามิใช่แก่นกลางในสิ่งที่เราทำ มานะ ทุ่มเท และ พยายามแล้ว   สิ่งที่เราลงทุนก็ไร้ค่า สิ่งที่เราลงแรงก็เหนื่อยเปล่า  สดุดี 127:1 กล่าวไว้ว่า  “ถ้า​พระ​เจ้า​มิได้​ทรง​สร้าง​บ้าน​   บรรดา​ผู้​ที่​สร้าง​ก็​เหนื่อย​เปล่า   ถ้า​พระ​เจ้า​มิได้​ทรง​เฝ้า​อยู่​เหนือ​นคร   คน​ยาม​ตื่น​อยู่​ก็​เหนื่อย​เปล่า” (มตฐ.)   และนี่คือสัจจะความจริงไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นผู้นำในกองทัพ  หรือ เป็นผู้นำในบริษัทที่ยิ่งใหญ่   หรือในองค์กรระดับโลก  หรือ  แม้แต่องค์กรเล็ก ๆ ในชุมชน   การเป็นผู้นำในองค์กรเหล่านี้จะประสบกับความมั่นคง ยั่งยืน และเกิดผลได้นั้นต้องมีพระเจ้าเป็นแก่นกลางของการนำ การดำเนินการขององค์กร

สิ่งที่เราพึงระมัดระวังในการบริหารจัดการองค์กรของเราคือ   องค์กรคริสตชนในปัจจุบันเรา “มักจะมีพระเจ้าเข้ามาเพียงมีส่วนร่วม” ในการบริหารจัดการองค์กรเท่านั้น   ให้พระเจ้ามีส่วนร่วมในเป้าหมาย  แผนยุทธศาสตร์  แผนการดำเนินงานของเราเท่านั้น   นั่นมิได้ทำให้เกิดความมั่นคง ยั่งยืน และ เกิดผลในองค์กรของเรา   เพราะพระเจ้ามิใช่แก่นแกนขององค์กรเรา  มิใช่เสาหลัก และ รากฐานขององค์กรเรา  แค่เป็นเพียงผู้มีส่วนร่วม หรือ ทำในสิ่งที่เราขอ   เราไม่ได้มอบให้พระองค์เป็นเจ้าขององค์กรของเรา  และ ควบคุมการขับเคลื่อนองค์กรเรา

เราต้องตระหนักชัดว่าพระเจ้าเท่านั้นที่จะให้ความมั่นคง ยั่งยืน และ เกิดผลในองค์กรของเรา   เราไม่สามารถได้สิ่งนี้จากคนที่เรานำ  หรือ คนที่มีส่วนร่วมในองค์กรของเรา   เราไม่สามารถได้สิ่งเหล่านี้จากแผนยุทธศาสตร์ของเรา   และไม่สามารถได้สิ่งเหล่านี้จากแผนกลยุทธ์ทางการเมืองในองค์กรของเรา   และคุณก็ไม่สามารถใช้เงินซื้อสิ่งเหล่านี้ได้   แต่ความจริงก็คือ
  • มนุษย์ไม่สามารถให้ความปลอดภัย มั่นคง ที่ยั่งยืนให้แก่ผู้นำได้  (นั่นหมายความว่า ไม่ว่าด้วยวิธีการประชานิยม หรือ การซื้อ (ทั้งเสียง และ ใจ) ประชาชนก็ไม่สามารถสร้างความปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืนให้แก่ผู้นำได้)
  • ผู้นำไม่ควรที่จะให้ภาวะผู้นำทางอารมณ์ความรู้สึกขึ้นอยู่กับผู้ตาม หรือ คนใดคนหนึ่งรอบข้างตน (กล่าวคือ ภาวะอารมณ์ของผู้นำไม่ควรขึ้นอยู่การรักการเกลียด การสนับสนุนหรือการต่อต้าน  ฯลฯ ของผู้ตาม หรือ พวกลิ่วล้อ คนเกี่ยวข้อง “กุนซือการเมือง” ของตน   และรวมถึงคนฝ่ายตรงกันข้าม)
  • ภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณ และ อารมณ์ต้องการการค้ำจุนจากสัจจะความจริง (ภาวะผู้นำทางอารมณ์ของผู้นำหยั่งรากบนรากฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า  และยืนมั่นในพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของตน)
  • ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้นำพึ่งพามนุษย์  ริทำในสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นทรงกระทำได้  (บ่อยครั้งเหลือเกินที่เราได้เห็นว่า   ผู้นำทุ่มทุกอย่างเพื่อเอาใจคนรอบข้าง   เพื่อจะให้คนเหล่านั้นทำบางอย่างที่ตนต้องการ   หลายอย่างที่มนุษย์มีศักยภาพ และ ของประทานที่สามารถทำได้   แต่มีหลายอย่างที่พระเจ้าเท่านั้นกระทำได้   แต่ถ้าผู้นำคนใดมุ่งให้คนรอบข้างทำทุกอย่างเพื่อตนเอง   ความล้มเหลวและความหายนะขององค์กรรออยู่ข้างหน้า)


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

03 พฤศจิกายน 2559

เก้าอาการของคริสตจักรที่ติดเชื้อในกระแสเลือด

อาการติดเชื้อในกระแสเลือดมักเห็นได้ชัดในคริสตจักรที่มีอายุได้สักระยะหนึ่ง คริสตจักรเหล่านี้จะค่อย ๆ เข้าสู่ภาวะ ที่ตายแล้วทั้ง ๆ ที่ยังดำเนินกิจกรรมแบบซ้ำซากทุกเมื่อเชื่อวัน ต่อไปนี้เป็น 9 อาการที่คริสตจักรติดเชื้อในกระแสเลือด ที่จะนำคริสตจักรไปสู่ความตาย ถ้าไม่มีการจัดการเชื้อที่เข้าไปในกระแสเลือดของคริสตจักร

สมาชิกคริสตจักรกลายเป็นผู้ชมไม่ใช่ ผู้ชก

คริสตจักรกลายเป็นที่คนมาร่วมกันเพื่อเป็น ผู้ชมอย่างคนดูมวย ชมคอนเสิร์ต ฟังการเทศน์ หรือ ฟังการบรรยาย โดยไม่ต้องมีส่วนร่วมในเนื้อหาสัจจะของการนมัสการเลย สิ่งที่ได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ไม่มีอิทธิพลหรือพลังต่อความนึกคิด และ การดำเนินชีวิตประจำวันในชีวิตของสมาชิกเหล่านั้น

แท้จริงแล้ว คริสตจักรไม่ต้องการให้สมาชิกเป็นคน เชียร์มวย แต่คริสตจักรต้องการนักมวยที่สามารถออกไป ชกกับสถานการณ์ชีวิตประจำวันที่ตนต้องเผชิญ หรือ ต้องต่อสู้ เพื่อชีวิตของสมาชิกแต่ละคนจะเจริญเติบโต แข็งแรง และ เกิดผล เพื่อคริสตจักรจะยังมีชีวิตและเกิดผลตามพระประสงค์ของพระคริสต์

ข้อมูลความรู้ที่ไม่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต

สิ่งที่สอน ที่อ่าน เป็นเพียงข้อมูลหรือความรู้เท่านั้น แต่กลับไม่ได้เกิดการเรียนรู้สัจจะความจริง แล้วนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันตลอดสัปดาห์ ทั้งชีวิตในครอบครัว ในที่ทำงาน ความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนและการมีชีวิตร่วมในชุมชน จึงไม่แปลกที่สิ่งที่พูดกันทำกันในคริสตจักรกลายเป็นอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกที่เป็นจริงในชีวิตประจำวันของตน สิ่งที่สอนที่เทศน์เป็นข้อมูลความรู้ที่ดี แต่ไม่สามารถทำให้เกิดผลดีในชีวิตของคนที่ได้ยินได้ฟัง?

มัวสนใจตนเองแต่ไม่ใส่ใจชุมชน (มัวส่องกระจกแต่ไม่มองออกไปนอกหน้าต่าง)

หลายต่อหลายคริสตจักรที่มัวใส่ใจกับตนเองหรือเรื่องในคริสตจักรเท่านั้น เหมือนกับคนมองตนในกระจก เพียงสนใจในรูปร่าง ลักษณะ ของตนว่าจะทำอย่างไรที่ให้ดูดีในสายตาของคนอื่น แต่สมาชิกคริสตจักรเหล่านี้ละเลยและไม่สนใจว่าผู้คนในชุมชนที่ตนเกี่ยวข้องด้วยจะมีชีวิตแบบไหนอย่างไร ตนจะมีส่วนที่ดีในชีวิตของผู้คนเหล่านั้นอย่างไร เหมือนที่มีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า คริสตจักรมัวแต่ส่องกระจกเพื่อแต่งองค์ทรงเครื่องตนเอง แต่ละเลยที่จ้องมองออกไปยังทางหน้าต่างเพื่อจะเห็นว่าคนในชุมชนมีชีวิตเช่นไร แล้วตนและคริสตจักรจะเข้าไปมีส่วนร่วมทุกข์ร่วมสุขเพื่อเสริมสร้างคุณภาพในชีวิตชุมชนอย่างไร

ผูกพันแต่ไม่ยอมผูกมัดตนเอง

ปัจจุบันนี้ เรามีสมาชิกคริสตจักรที่มีความผูกพันกับคริสตจักร คือยอมรับว่าตนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักร ตนพร้อมจะมาร่วมพันธกิจและร่วมชีวิตในชุมชนคริสตจักร ตามกำลังและเวลาที่ตนมีและสามารถจะมาร่วมได้แต่สมาชิกเหล่านี้จะไม่ยอมที่จะ ผูกมัดตนว่า ตนจะเปลี่ยนแปลงชีวิต อุทิศชีวิต เวลา และความสามารถรับใช้และสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน

ร่วมศาสนพิธีแต่ไม่ลงลึกถึงความหมายและคุณค่า

สมาชิกที่มุ่งมาร่วมศาสนพิธีในคริสตจักร มักจะมาร่วมศาสนพิธีตามเวลาโอกาสและจิตใจของตนเองจะเอื้ออำนวย และเมื่อมาร่วมสักระยะหนึ่งจะเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปแบบเดิม ๆ พูดเรื่องเดิม ๆ ทำพิธีเดิม ๆ ร้องเพลงเดิม ๆ แล้วก็จะเกิดความเบื่อหน่าย มาร่วมบ้างไม่มาร่วมบ้าง

อันตรายของสมาชิกที่มาร่วมในคริสตจักรเพียงเพื่อร่วมในการประกอบพิธีทางคริสต์ศาสนาเท่านั้น สมาชิกกลุ่มนี้จะไม่สนใจเรื่องคุณค่าความหมายของการมาร่วมพันธกิจในคริสตจักร พระกิตติคุณของพระคริสต์ พระวจนะของพระเจ้าไม่มีคุณค่า ความหมาย และ อิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเขา

ต้องการให้ตนเองเจริญมั่งคั่งที่ปราศจากการเอื้ออาทรและใจกว้างขวาง

สิ่งที่น่าอันตรายอีกสิ่งหนึ่งคือ บ่อยครั้งที่สมาชิกคริสตจักรถวายทรัพย์สินสิ่งของแด่พระเจ้า สมาชิกส่วนหนึ่งหวังว่าเมื่อตนถวายให้พระเจ้า พระเจ้าจะต้องอวยพระพรเพราะการที่ตนถวาย พูดให้สั้น ๆ ฟันธงว่า บ่อยครั้งในใจลึก ๆ ของสมาชิกคริสตจักรส่วนหนึ่งถวายด้วยหวังผล ว่าตนจะได้รับพระพรความมั่งคั่ง อันตรายคือ ถ้าไม่ได้รับความมั่งคั่งสมใจก็เริ่มลดและละเลยในการถวาย เพราะถวายแล้วไม่เห็นผล

ความคิดการถวายโดยหวังให้พระเจ้าอวยพระพรให้ตนจะมั่งคั่ง สมาชิกกลุ่มนี้มักจะไม่สนใจที่จะมีจิตใจที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง เป็นการถวายที่ขาดจิตใจที่เอื้ออาทรและให้ผู้อื่นด้วยใจกว้างขวาง

คนเพิ่มขึ้นแต่ไม่เกิดผล

เมื่อคริสตจักรพูดถึงเรื่องการเพิ่มพูนคริสตจักร ปัจจุบันหลายคริสตจักรหมายถึงการที่มีคนมาร่วมกิจกรรม
หรือพันธกิจในคริสตจักรมากขึ้น โดยคริสตจักรละเลยการเลี้ยงดู บ่มเพาะ และฟูมฟักชีวิตการเป็นสาวกของพระ
คริสต์ที่เติบโตขึ้น และคริสตจักรจะวัดการเพิ่มพูนคริสตจักรด้วยจำนวนสมาชิกที่เพิ่มมากขึ้น เงินถวายเพิ่มมาก
ขึ้นเท่าใด หรือไปตั้งคริสตจักรใหม่ได้กี่แห่ง แต่ไม่ได้ใส่ใจว่า สมาชิกคริสตจักรแต่ละคนในคริสตจักรได้รับการสร้างเสริมให้มีชีวิตที่เยี่ยงพระคริสต์ และ รับใช้อย่างที่พระองค์เป็นแบบอย่างมากน้อยแค่ไหน

มีแต่ สมาชิกคริสตจักรแต่ไม่มี สาวกพระคริสต์

คริสตจักรหลายแห่งในปัจจุบัน เริ่มละเลย ลดทอน การใส่ใจวางรากฐานพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตของสมาชิกวัยต่าง ๆ ในคริสตจักรของตน เหลือแต่การสอนและเทศนาพระวจนะของพระเจ้าในการนมัสการเท่านั้น คริสตจักรไม่มีกลุ่มเฉพาะที่จะเลี้ยงดูฟูมฟักสมาชิกคริสตจักรแต่ละความสนใจ เพื่อช่วยให้เขาสามารถเติบโตขึ้นในชีวิตคริสตชนด้านต่างๆ

คริสตจักรที่ไม่สร้างสาวก ก็จะเป็นคริสตจักรที่สมาชิกไม่ได้รับใช้พระคริสต์ในการทำพันธกิจด้านต่าง ๆ ทั้งในคริสตจักร และ ในชุมชน เมื่อสมาชิกไม่มีส่วนร่วมและใช้ชีวิตในการรับใช้พระคริสต์ในการทำพันธกิจด้านต่าง ๆ
ชีวิตของสมาชิกก็ไม่เติบโต นาน ๆ เข้าก็เป็น คริสตชนตายซาก

ทำตามหน้าที่โดยปราศจากความรักเมตตา

ในคริสต์ศตวรรษนี้ มักมีคริสตจักรที่ทุ่มเทในการทำกิจกรรมมากมาย (บางครั้งทำกิจกรรมจนทั้งศิษยาภิบาลและสมาชิกกลุ่มหนึ่งเหนื่อยอ่อนหมดแรง) ปฏิทินเต็มด้วยแผนงานและกิจกรรมของคริสตจักร แต่หัวใจของสมาชิกกลับว่างเปล่า กล่าวคือมีกิจกรรมมากมาย สมาชิกมาร่วมกันทำเพราะคิดว่าทำตามหน้าที่ หรือ เพราะเห็นแก่ศิษยาภิบาล และการทำกิจกรรมเหล่านั้นโดยปราศจากจิตใจที่รักเมตตา แต่จะแย่เอามาก ๆ ถ้าทำด้วยจิตใจที่เย็นชา (วิวรณ์ 2:2-5; มัทธิว 24:12)

ถึงเวลาที่คริสตจักรจะถอนพิษออกจากกระแสเลือดของตนหรือยังครับ?

แล้วจะถอนพิษติดเชื้อในกระแสเลือดของคริสตจักรอย่างไรดีครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com

081-2894499

25 ตุลาคม 2559

สี่เสาหลักค้ำความสัมพันธ์

ไม่ว่าส่วนตัวเรากับพระเจ้า   ในครอบครัว   ในที่ทำงาน   ในกลุ่มเพื่อน  หรือ  แม้แต่ในชุมชน   ความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะจะประสาน เชื่อมโยง  และมัดตรึงให้ชุมชนนั้น ๆ เกิดความผูกพันเป็นรากฐานที่จะให้เกิดการขับเคลื่อนชีวิตร่วมกันไปอย่างมีเป้าหมาย คุณค่า  และความหมาย

ความสัมพันธ์เป็น “หัวใจ” ของพระคัมภีร์   ความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ สรรพสิ่ง  และมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง   แต่เพราะความสัมพันธ์ดังกล่าวถูกทำลายโดยอิทธิพลอำนาจแห่งความบาปชั่ว   ทำให้ความสัมพันธ์อันดีดังกล่าวต้องฉีกขาดหายนะลง    พระเยซูคริสต์ต้องมากอบกู้ปะชุนความสัมพันธ์อันดีนั้นขึ้นมาใหม่ด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข   ความรักที่ไม่มีพรหมแดน   ความรักที่ไม่มีขีดจำกัด   ด้วยความรักอย่างพระคริสต์นี้เองที่สามารถมองข้ามความจำกัด ความล้มเหลว และความไม่เอาไหนของมนุษย์   และให้ความรักดังกล่าวด้วยชีวิตของพระองค์เองแม้แต่คนที่ไม่สมควรที่จะรับความรักนั้น   

ด้วยความรักที่ให้ชีวิตนี้เอง  ที่ทำให้เกิดการให้อภัยแม้แต่เราผู้ไม่สมควรจะได้รับ   ด้วยความรักที่ให้ชีวิตของพระคริสต์นี้เอง   จึงเปลี่ยนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือคนที่รับใช้คนอื่นด้วยชีวิต   ให้เป็นคนที่ใส่ใจหนุนเสริมคนรอบข้างดั่งพระคริสต์มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างแก่เราแล้ว

ฟังอย่างใส่ใจ

การได้ยิน กับ การฟัง มีความแตกต่างกันอย่างมาก   และจะแตกต่างกันอย่างลิบลับ เมื่อเราฟังอย่างใส่ใจ   การฟังอย่างใส่ใจ   เป็นการสนอกสนใจในคำที่เขาพูด   ทำให้เราได้ยินสิ่งที่เขากำลังพูดชัดเจน  กล่าวคือการฟังอย่างใส่ใจจนคำที่เราได้สัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึก  ความต้องการ  ความเจ็บปวด   เป็นการฟังที่เราสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่เขาต้องการบอกเราและให้เรารับรู้ด้วยหัวใจและความคิด

ด้วยการฟังอย่างใส่ใจนี้เองที่เป็นเงื่อนไขที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ของเรากับเขาคนนั้นเกิดความไว้วางใจกัน  ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคง   สิ่งพึงระมัดระวังอย่างมากคืออย่าให้ความวอกแวกและสิ่งที่เราจะทำให้เขวหันออกไปจากสิ่งที่เขาตั้งใจจะบอกเรา  และที่เราจะใส่ใจฟังอย่างสนอกสนใจ

การฟังอย่างใส่ใจจำเป็นจะต้องหยุดการ “เขี่ย” บนไลน์   หยุดการก้มหน้าดูโทรศัพท์   ลุกขึ้นจากโต๊ะคอมพิวเตอร์   เอาหูฟังที่เรากำลังฟังเพลงออก   แล้วให้ความสนใจและใส่ใจอย่างเต็มร้อยกับคนที่กำลังพูดกับเราที่อยู่ตรงหน้า   และนี่เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงในความสัมพันธ์ที่เรามีกับคน ๆ นั้นครับ
“ดูก่อน​พี่​น้อง​ที่​รัก​ของ​ข้าพเจ้า จง​ทราบ​ข้อ​นี้
จง​ให้​ทุก​คน​ไว​ใน​การ​ฟัง ช้า​ใน​การ​พูด ช้า​ใน​การ​โกรธ” (ยากอบ 1:19 มตฐ.)

รักด้วยการให้ชีวิต

ความรักเป็นคำที่พวกเราพูดกันมากมาย   แต่ปฏิบัติกันเพียงน้อยนิด   และที่แย่กว่านั้นคือ เป็นคำที่คนเทศนาไม่ทำตามที่เทศน์มากที่สุด   ความรักเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์โดยตรง   เราพบเห็นในพระคัมภีร์ถึงความรักที่ไร้ขอบเขตพรหมแดนและเงื่อนไขของพระคริสต์   เป็นความรักที่ทุ่มสุดชีวิต

คนทั่วไปจะสัมผัสความรักที่ว่านี้ก็เพราะเรารักด้วยการกระทำในชีวิตประจำวันของเรา   ประเด็นสำคัญคือความสัมพันธ์ของเราวางบนรากฐานว่าเรารักอย่างพระคริสต์หรือไม่แค่ไหน?    ความรักแบบพระคริสต์ได้ไหลซึมออกมาจากการปฏิบัติในทุกมิติชีวิตประจำวันหรือไม่?  และนี่คือรากฐานสำคัญของการทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืน
“...พวก​ท่าน​จง​รัก​พระ​เจ้า​ด้วย​สุด​จิต​สุดใจ​ของ​ท่าน ด้วย​สุด​ความ​คิด​และ​ด้วย​สิ้นสุด​กำลัง​ของ​ท่าน   และธรรม​บัญญัติ​ที่​สอง​นั้น​คือ จง​รัก​เพื่อน​บ้าน​เหมือน​รัก​ตนเอง  ธรรมบัญญัติ​อื่น​ที่​ใหญ่​กว่าธรรม​บัญญัติ​ทั้ง​สอง​นี้​ไม่​มี”
(มาระโก
12:30-31 มตฐ.)

สร้างสัมพันธ์ด้วยการรับใช้

ความสัมพันธ์สามารถเกิดขึ้นเพราะการรับใช้  ซึ่งการรับใช้นั้นมีหลายรูปแบบ และ เกิดขึ้นได้ในทุกมิติชีวิต   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างแก่เหล่าสาวก  ประชาชน  และคนประเภทต่าง ๆ ด้วยการรับใช้ที่ตอบโจทย์ในชีวิตของแต่ละคน   การรับใช้เกิดจากการที่คนนั้นมีความรักเมตตาจนให้ชีวิตแก่อีกคนหนึ่งหรืออีกกลุ่มคนหนึ่ง   การนำด้วยการรับใช้ของพระคริสต์เป็นการสวนกระแสสังคม และ สวนทางกับระบบคุณค่า และ ค่านิยมในสังคมไม่ว่าในสมัยของพระองค์ หรือ สมัยปัจจุบันก็ตาม   การที่จะรับใช้ด้วยชีวิตเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องมาจากความรักที่ให้ชีวิตแก่คนอื่นด้วยความถ่อมใจ  เฉกเช่น พระคริสต์ถ่อมพระองค์ลงล้างเท้าสาวก  และถ่อมลงจนยอมตายเพื่อคนทั้งหลาย

เรารับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชีวิตของประชาชน   มิใช่เพื่อให้คนอื่นได้รู้ได้เห็นสิ่งที่เราทำ   แต่เพราะเราสำนึกในพระคุณที่พระองค์ทรงถ่อมลงรับใช้ด้วยชีวิตเพื่อเราก่อน   และเราสานต่อพระราชกิจแห่งการรับใช้ด้วยชีวิตเยี่ยงพระคริสต์   เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบพระคริสต์ท่ามกลางสังคมโลกต่อจากพระคริสต์  
“เหตุ​ฉะนั้น​เมื่อ​เรา​มี​โอกาส ให้​เรา​ทำ​ดี​ต่อ​คน​ทั้ง​ปวง
และ​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​ต่อ​ครอบครัว​ที่​มี​ความ​เชื่อ​” (กาลาเทีย 6:10 มตฐ.)

การยกโทษสร้างความไว้วางใจกัน  นำสู่ความสัมพันธ์

การที่เรายกโทษใครคนใดคนหนึ่ง   ประการแรกเราได้ปลดปล่อยตัวเราออกจากความสัมพันธ์ที่จำกัดด้วยกรอบ ขอบเขต เงื่อนไข   แล้วยื่นชีวิตของเราออกไปให้ถึงคนนั้นจิตที่รักเมตตาแบบพระคริสต์ที่รักอย่างไม่มีเงื่อนไข   การให้อภัยเป็นการเสริมสร้างให้ความสัมพันธ์งอกงามและเจริญเติบโตขึ้น

พลังเบื้องหลังที่เรายอมยกโทษใครคนใดคนหนึ่งเพราะ  เราได้รับประสบการณ์ชีวิตว่าพระคริสต์ทรงยกโทษเราทั้งที่ในเวลานั้นเรายังเป็นคนบาป ช่วยตนเองไม่ได้  เปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้   แต่เพราะความรักที่ให้ชีวิตแบบพระคริสต์ต่างหากทำให้ชีวิตของเรามีโอกาสใหม่ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง   ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ก็เปลี่ยนแปลงด้วย 

เพราะการให้อภัยของพระคริสต์ที่ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลง   แล้วทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์เกิดขึ้น งอกงาม และเติบโตแข็งแรงขึ้น   และนี่คือพันธกิจที่พระคริสต์บัญชาให้เราทำต่อจากที่พระองค์ได้กระทำไว้แล้ว

ทุกครั้งที่เรายอมเปิดใจเปิดชีวิตยอมให้อภัยแก่คนหนึ่งคนใดแก่ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งแตกร้าว   ในเวลานั้นเรากำลังเสริมสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจกัน   การให้อภัย หรือ การยอมยกโทษไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ แต่การให้อภัยให้คุณค่าที่ยาวนาน  

อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ตกเป็นเหยื่อของความขัดข้องใจกัน  ขุ่นเคืองใจต่อกัน  หรือไม่พอใจต่อกัน
“จง​ผ่อน​หนัก​ผ่อน​เบา​ซึ่ง​กัน​และ​กัน
และ​ถ้า​แม้ว่า​ผู้ใด​มี​เรื่องราว​ต่อ​กัน ​ก็​จง​ยกโทษ​ให้​กัน​และ​กัน
องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​ทรง​โปรด​ยกโทษ​ให้​ท่าน​ฉัน​ใด
ท่าน​จง​กระทำ​อย่าง​นั้น​เหมือน​กัน”  (โคโลสี 3:13 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

21 ตุลาคม 2559

จะทำอย่างไรในความขัดแย้ง?

การที่สองคนจะเห็นด้วยกัน หรือ ยอมรับทุกเรื่อง   แสดงว่าคนใดคนหนึ่งในสองคนนั้นจะต้องเปิดใจยอมรับ หรือ พยายามเข้าใจในบางเรื่องที่เขาเห็นด้วยนั้น  

ท่ามกลางขวากหนาม ความขัดแย้ง ความตึงเครียดในความสัมพันธ์  ไม่ว่าในครอบครัว  ในที่ทำงาน  กับคู่รัก หรือ แม้แต่ในความสัมพันธ์กับมิตรสหาย หรือ เพื่อนฝูง   ในเวลาเช่นนั้นเป็นโอกาสหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างของบางคนที่เราสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย   และการเรียนรู้ถึงความแตกต่างในด้านต่าง ๆ ของคนอื่นนั้นทำให้เราเรียนรู้ชีวิตที่ลุ่มลึกและแผ่กว้างมากขึ้น   และเป็นสัจพจน์ที่ว่า  การที่คนเราจะเห็นพ้องต้องกันนั้น  มิใช่อยู่ที่หลักการเหตุผลเท่านั้น   แต่อยู่ที่จิตใจ ความนึกคิดของเราที่ยอมเปิดกว้างออกเพื่อเรียนรู้จากความแตกต่างของคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย   หรือ พูดฟันธงว่า  เพื่อเราจะเรียนรู้จากคนที่แตกต่างจากเรานั่นเอง  

สำหรับมุมมองของพระเยซูคริสต์แล้ว  ความขัดแย้ง ความทุกข์ใจ  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน  อีกทั้งเป็นสิ่งที่เรามิสามารถเลี่ยงได้  และ  เราต้องเผชิญหน้ากับมันเสมอ  เปาโลเสนอทางเลือกในการเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดแก่เราในโรม 12:18 ไว้คือ  “ถ้า​เป็นได้ คือ​เท่าที่​เรื่อง​ขึ้นอยู่​กับ​ท่าน จง​อยู่​อย่าง​สงบ​สุข​กับ​ทุก​คน​” (มตฐ.)  

ขอตั้งข้อสังเกตว่า  สำหรับเปาโล การที่จะอยู่กับคนอื่นอย่างสันติสุขนั้นมิใช่จะเกิดขึ้นได้ในทุกเรื่อง   แต่เปาโลแนะนำเราว่า  มิใช่ทุกเรื่องที่เราจะสามารถอยู่อย่างมีสันติสุขได้   เพราะในบางเรื่องอาจจะ “ขึ้นอยู่กับเรา” คือเราสามารถจัดการได้   และในเวลาก็มีบางเรื่อง ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราซึ่งยากที่เราจะจัดการด้วยตัวเราเองได้   อาจจะต้องจัดการร่วมกับคนอื่น   เปาโลแนะนำเราว่า   ถ้าเรื่องใดเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเรา   คือเรื่องที่เราสามารถจะจัดการได้ให้เรากระทำให้เกิดสันติสุขในการที่จะอยู่ด้วยกัน ในการที่ต้องทำงานด้วยกัน  หรือ  ในการที่จะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกัน

นั่นมิใช่เราจะสามารถลงมือจัดการทุกเรื่องให้เกิดสันติสุขได้   เราจัดการได้เฉพาะในเรื่องที่ “ขึ้นอยู่กับเรา”   หลายคนอาจจะถามในใจต่อไปว่า   แล้วเรื่องที่เราไม่สามารถยื่นมือเข้าไปจัดการได้   เราจะต้องทำอย่างไร   เปาโลบอกแก่เราในบทนี้ข้อสุดท้ายว่า “อย่า​ให้​ความ​ชั่ว​ชนะ​เรา​ได้ แต่​จง​ชนะ​ความ​ชั่ว​ด้วย​ความ​ดี” (ข้อ 21 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

19 ตุลาคม 2559

ผู้นำสมัชชาสภาฯ...ท่านได้ยินเสียง “กระทุ้งสำนึก” ในชีวิตท่านไหม?

โปรดระวังด้วยครับ   อย่าลืมตัวว่า ท่านใช้กลโกงหลอกลวงบางคนได้   แต่ท่านหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้   พระเจ้าทรงรู้เท่าทัน การใช้วิธี “ทางลัด” เพื่อตบตาคนอื่นได้ แต่ท่านตบตาพระเจ้าไม่ได้ หรือ พระองค์รู้เท่าทันถึงการที่ท่านพยายามที่จะทำให้ตนดูดีในสายตาของคนอื่นและพระเจ้า

การที่ผู้นำจะไม่หลงตนหลอกลวงตนเอง หลอกลวงคนอื่น และหลอกลวงพระเจ้า   ในแต่ละวันควรมีคำถามในชีวิตจิตใจ  ถามตนเอง  เพื่อปลุกตนเองให้ตื่นเสมอ  เช่น

Y ทุกวันนี้ฉันยังเดินไปกับพระเจ้าอยู่หรือเปล่า?

Y ฉันยังยึดมั่นที่มีพระเจ้าเป็นเอกเป็นใหญ่ในชีวิตของฉันทุกวันจริงหรือไม่?

Y ฉันยังตั้งใจที่จะฟังให้ได้ยิน “คำถาม” ของผู้คนรอบข้างต่อท่าทีและการดำเนินชีวิตของฉันหรือไม่?

Y ฉันใช้สิทธิอำนาจความเป็นผู้นำอย่างมีความรับผิดชอบต่อผู้คนที่เกี่ยวข้องหรือไม่?

Y ฉันใส่ใจและไวต่อเสียงตรัสของพระเจ้าที่มีต่อฉันในฐานะที่เป็นอวัยวะหนึ่งในพระกายของพระคริสต์หรือไม่?

Y ฉันมัวแต่ระมัดระวัง และ พยายามเสริมสร้างความสำคัญแก่ตนเอง หรือ สร้างภาพลักษณ์ของตนเองหรือไม่?

Y ทุกวันนี้ฉันมีชีวิตและเป็นผู้นำที่ “โดดเดี่ยว” หรือไม่?

Y จริง ๆ แล้ว  ฉันได้พยายามที่จะรู้เท่าทันตนเอง  และ  จริงใจ  ยอมรับในจุดอ่อนด้อยของตนเองหรือไม่?

Y ที่ฉันเป็นผู้นำในทุกวันนี้เป็นการตอบสนองการทรงเรียก หรือ เป็นการตอบสนองความปรารถนาอยากได้ใคร่มีใคร่เป็นของตนเอง?

“อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้   เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น
แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น 
อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี   เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร   
เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ” 
(กาลาเทีย 6:7-10 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

18 ตุลาคม 2559

ระวัง...กับดักอคติ

แคเธอรีน บูธ ( Catherine Booth)  ที่รู้จักกันในนาม “เจ้าแม่เซาเวชั่น อาร์มี” ( Mother of The Salvation Army)   ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนจะมีผู้คนต่างชั้น ต่างฐานะทางสังคม และ เศรษฐกิจมาฟังเธอพูด   กล่าวได้ว่าฝูงชนที่มาไม่ว่าจะเป็นลูกเจ้าหลานเธอ  คนทุกข์ยาก เข็ญใจ  อนาถา หรือแม้แต่ยาจก   ก็ติดตามมาฟังกันที่นั่นด้วยกัน  ไม่มีการแบ่งแยก

ค่ำคืนหนึ่ง   เธอได้ไปพูดในที่หนึ่ง   ผู้ฟังหลายคนได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์   ภายหลังงานคืนนั้น   มีครอบครัวมั่งคั่งครอบครัวหนึ่งได้จัดเลี้ยงแคเธอรีนที่คฤหาสน์

หญิงเจ้าของคฤหาสน์กล่าวกับแคเธอรีน ในงานเลี้ยงนั้นว่า “ท่านรู้สึกไหม การพบปะในค่ำคืนนี้ดูน่ากลัวพิลึก เมื่อคุณกำลังพูด ฉันมองไปที่หน้าตาผู้คนที่อยู่รอบฉัน หลายต่อหลายคนที่มีหน้าตาดูไม่ได้  อีกทั้งหลายคนดูน่ากลัวอย่างไงไม่รู้...  ฉันคิดว่า คืนนี้ฉันคงนอนไม่หลับแน่ๆ”

แคเธอรีน ตอบเธอว่า  “ท่านไม่รู้จักคนพวกนี้หรือ?   ฉันไม่ได้พาพวกเขามาที่นี่นะ   แต่คนพวกนี้เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ล้อมรอบชุมชนบ้านท่าน”

เมื่อเรามองเข้าไปในสังคมโลก   เป็นการง่ายที่เราจะมองด้วยสายตามุมมองที่แบ่งแยก  ด้วยจิตใจที่อคติ   ไม่ว่าอคติด้วยการมองแบ่งแยกความแตกต่างทางเพศ  วรรณะผิวพรรณ  ฐานะทางเศรษฐกิจ  ชนชั้นทางสังคม  ฐานะ ตำแหน่ง   รูปร่างหน้าตา  หรือ เบื้องหลังความเป็นมาของชีวิตคนนั้น ๆ   การมองแบ่งแยกเช่นนี้บ่อยครั้งที่นำไปสู่การมองด้วยสายตาดูถูก ดูแคลน  เหยียดหยาม สร้างความรังเกียจเดียดฉันท์  และความเป็นศัตรูกัน

ที่สำคัญคือ  มุมมองเช่นนี้เป็นมุมมองคนละขั้วกับ มุมมองที่พระคริสต์ต้องการให้คริสตชนทุกคนมี   สัจจะความจริงก็คือว่า  พระคริสต์ต้องการให้คริสตชนแต่ละคนมองคนอื่น และ กระทำต่อผู้คนรอบข้างตนว่าเป็น “เพื่อนบ้าน” ของตน   ไม่ว่าผู้คนเหล่านั้นจะมีความแตกต่างมากน้อยเช่นไรจากตนเอง หรือ พวกตนก็ตาม

ในพระธรรมโคโลสี  เปาโล กล่าวไว้ว่า   ให้เราประหารโลกียวิสัยในตัวเราเสีย (3:5)   อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในชีวิตคริสตชน   แต่ให้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ที่กำลังได้รับการสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายาของพระเจ้า (3:10)   และการสร้างวิสัยมนุษย์ใหม่ในตัวเรา   พระคริสต์ไม่ได้แบ่งแยกว่าพระองค์สร้างในคนแบบไหน  ลักษณะอย่างไร (ข้อ 11)  แต่พระคริสต์มองว่าแม้คนจะแตกต่างกันแค่ไหนเช่นไร   พระคริสต์ก็จะสร้างคนเหล่านั้นขึ้นใหม่   มิใช่ตามมาตรฐาน หรือ กระแสนิยมแห่งสังคมโลกนี้ (โรม 12:1-2)  แต่พระองค์สร้างเราขึ้นตามแบบชีวิต(พระฉายา)ของพระผู้สร้างเราทั้งหลาย

ใครก็ตามที่ยอมเปิดชีวิตทั้งสิ้นของตนให้พระวิญญาณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงใหม่   คน ๆ นั้นจะมีมุมมองโลกและคนอื่นรอบข้างที่แตกต่างไป   พระวิญญาณจะเปลี่ยนมุมมองที่มองคนอื่นอย่างอคติ   ให้กลับมามองผู้คนด้วยมุมมองที่รัก เมตตา และต้องการที่จะให้ชีวิตของตนแก่คนนั้นที่อยู่ล้อมรอบเรา   และนี่คือพระราชกิจของพระเจ้าที่กระทำการเปลี่ยนแปลงและสร้างเราขึ้นใหม่   ให้เป็นคนที่สำแดงพระฉายาของพระองค์ในชีวิตของเราแต่ละคน


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

11 ตุลาคม 2559

ทุกข์...ที่ก่อเกิดภาวะผู้นำที่เปี่ยมคุณภาพ

เมื่อประมาณสองเดือนก่อนได้พบกับเพื่อนต่างชาติคนหนึ่ง   เพื่อนคนนี้ชอบดื่มไวน์อย่างมากเหมือนกับที่ผมชอบดื่มกาแฟครับ    เมื่อพบหน้ากันเขาจะพูดถึงเรื่องไวน์ชั้นเยี่ยมที่เขานิยมชมชอบ   ครั้งนี้ เขานำภาพสวนองุ่นมาให้ผมดูด้วย   และเขาบอกว่า นี่เป็นสวนองุ่นที่ใช้ทำไวน์ที่มีชื่อเสียงมากในอิตาลี (เขาบอกชื่อเมืองนั้น  แต่ขอโทษครับผมจำไม่ได้)

ผมสังเกตเห็นว่า   สวนองุ่นในภาพนั้นมันอัดแน่นด้วยต้นองุ่นเรียกว่าต้นชนต้นกันเลยทีเดียว   ผมจึงถามเขาว่าทำไมเขาปลูกต้นองุ่นติดแน่นกันเช่นนั้น   เขาเล่าให้ฟังว่า  ครั้งแรกเขาก็สงสัยเช่นกัน   จึงได้ถามเจ้าของสวนองุ่นที่นั่นว่า   ทำไมเขาถึงปลูกชิดกันและหนาแน่นถึงขนาดนี้?

เจ้าของสวนองุ่นอธิบายว่า   เพราะมีต้นองุ่นอัดแน่นในสวนเช่นนี้   ทำให้ต้นองุ่นต้องแข่งกันแย่งหาสารอาหารที่ดีและน้ำที่เพียงพอไปเลี้ยงต้นองุ่น  ทำให้องุ่นแต่ละต้นต้องแตกรากหยั่งลึกลงแข่งหาอาหารให้ได้มากที่สุด   เพื่อไปเลี้ยงลำต้น  ให้เกิดดอกออกผล    เจ้าของสวนองุ่นยังบอกอีกว่าต้นองุ่นที่ขยันหยั่งรากและแข่งขันแย่งอาหารกับองุ่นต้นอื่น ๆ จะให้ผลองุ่นที่มีรสชาติเยี่ยมยอดสำหรับการนำมาหมักเป็นไวน์เปี่ยมคุณภาพ   แล้วเจ้าของสวนองุ่นสรุปด้วยประโยคเด็ดว่า  “คุณภาพของไวน์ขึ้นอยู่กับการทรหดทนทุกข์ของต้นองุ่น”

ทำให้คิดถึงสังคมในที่ทำงานของเราในทุกวันนี้   ที่ “อัดแน่น” ด้วยคนทำงานที่ที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น   มีทั้งที่ทำงานด้วยความตั้งใจ ทำงานให้เกิดผล   ทั้งที่เอารัดเอาเปรียบกินแรงเพื่อนร่วมงาน  แย่งชิงผลงานแต่ไม่ลงแรง  อีกทั้งคนที่ทำงานที่พยายามแผ่อิทธิพลครอบงำการทำงานของคนอื่นเพื่อไม่ให้คนอื่นประสบความสำเร็จเหนือกว่าตน  และอีกจิปาถะในเล่ห์เหลี่ยม กลโกง เพื่อสร้างประโยชน์แก่ตนเอง

เมื่อเจอสถานการณ์การทำงานแบบนี้  เราท่านต่างมี 3 ทางเลือกคือ   หาทางย้ายที่ทำงานไปที่ที่คิดว่ามีสภาพที่ทำงานที่ดีกว่านี้   มองสถานการณ์ในแง่ติดลบ ด้วยความหดหู่ท้อแท้ใจในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ดังกล่าว   หรือมองสถานการณ์ดังกล่าวด้วยสายตาที่สร้างสรรค์เป็นบวก   กล่าวคือมองว่า เป็นโอกาสที่ตนจะต้องเสริมสร้างสมรรถนะและความแกร่งในการทำงาน   เสริมสร้างคุณภาพในภาวะผู้นำท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายทุกข์ยากลำบาก

สำหรับคริสตชนแล้ว   เรามองว่าเป็นเวลาที่เราจะแผ่รากออกกว้าง  หยั่งรากลงลึกเพื่อหาสารอาหารและน้ำที่จะมาเป็นน้ำเลี้ยงชั้นเยี่ยมในการเสริมสร้างลำต้น กิ่งก้าน ใบดอก และ  ในที่สุดให้ผลที่คุณภาพยอดเยี่ยม   อย่างเช่นต้นองุ่นที่ตกอยู่ในภาวะที่ต้องแข่งขันแย่งชิงเพื่อให้ผลองุ่นชั้นเยี่ยมที่นำไปผลิตไวน์ชั้นยอดสำหรับผู้บริโภค

เปาโลมอง สถานการณ์ที่บีบคั้น แสนเข็ญ ตีบตันว่า   เป็นโอกาสที่เสริมสร้างคุณภาพภาวะผู้นำชั้นเยี่ยมไว้ว่า  “ยิ่ง​กว่า​นั้น เรา​ชื่น​ชม​ยินดี​ใน​ความ​ทุกข์​ยาก​ของ​เรา​ด้วย เพราะ​เรา​รู้​ว่า​ความ​ทุกข์​ยาก​นั้น ทำ​ให้​เกิด​ความ​อดทน​  และ​ความ​อดทน​ทำ​ให้​เห็น​ว่า​  เรา​เป็น​คน​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ใช้ได้ และ​การ​ที่​เรา​เห็น​เช่นนั้น​ทำ​ให้​เกิด​มี​ความ​หวัง​ใจ​” (โรม 5:3-4 มตฐ.)

เราท่านคงไม่ปฏิเสธว่า  ในเวลาที่คับขัน ตีบตัน บีบคั้น ทุกข์ยากลำบาก   เป็นเวลาที่เราแสวงหาการทรงช่วยจากพระเจ้า   เป็นเวลาที่เราติดสนิทกับพระองค์   เป็นเวลาที่เราจะดูดซับเอาพระวจนะและน้ำพระทัยที่เป็นอาหารแห่งชีวิต   ที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตของเราให้เติบโต เข้มแข็ง  และพร้อมที่จะออกผลที่เยี่ยมยอดในเวลาอันควร

ในเวลาที่สถานการณ์ที่อาจจะดูเหมือนว่า ไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตและเกิดผลในชีวิต   กลับเป็นเวลาที่พระเจ้าใช้เสริมสร้างเราให้เป็นคนที่พระองค์ใช้ได้   ให้เป็นคนที่มีภาวะผู้นำที่เปี่ยมด้วยคุณภาพที่จะรับผิดชอบงานที่พระองค์ประสงค์ให้เรารับผิดชอบในเวลาอันควร

ในเวลาที่วิกฤติยุ่งยาก หรือ บางครั้งก็ท้อแท้หมดแรง   เราจะเลือกที่จะหยั่งรากชีวิตลงลึกดูดซับเอาพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าที่เป็นน้ำเลี้ยงที่ดีเลิศสำหรับชีวิตของเรา  หรือ  เราจะเลือกที่จะหลบซ่อนในมุมมืดของภาวะที่เลวร้ายนั้น   รอคอยจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น  หรือ  เราจะเลือก “ชิ่ง” หนีหลีกลี้ออกจากสถานการณ์นี้   เพื่อจะมุ่งหน้าแสวงหาโอกาสดี ๆ ที่อาจจะมีอยู่ข้างหน้า?

ทั้งสิ้นนี้ เราต้องเป็นคนตัดสินใจเลือกครับ?   แต่เราไม่ได้เลือกด้วยความโดดเดี่ยวตัวคนเดียวครับ   พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างในสถานการณ์ชีวิตที่เราคิดว่าเลวร้ายเสมอครับ   พระองค์รอคอยเวลาที่จะทำงานในชีวิตของเรา   ขึ้นอยู่กับว่า เราพร้อมที่จะเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่?   นั่นเป็นตัวตัดสินครับ?


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

06 ตุลาคม 2559

อธิษฐานด้วย... “ใจที่นิ่ง ความคิดที่สงบ”

ปัจจุบันวัฒนธรรมการอธิษฐานต่างคนต่างออกเสียงดังดูจะปฏิบัติกันมากขึ้นในคริสตจักรไทย   อาจจะคิดว่านั่นเป็นการอธิษฐานที่เอาจริงเอาจัง   หรือทุ่มสุดตัวสุดแรงในการอธิษฐาน   ผู้นำคริสตจักรบางคนก็บอกว่าการอธิษฐานเสียงดัง  แรงกล้านั้นเป็นการ “เขย่าบัลลังก์พระเจ้า”?  

แต่พระเจ้าที่ผมเชื่อนั้นมิได้ใบ้บอดไม่รู้ไม่เห็น หรือ มีความรู้สึกช้านะครับ   ผมเชื่อว่าก่อนที่เราจะอธิษฐานอะไรต่อพระเจ้า  พระองค์ล่วงรู้สิ่งที่มีในจิตใจก่อนที่เราจะพูดกับพระองค์เสียอีก

แต่เพื่อนผมบางคนบอกว่าที่อธิษฐานออกเสียงดัง   ต่างคนอธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจังนั้นก็จะช่วยให้รู้สึกว่า เราร้อนรน   และเพื่อนผมบอกอีกว่า   การอธิษฐานเช่นนั้นเป็นการแสดงถึงความร้อนรนทางหนึ่งของเขา

นอกจากนั้นแล้ว   คริสตชนบางคนยังบอกว่า   ใครจริงจังกับพระเจ้าดูได้จากคนนั้นอธิษฐานยาวสั้นแค่ไหน   เขาเคยบ่นว่า อธิษฐาน “สั้นจุ๊ดจู๋”  คงอธิษฐานเป็นพิธีมั่ง?   ดูคนนั้นคนนี้สิเขาอธิษฐานนานเป็นชั่วโมงเลย

หลายต่อหลายคนในปัจจุบันนี้เมื่อพูดถึงการอธิษฐานมักหมายถึงการที่เรา “พูด” กับพระเจ้า

แต่การอธิษฐานต่อพระเจ้าเป็นการ “สนทนา” กับพระองค์   เป็นการสนทนาระหว่างพระเจ้ากับเรา   การสนทนาจะต้องมีทั้งการพูด และ การฟัง   เมื่อฝ่ายหนึ่งพูด  อีกฝ่ายหนึ่งก็จะฟังอย่างใส่ใจ   ฟังให้ได้ยินถึงความรู้สึกในชีวิตของผู้พูด   ฟังให้ได้ยินถึงเสียงแห่งความจำเป็นต้องการในชีวิตของเขา   ฟังให้ได้ยินถึงความตั้งใจ  ความประสงค์ของเขา  

การที่จะมีการสนทนาแบบนี้ได้  รากฐานสำคัญคือ   คู่สนทนาจะไว้วางใจกันและกัน   วางใจในความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างเขาทั้งสองฝ่าย   และมีความ “หวังใจ” ในความรัก  ความสัตย์ซื่อ และ ความเอาใจใส่ที่มีต่อกันของคู่สนทนา 

ไม่ใช่รากฐานความเชื่อความคิดว่า   ถ้าอธิษฐานดัง ๆ แรง ๆ แล้วพระเจ้าจะประทานสิ่งที่เราขอเราต้องการ   ถ้าเราอธิษฐานนาน ๆ ยาว ๆ   แล้วพระเจ้าจะประทานสิ่งที่เราปรารถนา   ถ้าเราตื่นยิ่งเช้ายิ่งมีพลังในการอธิษฐาน   แล้วทำให้บางคนรู้สึกด้อยว่า   ตนไม่ได้ไปอธิษฐานตีสี่ตีห้าพระเจ้าเลยไม่อวยพระพร   พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราเพราะเราตื่นตีอะไรไปอธิษฐานหรือ?   สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขในการอธิษฐานหรือไม่?

บ่อยครั้งที่พบในหลายคริสตจักร   การอธิษฐาน อย่างจริงจังทุ่มเท เสียงดัง กลายเป็นการระบายอารมณ์ความรู้สึกของคน ๆ นั้นหรือไม่?   หรือเป็นการเอา “ขยะทางอารมณ์”  ไปเทต่อหน้าพระเจ้า  แล้วให้พระเจ้าช่วยรับไว้ แล้วช่วยเอาไปทิ้งให้หน่อยหรือไม่?   การระบายความรู้สึกอารมณ์บ้างก็แสดงออกด้วยการโลดเต้นในบางคน

ความจริงอีกด้านหนึ่งในการอธิษฐานคือ เป็นเวลาที่เรา “ตั้งใจฟังพระเจ้า”   “ใส่ใจเสียงที่พระองค์จะพูดกับเรา”   และ  ใคร่ครวญว่าอะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา   ฟังให้เข้าใจว่า พระเจ้าประสงค์ให้เราดำเนินชีวิตเช่นไรในวันนี้ด้วยความถ่อมใจไปกับพระองค์   และ ที่สำคัญมากในการอธิษฐานคือ  เป็นโอกาสที่เราจะมั่นใจว่า  พระเจ้าประทานกำลังชีวิตแก่เราในวันนี้ให้สามารถทำในสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้เรากระทำ 

สิ่งสำคัญในการอธิษฐานคือ   เราต้อง “ยอมจำนน และ มอบชีวิตทั้งหมด” แก่พระเจ้า   มิใช่มุ่งแต่ขอพระเจ้าช่วยทำสิ่งนั้น  ช่วยหนุนสิ่งนี้ ตามที่เราคาดหวังต้องการในชีวิต!   การ “ยอมจำนน และ มอบชีวิตทั้งหมด” แด่พระเจ้า   มิได้ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานเสียงดังหรืออธิษฐานในใจ   มิได้ขึ้นอยู่กับการตื่นเต้น หรือ การนมัสการอย่างออกรสออกชาติ    แต่ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานที่ใส่ใจฟังพระเจ้าด้วยใจถ่อม และ สงบเพื่อจะได้ยินสิ่งที่พระเจ้าประสงค์  (แต่มิใช่อธิษฐานพรั่งพรู ในสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น)

การที่เราจะได้ยินคู่สนทนาของเราชัดเจนก็ต่อเมื่อเราฟังอย่างใส่ใจ ด้วยจิตที่สงบ   เราจะได้ยินชัดเจนที่สุดถึงเรื่องที่คู่สนทนาพูดกับเรา   และในการสนทนากับพระเจ้า เราจะได้ยิน ได้รู้ และ เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้ดีที่สุดเมื่อ “จิตใจของเรานิ่ง” และ “มีความคิดที่สงบ”   แต่การที่เราจะมี “ใจที่นิ่ง ความคิดที่สงบ” เราต้องยอมตนแด่พระเจ้า   ให้พระองค์ประทานสิ่งนี้แก่เราเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระองค์   และรอคอยด้วยใจจดจ่อที่จะฟังพระประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตของเรา  

สิ่งนี้เป็นของประทานจากพระเจ้าครับ   แต่บ่อยครั้งที่เราไม่ได้สนใจของประทานนี้!

ผู้เขียนพระธรรมสดุดี 131 ได้เปรียบเทียบบทเรียนรู้เรื่องนี้แก่เราว่า

ข้า​แต่​พระ​ยาห์​เวห์ ใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์​มิ​ได้​เห่อ​เหิม
และ​ตา​ของ​ข้า​พระ​องค์​มิ​ได้​ยโส
ข้า​พระ​องค์​มิ​ได้​ไป​ยุ่ง​กับ​เรื่อง​ใหญ่​โต
หรือ​เรื่อง​อัศจรรย์​เกิน​ตัว​ของ​ข้า​พระ​องค์
แต่​ข้า​พระ​องค์​ได้​สงบ​และ​ระ​งับ​จิต​ใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์
อย่าง​เด็ก​ที่​หย่า​นม​แล้ว​สงบ​อยู่​ที่​อก​มาร​ดา​ของ​ตน
จิต​ใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์​สงบ​อยู่​ภาย​ใน​ข้า​พระ​องค์ อย่าง​เด็ก​ที่​หย่า​นม​แล้ว
อิสราเอลเอ๋ย จง​หวัง​ใน​พระ​ยาห์​เวห์
ตั้ง​แต่​บัด​นี้​สืบ​ไป​เป็น​นิตย์
(สดุดี 131:1-3  มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499