06 ตุลาคม 2559

อธิษฐานด้วย... “ใจที่นิ่ง ความคิดที่สงบ”

ปัจจุบันวัฒนธรรมการอธิษฐานต่างคนต่างออกเสียงดังดูจะปฏิบัติกันมากขึ้นในคริสตจักรไทย   อาจจะคิดว่านั่นเป็นการอธิษฐานที่เอาจริงเอาจัง   หรือทุ่มสุดตัวสุดแรงในการอธิษฐาน   ผู้นำคริสตจักรบางคนก็บอกว่าการอธิษฐานเสียงดัง  แรงกล้านั้นเป็นการ “เขย่าบัลลังก์พระเจ้า”?  

แต่พระเจ้าที่ผมเชื่อนั้นมิได้ใบ้บอดไม่รู้ไม่เห็น หรือ มีความรู้สึกช้านะครับ   ผมเชื่อว่าก่อนที่เราจะอธิษฐานอะไรต่อพระเจ้า  พระองค์ล่วงรู้สิ่งที่มีในจิตใจก่อนที่เราจะพูดกับพระองค์เสียอีก

แต่เพื่อนผมบางคนบอกว่าที่อธิษฐานออกเสียงดัง   ต่างคนอธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจังนั้นก็จะช่วยให้รู้สึกว่า เราร้อนรน   และเพื่อนผมบอกอีกว่า   การอธิษฐานเช่นนั้นเป็นการแสดงถึงความร้อนรนทางหนึ่งของเขา

นอกจากนั้นแล้ว   คริสตชนบางคนยังบอกว่า   ใครจริงจังกับพระเจ้าดูได้จากคนนั้นอธิษฐานยาวสั้นแค่ไหน   เขาเคยบ่นว่า อธิษฐาน “สั้นจุ๊ดจู๋”  คงอธิษฐานเป็นพิธีมั่ง?   ดูคนนั้นคนนี้สิเขาอธิษฐานนานเป็นชั่วโมงเลย

หลายต่อหลายคนในปัจจุบันนี้เมื่อพูดถึงการอธิษฐานมักหมายถึงการที่เรา “พูด” กับพระเจ้า

แต่การอธิษฐานต่อพระเจ้าเป็นการ “สนทนา” กับพระองค์   เป็นการสนทนาระหว่างพระเจ้ากับเรา   การสนทนาจะต้องมีทั้งการพูด และ การฟัง   เมื่อฝ่ายหนึ่งพูด  อีกฝ่ายหนึ่งก็จะฟังอย่างใส่ใจ   ฟังให้ได้ยินถึงความรู้สึกในชีวิตของผู้พูด   ฟังให้ได้ยินถึงเสียงแห่งความจำเป็นต้องการในชีวิตของเขา   ฟังให้ได้ยินถึงความตั้งใจ  ความประสงค์ของเขา  

การที่จะมีการสนทนาแบบนี้ได้  รากฐานสำคัญคือ   คู่สนทนาจะไว้วางใจกันและกัน   วางใจในความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างเขาทั้งสองฝ่าย   และมีความ “หวังใจ” ในความรัก  ความสัตย์ซื่อ และ ความเอาใจใส่ที่มีต่อกันของคู่สนทนา 

ไม่ใช่รากฐานความเชื่อความคิดว่า   ถ้าอธิษฐานดัง ๆ แรง ๆ แล้วพระเจ้าจะประทานสิ่งที่เราขอเราต้องการ   ถ้าเราอธิษฐานนาน ๆ ยาว ๆ   แล้วพระเจ้าจะประทานสิ่งที่เราปรารถนา   ถ้าเราตื่นยิ่งเช้ายิ่งมีพลังในการอธิษฐาน   แล้วทำให้บางคนรู้สึกด้อยว่า   ตนไม่ได้ไปอธิษฐานตีสี่ตีห้าพระเจ้าเลยไม่อวยพระพร   พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราเพราะเราตื่นตีอะไรไปอธิษฐานหรือ?   สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขในการอธิษฐานหรือไม่?

บ่อยครั้งที่พบในหลายคริสตจักร   การอธิษฐาน อย่างจริงจังทุ่มเท เสียงดัง กลายเป็นการระบายอารมณ์ความรู้สึกของคน ๆ นั้นหรือไม่?   หรือเป็นการเอา “ขยะทางอารมณ์”  ไปเทต่อหน้าพระเจ้า  แล้วให้พระเจ้าช่วยรับไว้ แล้วช่วยเอาไปทิ้งให้หน่อยหรือไม่?   การระบายความรู้สึกอารมณ์บ้างก็แสดงออกด้วยการโลดเต้นในบางคน

ความจริงอีกด้านหนึ่งในการอธิษฐานคือ เป็นเวลาที่เรา “ตั้งใจฟังพระเจ้า”   “ใส่ใจเสียงที่พระองค์จะพูดกับเรา”   และ  ใคร่ครวญว่าอะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา   ฟังให้เข้าใจว่า พระเจ้าประสงค์ให้เราดำเนินชีวิตเช่นไรในวันนี้ด้วยความถ่อมใจไปกับพระองค์   และ ที่สำคัญมากในการอธิษฐานคือ  เป็นโอกาสที่เราจะมั่นใจว่า  พระเจ้าประทานกำลังชีวิตแก่เราในวันนี้ให้สามารถทำในสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้เรากระทำ 

สิ่งสำคัญในการอธิษฐานคือ   เราต้อง “ยอมจำนน และ มอบชีวิตทั้งหมด” แก่พระเจ้า   มิใช่มุ่งแต่ขอพระเจ้าช่วยทำสิ่งนั้น  ช่วยหนุนสิ่งนี้ ตามที่เราคาดหวังต้องการในชีวิต!   การ “ยอมจำนน และ มอบชีวิตทั้งหมด” แด่พระเจ้า   มิได้ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานเสียงดังหรืออธิษฐานในใจ   มิได้ขึ้นอยู่กับการตื่นเต้น หรือ การนมัสการอย่างออกรสออกชาติ    แต่ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานที่ใส่ใจฟังพระเจ้าด้วยใจถ่อม และ สงบเพื่อจะได้ยินสิ่งที่พระเจ้าประสงค์  (แต่มิใช่อธิษฐานพรั่งพรู ในสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น)

การที่เราจะได้ยินคู่สนทนาของเราชัดเจนก็ต่อเมื่อเราฟังอย่างใส่ใจ ด้วยจิตที่สงบ   เราจะได้ยินชัดเจนที่สุดถึงเรื่องที่คู่สนทนาพูดกับเรา   และในการสนทนากับพระเจ้า เราจะได้ยิน ได้รู้ และ เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้ดีที่สุดเมื่อ “จิตใจของเรานิ่ง” และ “มีความคิดที่สงบ”   แต่การที่เราจะมี “ใจที่นิ่ง ความคิดที่สงบ” เราต้องยอมตนแด่พระเจ้า   ให้พระองค์ประทานสิ่งนี้แก่เราเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระองค์   และรอคอยด้วยใจจดจ่อที่จะฟังพระประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตของเรา  

สิ่งนี้เป็นของประทานจากพระเจ้าครับ   แต่บ่อยครั้งที่เราไม่ได้สนใจของประทานนี้!

ผู้เขียนพระธรรมสดุดี 131 ได้เปรียบเทียบบทเรียนรู้เรื่องนี้แก่เราว่า

ข้า​แต่​พระ​ยาห์​เวห์ ใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์​มิ​ได้​เห่อ​เหิม
และ​ตา​ของ​ข้า​พระ​องค์​มิ​ได้​ยโส
ข้า​พระ​องค์​มิ​ได้​ไป​ยุ่ง​กับ​เรื่อง​ใหญ่​โต
หรือ​เรื่อง​อัศจรรย์​เกิน​ตัว​ของ​ข้า​พระ​องค์
แต่​ข้า​พระ​องค์​ได้​สงบ​และ​ระ​งับ​จิต​ใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์
อย่าง​เด็ก​ที่​หย่า​นม​แล้ว​สงบ​อยู่​ที่​อก​มาร​ดา​ของ​ตน
จิต​ใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์​สงบ​อยู่​ภาย​ใน​ข้า​พระ​องค์ อย่าง​เด็ก​ที่​หย่า​นม​แล้ว
อิสราเอลเอ๋ย จง​หวัง​ใน​พระ​ยาห์​เวห์
ตั้ง​แต่​บัด​นี้​สืบ​ไป​เป็น​นิตย์
(สดุดี 131:1-3  มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น