เราเคยคิดและใส่ใจไหมว่า
การเลี้ยงลูกของแม่คือการเสริมสร้างชีวิตสาวกพระคริสต์ทั้งในตัวแม่เอง และ
ในชีวิตของลูกด้วย?
ปัจจุบันในวงการคริสตจักรพูดถึงเรื่อง
“การสร้างสาวกพระคริสต์”
ส่วนใหญ่เรามักหมายความว่า ศิษยาภิบาล และ
ผู้นำคริสตจักรเสริมสร้างสมาชิกคนอื่นๆให้มีชีวิตประจำวันให้ดำเนินชีวิตอย่างชีวิตและตามคำสอนของพระเยซูคริสต์
แต่โอกาสทอง ของสตรีที่เลี้ยงลูกน้อย
จะได้รับการเสริมสร้างให้มีชีวิตที่เป็น “สาวกพระคริสต์”
ผ่านกระบวนการเป็นแม่ลูกอ่อน ที่พวกผู้ชายต้องอิจฉา? เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสที่ดีเช่นนี้
ที่สำคัญประการต่อมาคือ การเสริมสร้าง “ชีวิตสาวกพระคริสต์”
ในกระบวนการเลี้ยงดูลูกน้อยของแม่ลูกอ่อน
เป็นโอกาสที่ตนจะเสริมสร้าง “ชีวิตสาวกพระคริสต์” ในชีวิตของตนเอง (Personal
Discipleship Growth: PDG) ผ่านเหตุการณ์ หรือ
สถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันของตน
ที่มีพระคริสต์มาพบและทำพระราชกิจชีวิตในแม่ลูกอ่อนคนๆนั้น
ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ
การที่คุณแม่มีโอกาสและสิทธิพิเศษในการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกน้อยให้เป็นสาวกพระคริสต์ด้วยไปพร้อมๆกับชีวิตสาวกพระคริสต์ในตัวแม่เอง
เลี้ยงลูกน้อยด้วยชีวิต
ในการเลี้ยงดูฟูมฟักลูกอ่อนเป็นงานที่ต้องทุ่มเททั้งชีวิตด้วยสุดจิตสุดใจ
สุดความคิดและชีวิตของตน ทั้งกลางวันกลางคืน
ยิ่งในเวลากลางคืนต้องเลี้ยงดูจนลูกอ่อนหลับ
และต้องตื่นขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้นม ทำความสะอาดให้ลูก
จนลูกน้อยหลับไปอีกครั้งหนึ่งผู้เป็นแม่ถึงจะมีโอกาสได้งีบหลับอีกครั้ง
แต่ก็ไม่วายจะต้องรีบตื่นขึ้นในรุ่งเช้าเพื่อเตรียมหาอาหารให้ลูกคนอื่นๆ
(ถ้ามี) และสามี
ในความเป็นแม่ เธอได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า ที่จะเรียนรู้ถึงชีวิตในการรับใช้ และ
รับการเสริมสร้างจากพระองค์ผ่านกระบวนการการเลี้ยงลูกอ่อนของเธอ
ทำให้เธอได้รับการทรงเสริมสร้างและพัฒนาชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์
ในการให้ชีวิตแก่ลูกน้อยของเธออย่างที่พระคริสต์ให้ทั้งชีวิตแก่มนุษย์เราแต่ละคน
ในความเป็นแม่ได้เรียนรู้ว่าการเป็นแม่จะต้อง
“ให้ตนเอง” มากกว่าที่ตนจะให้ได้
เกิดคำถามว่า แล้วแม่จะได้ทรัพยากร
และ แหล่งพลังชีวิต ที่ตนจะมีมากกว่าที่จำกัดนั้นจากที่ไหน? เช่น
เวลาที่เหน็ดเหนื่อยหมดแรงเพราะนอนหลับไม่เพียงพอแล้วจะเอาแรงมาจากไหน?
บ่อยครั้งที่สถานการณ์รุมเร้าทับถมจนเกือบทนไม่ได้ อยากจะยอมแพ้
ในช่วงเวลาเช่นนั้น พระเจ้าใช้ความจริงหลายประการเพื่อช่วยให้คุณแม่เรียนรู้ที่พึ่งพากำลังของพระองค์
เมื่อความเหนื่อยล้าและความกลัวของแม่กำลังคุกคามผู้เป็นแม่
พระเจ้ายินดีต้อนรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องการ
การเลี้ยงลูกน้อยของการเป็นแม่
เป็นโอกาสที่ผู้เป็นแม่คนนั้นได้เรียนรู้ถึงการรับใช้
เมื่อเรากำลังดิ้นรนกับความรับผิดชอบและความต้องการของการเป็นแม่
ตัวปัญหาที่ลึกที่สุดในสถานการณ์นี้ของแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นสามีที่มีงานยุ่งหรืออ่อนไหว ความจุกจิกถี่ย่อยในการดูแลลูกน้อย
หรือมีเศรษฐกิจที่จำกัดจำเขี่ย
ตัวปัญหาที่ลึกที่สุดของเราคือความโน้มเอียงที่จะเอาแต่ใจตัวเอง
เด็กทุกคนมีความจำเป็นต้องการ
และสมควรจะได้รับการอุทิศชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไขจากอย่างน้อยผู้ใหญ่สักคนหนึ่งในชีวิตของเขา การอุทิศชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวมีคุณค่าสูงส่งยิ่ง
แต่สิ่งที่มีคุณค่าสูงส่งเช่นที่ว่านี้มันคืออะไร คือเมื่อแม่เลี้ยงดูลูก
นั่นเป็นโอกาสที่แม่กำลังเสริมสร้างพัฒนาภาวะความเป็น “ผู้นำแบบพระคริสต์”
ในตัวของแม่ คือ “ผู้นำที่รับใช้” เริ่มด้วยการอุทิศหมดสิ้นทั้งชีวิตจิตใจเฉกเช่นพระคริสต์ มีชีวิตที่สัตย์ซื่อ มีความรักที่เสียสละ และการเลี้ยงดูเจ้าตัวเล็กด้วยสุดจิตสุดใจ
ความเป็นแม่เรียกร้องสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเราในฐานะผู้หญิง เป็นโอกาสที่เราจะเรียนรู้ถึงการรับใช้ มีชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น และนี่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งประการหนึ่งในการเสริมสร้างความเป็นสาวกพระคริสต์ในตัวเรามิใช่หรือ?
ในความเป็นแม่เธอกำลังมีชีวิตแบบพระคริสต์ที่
“...ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส
(คนรับใช้)...” (ฟีลิปปี 2:7)
เมื่อแม่รับใช้เจ้าตัวเล็ก แม่จะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ได้รับการเชิดชู
และ ชื่นชมจากองค์พระผู้เป็นเจ้า จากอิสยาห์ 42:1 “นี่คือผู้รับใช้ของเรา
ซึ่งเราเชิดชู ผู้ที่เราเลือกสรรไว้
ซึ่งเราชื่นชม
เราจะส่งวิญญาณของเราลงมาเหนือเขา...”
(อมธ.) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอ้าแขนของพระองค์ออกกว้างสำหรับแม่ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยหมดแรง ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังทรงโอบกอดลูกอ่อนของเธอไว้ในอ้อมพระกร
และโอบอุ้มไว้แนบพระทรวง (อิสยาห์ 40:11) และจะค่อยๆนำแม่ที่มีลูกอ่อนไป
ดังนั้น แม้แม่จะเหน็ดเหนื่อยหมดแรง
พระเจ้าทรงรับรู้และเข้าใจถึงสภาพชีวิตของแม่อย่างดี ดังนั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะฟื้นฟูจิตวิญญาณของผู้เป็นแม่ (สดุดี 23:2-3)
และพระองค์จะทรงหนุนเสริมแม่ให้ “ ...มีกำลังด้วยฤทธานุภาพทั้งสิ้น...
เพื่อให้ท่านมีความทรหดอดทน และมีความอดทนในทุกสิ่ง พร้อมทั้งมีความยินดี” (โคโลสี 1:11 มตฐ.)
เมื่อเราในฐานะแม่รู้สึกหมดหนทาง
โดดเดี่ยว และท้อแท้ เรามีทางเลือก
เราสามารถเลือกที่จะต่อต้านความคิดความรู้สึกเช่นนั้น
หรือยอมปล่อยให้ความรู้สึกนั้นบุกรุกถาโถมเข้ามาในห้วงความนึกคิดความรู้สึกของเรามากขึ้นๆ แล้วทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองไม่พอใจยึดครองพื้นที่ความนึกคิดและความรู้สึกของเรา หรือเราจะเลือกต้อนรับเจ้าตัวน้อยของแม่
ที่กำลังมีชีวิตในสภาพที่อ่อนแอและมีความจำเป็นต้องการการปกป้อง เอาใจใส่
เลี้ยงดูอย่างสูงในชีวิต และได้แสดงให้แม่เห็นถึงความจำเป็นต้องการของตนในเวลานั้น เรามั่นใจได้ว่า พระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด จะอ้าแขนต้อนรับ บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก...
และพระองค์จะให้ผู้เป็นแม่ได้รับการพักสงบ (มัทธิว 11:28)
พระคริสต์เคยบอกเราแล้วว่า
คนแข็งแรงไม่ต้องการพระองค์
แต่คนที่สิ้นแรงหมดกำลังพระองค์ทรงต้อนรับ ให้ผู้เป็นแม่พึ่งพิงในพระองค์ต่อไป
การเป็นแม่เป็นสิทธิพิเศษในการช่วยให้มีชายหนุ่มหรือหญิงสาวที่รักพระคริสต์ที่มีชีวิตชีวาคนใหม่ๆเข้ามาในโลกที่เศร้าโศกนี้ด้วยความชื่นชมยินดี
คุณแม่สามารถที่จะกำหนดและเสริมสร้างลักษณะอารมณ์ในครอบครัว ผู้เป็นแม่สามารถที่จะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมโดยรอบบ้านให้เป็นแหล่งของการค้นพบเรียนรู้และสร้างสรรค์
คุณแม่เป็นผู้ที่จะให้คำปรึกษาและสนับสนุนให้บุตรหลานของตนต่อต้าน “ระบบประโยชน์นิยมที่มีตนเองเป็นศูนย์กลาง” ซึ่งกำลังกลืนกินโลกของเราในทุกวันนี้ ในความเป็นแม่เป็นการเตรียมลูกสำหรับสัมพันธภาพในอนาคต
งานหนักที่เปี่ยมด้วยคุณค่าของความเป็นแม่คือการที่แม่พยายามสอนลูกให้ยกย่องนับถือพ่อของลูก
รักและผูกพันกับญาติพี่น้อง สอนลูกให้รู้จักเลือกบริโภคโภชนาการที่ดี ความบันเทิงที่บริสุทธิ์และเป็นประโยชน์ สอนให้ลูกรู้ถึงคุณค่าของความสะอาดบริสุทธิ์และมีมารยาทที่ดี และสิ่งสูงสุดคือการต่อสู้เพื่อสิ่งที่มีคุณค่าสมกับแรงพลัง
และ ชื่อเสียงของเขา
ใครบางคนอาจจะมีอิทธิพลเหนือชีวิตลูกของท่าน
ลองนึกถึงสิทธิพิเศษของแม่ถึงการชี้นำความคิดและหัวใจของคนหนุ่มสาวในการพัฒนาจิตวิญญาณ
สติปัญญา อารมณ์ และสัมพันธภาพทางสังคมของเขา
ลองนึกถึงพระพรของการได้แนะนำให้ลูกรู้จักพระเจ้าแห่งจักรวาล
และความจริงนิรันดร์ในพระวจนะของพระองค์
ลองนึกถึงความสุขที่ได้เห็นลูกพูดความจริงแม้ในเวลาที่เขาประสบกับความยากลำบาก และแสดงความรักแทนความเห็นแก่ตัว อีกทั้งแสดงความเมตตาด้วยความจริงใจ
ขอให้แม่ชื่นชมยินดีกับสิทธิพิเศษของการทำหน้าที่ความเป็นแม่
ในการส่งชายหนุ่มหรือหญิงสาวผู้รักพระคริสต์ที่เข้มแข็ง มีชีวิตชีวา
เข้ามาในโลกที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของความชั่วร้ายทำลาย ให้พวกเขามีชีวิตที่กล้าหาญที่จะดำเนินชีวิตที่ดีเพื่อเห็นแก่พระคริสต์
ชายหนุ่มหญิงสาวที่รักพระคริสต์ที่เข้ามาอยู่ในสังคมโลกที่มีความโศกสลดเพราะความบาปผิดด้วยควากล้าหาญที่ต้องการดำเนินชีวิตที่ดีเพื่อเห็นแก่พระคริสต์
ผู้เป็นแม่อย่าเพิ่งท้อแท้ เพราะงานชีวิตของแม่นั้นยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง
จะมีบางคนที่มีอิทธิพลเหนือชีวิตลูกของท่านในช่วงแรกในชีวิตของลูก
แล้วปลูกฝังระบบค่านิยมและมาตรฐานชีวิตลงบนจิตวิญญาณหนุ่มสาวลูกของแม่อย่างน่าประทับใจ ขอคุณแม่ยังคงยืนหยัดในความเป็นแม่ของตน ผมในฐานะที่เป็นผู้สูงวัย ขอให้ความมั่นใจแก่คุณแม่ในตอนนี้ว่า เมื่อคุณแม่เห็นลูกของตนเติบโตแข็งแรงขึ้นในพระคริสต์
ความทุกยากลำบากในชีวิตของแม่ที่ทุ่มเทลงไปสำหรับลูกจะอันตรธานหายสิ้น
ยิ่งเมื่อลูกยืนยันความเชื่อของเขาเองที่มีในองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด
“อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ
เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม” (กาลาเทีย 6:9 อมธ.)
นี่คือสิทธิอันพิเศษและมีคุณค่ายิ่งในการทำหน้าที่แม่
ขอให้เป็นคุณแม่ที่เต็มใจทุ่มเทยอมจ่ายค่าราคาชีวิตของแม่
ที่ยอมอุทิศทั้งชีวิตตามการทรงเรียกให้เป็นแม่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ขออย่าละเลยสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้เราทำ
หรือเพิกเฉยต่อสิ่งที่พระองค์ขอให้เราเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ในการเลี้ยงดูฟูมฟักชนรุ่นต่อไป
และนี่คือสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง
เพราะสิ่งที่คุณแม่กระทำมิใช่การรับใช้เสริมสร้างชีวิตลูกเท่านั้น แต่ “...องค์พระคริสต์เจ้านี่แหละคือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่”
(โคโลสี 3:24 อมธ.)