24 พฤษภาคม 2564

เพ็นเทคอสต์...พระเจ้าทำงานในชีวิตของผู้เชื่อ ท่ามกลางวิกฤติการทำลายล้างคริสตชน

วันเพ็นเทคอสต์ เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติที่อันตรายและรุนแรงต่อกลุ่มผู้เชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ในเวลานั้น และยิ่งสร้างความหวั่นไหวมากยิ่งขึ้นเมื่อพระคริสต์ได้เสด็จสู่สวรรค์แล้ว   ท่ามกลางวิกฤติที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้เอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาอยู่ท่ามกลางเป็นกำลังชีวิตแก่พวกเขา ที่จะรับมือกับวิกฤติด้วยการทำให้พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แพร่ขยายอย่างทรงพลังในวงกว้างออกไป    

“แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”  (กิจการ 1:8 มตฐ.)

แล้วในวิกฤติการแพร่ระบาดของ โควิด 19 คริสตจักรจะรับมือกับวิกฤตินี้ด้วยการทำให้พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แพร่ขยายอย่างทรงพลังในวงกว้างออกไป เฉกเช่นในเหตุการณ์วันเพ็นเทคอสต์อย่างไร?

ในวันเพ็นเทคอสต์ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเหนือเหล่าสาวกของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเริ่มแรกมีประมาณ 120 คน พวกเขาพบปะกันที่ห้องชั้นบน ในวันนั้นภายหลังการเทศนาของเปโตรมีผู้กลับใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ประมาณ 3,000 คน เกิดคำถามว่า แล้วสาวกเหล่านี้เอาใจใส่เลี้ยงดู ผู้กลับใจเชื่อใหม่เหล่านี้อย่างไร?

แน่นอนครับ พวกสาวกที่เคยติดตามพระเยซูคริสต์ได้ร่วมกันใช้ประสบการณ์ที่พระเยซูคริสต์กระทำเสริมสร้างพวกตนมาประยุกต์ใช้ในการเอาใจใส่เลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่จำนวนมากมายเหล่านี้   ในที่นี้ผมหมายรวมถึงประสบการณ์ที่พวกเขาถกถาม เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากพระอาจารย์ของตน   การเอาใจใส่เยียวรักษาคนเจ็บป่วย การขับไล่วิญญาณชั่ว และอีกประสบการณ์หนึ่งคือ การบริหารจัดการมวลชนจำนวนมากจากการเลี้ยงอาหาร 5,000 คนที่แบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในการแจกจ่ายอาหารแห่งพระพรที่พระเยซูคริสต์ทูลขอจากพระบิดา

เราเรียนรู้การบริหารจัดการเอาใจใส่ชีวิตและความเชื่อของผู้เชื่อใหม่เหล่านี้ได้จาก กิจการ 2:46-47 “ทุก ๆ วันพวกเขามาประชุมกันที่ลานพระวิหาร หักขนมปังตามบ้านของตน และรับประทานร่วมกันด้วยความยินดีและจริงใจ พวกเขาพากันสรรเสริญพระเจ้าและเป็นที่ชื่นชมของคนทั้งปวง ในแต่ละวันองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คนทั้งหลายที่กำลังจะได้รับความรอดมาเข้ากับพวกเขา” (อมธ.)

ผู้เชื่อในพระเจ้าเหล่านี้รวมตัวและพบกันที่ลานพระวิหาร แล้วแบ่งเป็นกลุ่มเล็กพบปะกันตามบ้าน  “เขาทั้งหลายอุทิศตนในคำสอนของเหล่าอัครทูตและในการร่วมสามัคคีธรรม ในการหักขนมปัง และในการอธิษฐาน” (กิจการ 2:42 อมธ.) คนในชุมชนนี้พวกเขาเอาใจใส่หนุนเสริมกันและกัน  และเลี้ยงดู สั่งสอนผู้เชื่อใหม่แบบตัวต่อตัว และพระคัมภีร์บอกเราชัดเจนว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรับความรอดมาเข้ากับพวกเขา

ในกิจการ 20:20 เปาโลกล่าวแก่สมาชิกในคริสตจักรเอเฟซัสว่า “ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้รีรอที่จะเทศนาสิ่งใด ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อท่านแต่ได้สั่งสอนทั้งในที่สาธารณะและตามบ้านต่าง ๆ” (อมธ.)

จดหมายของเปาโลที่เขียนถึงคริสตชนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่โรมที่พบปะกันในบ้าน ในจดหมายนี้เปาโลระบุถึงกลุ่มคริสตชนที่พบปะกันที่คริสตจักรบ้านของปริสสิลลา และ อาควิลลา  “ขอฝากความคิดถึงมายังปริสสิลลา กับอาควิลลาเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์  ทั้งสองเสี่ยงชีวิตเพื่อข้าพเจ้า ไม่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คริสตจักรทั้งปวงของคนต่างชาติก็สำนึกในบุญคุณของพวกเขาด้วย ขอฝากความคิดถึงมายังคริสตจักรซึ่งมาประชุมกันที่บ้านของทั้งสองด้วย” (โรม 16:3-5 อมธ.)

เปาโลได้ส่งคำทักทายคิดถึงผู้คนที่อยู่ในบ้านของอาริสโทบูลลัส และผู้คนที่อยู่ในครัวเรือนของนารซิสซัสผู้อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า (โรม 16:10-11) และเราพบอีกว่า เปาโลได้ทักทายและฝากความคิดถึงไปยัง “อารคิปปัสเพื่อนทหารของเรา และถึงคริสตจักรซึ่งมาประชุมกันที่บ้านของท่าน” (ฟีเลโมน 1:2 อมธ.)

คริสตจักรในยุคแรกเน้นความสำคัญที่กลุ่มผู้เชื่อที่มาพบปะ เสริมหนุน เรียนรู้ถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ พระวจนะของพระเจ้า และพระประสงค์ของพระองค์ร่วมกัน ในสถานที่ที่จะพอหาได้  ไม่ว่าในบ้าน หรือ ที่ทำงาน หรือ มุมใดมุมหนึ่งที่สะดวกในการพบปะพบกัน

บิลลี่ ซันเดย์ กล่าวไว้ว่า “การไป(อาคารและบริเวณ)โบสถ์ไม่ได้ทำให้คุณเป็นคริสตชนมากไปกว่าการไปอู่ซ่อมรถทำให้คุณเป็นรถยนต์”

หรือขยายความได้ว่า “การไปรวมกันที่อาคารโบสถ์ไม่ได้ทำให้คุณเป็นคริสตชน เฉกเช่นการไปอู่ซ่อมรถไม่ได้ทำให้คุณเป็นรถยนต์” หรือการที่เราไปในที่ที่มีคริสตชนมารวมตัวกันมาก ๆอย่างเช่นที่อาคารคริสตจักร ไม่ได้ทำให้เราเป็นคริสตชน เฉกเช่นที่เราไปอู่ซ่อมรถซึ่งมีรถยนต์มากมายก็ไม่ทำให้เรากลายเป็นรถยนต์ไปได้

“พันธกิจในอาคารโบสถ์” มีประโยชน์สำหรับการนมัสการร่วมกันของคนกลุ่มใหญ่ เพื่อการสั่งสอน และ งานเฉลิมฉลองร่วมกันในจำนวนคนมาก ๆ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้พวกเรามุ่งมอง “คริสตจักร” ว่าเป็นคนมิใช่สถานที่ที่คริสตชนรวมตัวพบปะกัน ไม่ว่าในบ้านของเรา หรือมุมหนึ่งมุมใดในที่ทำงาน หรือที่หนึ่งที่ใดในโรงเรียน หรือโรงพยาบาล ย่อมเป็นที่ที่เหมาะสมยิ่งที่คริสตชนหรือผู้เชื่อสามารถใช้ในการพบปะรวมตัวกันเพื่อซึมซับเอาพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เข้าในชีวิตของเราและมีอิทธิพลต่อฐานเชื่อ กระบวนคิด มุมมอง และ การตัดสินใจในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา

ในวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้เราต้องงดการพบปะกันในวันอาทิตย์ พระเจ้ากำลังใช้วิกฤติกาลครั้งนี้กระตุ้นให้คริสตจักรไทยไม่ติดยึดอยู่กับตัวอาคารโบสถ์ บริเวณโบสถ์ การพบปะกันครั้งละหลาย ๆ คน หรือประเพณีปฏิบัติที่ทำกันมานมนาน แต่ให้แสวงหาแนวทางวิธีการที่จะเกิดกลุ่มผู้เชื่อที่จะเสริมสร้างกันละกันในฐานเชื่อกระบวนคิด และ การมีชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่มีในยุคของเรารับใช้พระกิตติคุณ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น