25 ตุลาคม 2559

สี่เสาหลักค้ำความสัมพันธ์

ไม่ว่าส่วนตัวเรากับพระเจ้า   ในครอบครัว   ในที่ทำงาน   ในกลุ่มเพื่อน  หรือ  แม้แต่ในชุมชน   ความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะจะประสาน เชื่อมโยง  และมัดตรึงให้ชุมชนนั้น ๆ เกิดความผูกพันเป็นรากฐานที่จะให้เกิดการขับเคลื่อนชีวิตร่วมกันไปอย่างมีเป้าหมาย คุณค่า  และความหมาย

ความสัมพันธ์เป็น “หัวใจ” ของพระคัมภีร์   ความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ สรรพสิ่ง  และมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง   แต่เพราะความสัมพันธ์ดังกล่าวถูกทำลายโดยอิทธิพลอำนาจแห่งความบาปชั่ว   ทำให้ความสัมพันธ์อันดีดังกล่าวต้องฉีกขาดหายนะลง    พระเยซูคริสต์ต้องมากอบกู้ปะชุนความสัมพันธ์อันดีนั้นขึ้นมาใหม่ด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข   ความรักที่ไม่มีพรหมแดน   ความรักที่ไม่มีขีดจำกัด   ด้วยความรักอย่างพระคริสต์นี้เองที่สามารถมองข้ามความจำกัด ความล้มเหลว และความไม่เอาไหนของมนุษย์   และให้ความรักดังกล่าวด้วยชีวิตของพระองค์เองแม้แต่คนที่ไม่สมควรที่จะรับความรักนั้น   

ด้วยความรักที่ให้ชีวิตนี้เอง  ที่ทำให้เกิดการให้อภัยแม้แต่เราผู้ไม่สมควรจะได้รับ   ด้วยความรักที่ให้ชีวิตของพระคริสต์นี้เอง   จึงเปลี่ยนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือคนที่รับใช้คนอื่นด้วยชีวิต   ให้เป็นคนที่ใส่ใจหนุนเสริมคนรอบข้างดั่งพระคริสต์มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างแก่เราแล้ว

ฟังอย่างใส่ใจ

การได้ยิน กับ การฟัง มีความแตกต่างกันอย่างมาก   และจะแตกต่างกันอย่างลิบลับ เมื่อเราฟังอย่างใส่ใจ   การฟังอย่างใส่ใจ   เป็นการสนอกสนใจในคำที่เขาพูด   ทำให้เราได้ยินสิ่งที่เขากำลังพูดชัดเจน  กล่าวคือการฟังอย่างใส่ใจจนคำที่เราได้สัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึก  ความต้องการ  ความเจ็บปวด   เป็นการฟังที่เราสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่เขาต้องการบอกเราและให้เรารับรู้ด้วยหัวใจและความคิด

ด้วยการฟังอย่างใส่ใจนี้เองที่เป็นเงื่อนไขที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ของเรากับเขาคนนั้นเกิดความไว้วางใจกัน  ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคง   สิ่งพึงระมัดระวังอย่างมากคืออย่าให้ความวอกแวกและสิ่งที่เราจะทำให้เขวหันออกไปจากสิ่งที่เขาตั้งใจจะบอกเรา  และที่เราจะใส่ใจฟังอย่างสนอกสนใจ

การฟังอย่างใส่ใจจำเป็นจะต้องหยุดการ “เขี่ย” บนไลน์   หยุดการก้มหน้าดูโทรศัพท์   ลุกขึ้นจากโต๊ะคอมพิวเตอร์   เอาหูฟังที่เรากำลังฟังเพลงออก   แล้วให้ความสนใจและใส่ใจอย่างเต็มร้อยกับคนที่กำลังพูดกับเราที่อยู่ตรงหน้า   และนี่เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงในความสัมพันธ์ที่เรามีกับคน ๆ นั้นครับ
“ดูก่อน​พี่​น้อง​ที่​รัก​ของ​ข้าพเจ้า จง​ทราบ​ข้อ​นี้
จง​ให้​ทุก​คน​ไว​ใน​การ​ฟัง ช้า​ใน​การ​พูด ช้า​ใน​การ​โกรธ” (ยากอบ 1:19 มตฐ.)

รักด้วยการให้ชีวิต

ความรักเป็นคำที่พวกเราพูดกันมากมาย   แต่ปฏิบัติกันเพียงน้อยนิด   และที่แย่กว่านั้นคือ เป็นคำที่คนเทศนาไม่ทำตามที่เทศน์มากที่สุด   ความรักเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์โดยตรง   เราพบเห็นในพระคัมภีร์ถึงความรักที่ไร้ขอบเขตพรหมแดนและเงื่อนไขของพระคริสต์   เป็นความรักที่ทุ่มสุดชีวิต

คนทั่วไปจะสัมผัสความรักที่ว่านี้ก็เพราะเรารักด้วยการกระทำในชีวิตประจำวันของเรา   ประเด็นสำคัญคือความสัมพันธ์ของเราวางบนรากฐานว่าเรารักอย่างพระคริสต์หรือไม่แค่ไหน?    ความรักแบบพระคริสต์ได้ไหลซึมออกมาจากการปฏิบัติในทุกมิติชีวิตประจำวันหรือไม่?  และนี่คือรากฐานสำคัญของการทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืน
“...พวก​ท่าน​จง​รัก​พระ​เจ้า​ด้วย​สุด​จิต​สุดใจ​ของ​ท่าน ด้วย​สุด​ความ​คิด​และ​ด้วย​สิ้นสุด​กำลัง​ของ​ท่าน   และธรรม​บัญญัติ​ที่​สอง​นั้น​คือ จง​รัก​เพื่อน​บ้าน​เหมือน​รัก​ตนเอง  ธรรมบัญญัติ​อื่น​ที่​ใหญ่​กว่าธรรม​บัญญัติ​ทั้ง​สอง​นี้​ไม่​มี”
(มาระโก
12:30-31 มตฐ.)

สร้างสัมพันธ์ด้วยการรับใช้

ความสัมพันธ์สามารถเกิดขึ้นเพราะการรับใช้  ซึ่งการรับใช้นั้นมีหลายรูปแบบ และ เกิดขึ้นได้ในทุกมิติชีวิต   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างแก่เหล่าสาวก  ประชาชน  และคนประเภทต่าง ๆ ด้วยการรับใช้ที่ตอบโจทย์ในชีวิตของแต่ละคน   การรับใช้เกิดจากการที่คนนั้นมีความรักเมตตาจนให้ชีวิตแก่อีกคนหนึ่งหรืออีกกลุ่มคนหนึ่ง   การนำด้วยการรับใช้ของพระคริสต์เป็นการสวนกระแสสังคม และ สวนทางกับระบบคุณค่า และ ค่านิยมในสังคมไม่ว่าในสมัยของพระองค์ หรือ สมัยปัจจุบันก็ตาม   การที่จะรับใช้ด้วยชีวิตเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องมาจากความรักที่ให้ชีวิตแก่คนอื่นด้วยความถ่อมใจ  เฉกเช่น พระคริสต์ถ่อมพระองค์ลงล้างเท้าสาวก  และถ่อมลงจนยอมตายเพื่อคนทั้งหลาย

เรารับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชีวิตของประชาชน   มิใช่เพื่อให้คนอื่นได้รู้ได้เห็นสิ่งที่เราทำ   แต่เพราะเราสำนึกในพระคุณที่พระองค์ทรงถ่อมลงรับใช้ด้วยชีวิตเพื่อเราก่อน   และเราสานต่อพระราชกิจแห่งการรับใช้ด้วยชีวิตเยี่ยงพระคริสต์   เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบพระคริสต์ท่ามกลางสังคมโลกต่อจากพระคริสต์  
“เหตุ​ฉะนั้น​เมื่อ​เรา​มี​โอกาส ให้​เรา​ทำ​ดี​ต่อ​คน​ทั้ง​ปวง
และ​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​ต่อ​ครอบครัว​ที่​มี​ความ​เชื่อ​” (กาลาเทีย 6:10 มตฐ.)

การยกโทษสร้างความไว้วางใจกัน  นำสู่ความสัมพันธ์

การที่เรายกโทษใครคนใดคนหนึ่ง   ประการแรกเราได้ปลดปล่อยตัวเราออกจากความสัมพันธ์ที่จำกัดด้วยกรอบ ขอบเขต เงื่อนไข   แล้วยื่นชีวิตของเราออกไปให้ถึงคนนั้นจิตที่รักเมตตาแบบพระคริสต์ที่รักอย่างไม่มีเงื่อนไข   การให้อภัยเป็นการเสริมสร้างให้ความสัมพันธ์งอกงามและเจริญเติบโตขึ้น

พลังเบื้องหลังที่เรายอมยกโทษใครคนใดคนหนึ่งเพราะ  เราได้รับประสบการณ์ชีวิตว่าพระคริสต์ทรงยกโทษเราทั้งที่ในเวลานั้นเรายังเป็นคนบาป ช่วยตนเองไม่ได้  เปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้   แต่เพราะความรักที่ให้ชีวิตแบบพระคริสต์ต่างหากทำให้ชีวิตของเรามีโอกาสใหม่ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง   ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ก็เปลี่ยนแปลงด้วย 

เพราะการให้อภัยของพระคริสต์ที่ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลง   แล้วทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์เกิดขึ้น งอกงาม และเติบโตแข็งแรงขึ้น   และนี่คือพันธกิจที่พระคริสต์บัญชาให้เราทำต่อจากที่พระองค์ได้กระทำไว้แล้ว

ทุกครั้งที่เรายอมเปิดใจเปิดชีวิตยอมให้อภัยแก่คนหนึ่งคนใดแก่ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งแตกร้าว   ในเวลานั้นเรากำลังเสริมสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจกัน   การให้อภัย หรือ การยอมยกโทษไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ แต่การให้อภัยให้คุณค่าที่ยาวนาน  

อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ตกเป็นเหยื่อของความขัดข้องใจกัน  ขุ่นเคืองใจต่อกัน  หรือไม่พอใจต่อกัน
“จง​ผ่อน​หนัก​ผ่อน​เบา​ซึ่ง​กัน​และ​กัน
และ​ถ้า​แม้ว่า​ผู้ใด​มี​เรื่องราว​ต่อ​กัน ​ก็​จง​ยกโทษ​ให้​กัน​และ​กัน
องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​ทรง​โปรด​ยกโทษ​ให้​ท่าน​ฉัน​ใด
ท่าน​จง​กระทำ​อย่าง​นั้น​เหมือน​กัน”  (โคโลสี 3:13 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น