คริสตจักรมิใช่ที่รวมตัวกันเพื่อประกอบศาสนพิธีอย่างมีชีวิตชีวา เพราะมีผู้คนมาร่วมกันมากมายหลายคน
คริสตจักรมิใช่ที่ที่เราจะมาเพียงเพื่อผ่อนคลายความเครียด
หรือ ระบายอารมณ์
คริสตจักรมิใช่เพียงที่ที่เราจะพบปะสังสรรค์และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันกับคนพวกเดียวกัน
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์มิได้วัดกันว่า
วันอาทิตย์นี้ คืนวันพุธอาทิตย์นี้ มีคนมาเต็มอาคารโบสถ์หรือไม่? ตัวชี้วัดสุขภาพ ประสิทธิภาพ
และสมรรถภาพของชีวิตคริสตจักรมิได้วัดกันที่ว่ามีคนมาโบสถ์มากน้อยแค่ไหน หรือมีคนมาเต็มโบสถ์-ล้นโบสถ์หรือเปล่า
เพราะพระเยซูคริสต์ไม่เคยสั่งพวกสาวกและพวกเราว่า "ท่านจงหาคนมาก ๆ ให้มาเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์
เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าท่านทั้งหลายรักเราจริง” แต่ถ้ากลับมาพิจารณาพฤติกรรมการทำพันธกิจของคริสตจักรและศิษยาภิบาลจำนวนมากในปัจจุบันได้ทุ่มเทเวลา
กำลัง และวิธีการต่าง ๆ ที่จะทำให้มีคนมาร่วมกันในอาคารโบสถ์มากยิ่งขึ้น เรากำลังกระทำคลาดเคลื่อนจากพระประสงค์ที่แท้จริงของพระคริสต์หรือเปล่า?
ทั้งพระเยซูคริสต์และสาวกไม่เคยเน้นย้ำเรื่อง
“การไปที่อาคารคริสตจักร” แต่จะเน้นย้ำเรื่อง “การเป็นคริสตจักร” และในมาระโก
16:15 บอกให้เราทุกคนว่า “จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนทั้งปวง...” (อมธ.)
พระเยซูคริสต์ไม่เคยสอนให้เราอธิษฐานว่า
“ขอให้มีคนมาเต็มอาคารคริสตจักร” แต่พระองค์บอกให้เราว่า
“งานเก็บเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยนัก
เหตุฉะนั้นจงทูลขอต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ให้ส่งคนงาน
มายังทุ่งแห่งการเก็บเกี่ยวของพระองค์” (ลูกา 10:2 อมธ.)
พระเยซูคริสต์มุ่งเน้นที่การขอคนทำงานตามพระบัญชาของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ขอให้มีคนมาก
ๆ มานั่งในโบสถ์
การทำตามพระบัญชาของพระเยซูคริสต์
เป้าหมายของคริสตจักรไม่ใช่ การเติมเต็มคนที่เข้ามาในอาคารโบสถ์หรือคริสตจักร
ให้เต็มอาคาร แต่เป็นการเติมเต็ม “ข่าวดีแห่งความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์”
ให้เต็มล้นในชีวิตเพื่อนบ้านในชุมชนเป้าหมาย
บางท่านอาจจะคิดในใจ
หรือเตรียมพร้อมงัดเอาพระธรรม ลูกา 14:23 มาสวนกลับที่กล่าวมาข้างต้นว่า แล้วในคำอุปมาเรื่องงานเลี้ยง
แขกที่เชิญไม่มีใครมา เจ้าของงานเลี้ยงยังให้คนใช้ไปกวาดต้อนเอาคนข้างถนนมาให้เต็มบ้านว่า
“จงไปตามถนนหนทางในชนบท และระดมพวกเขามาให้เต็มบ้านของเรา” (อมธ.) คนเต็มบ้านในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงคนเต็มอาคารคริสตจักรหรือ? คำอุปมานี้พระเยซูคริสต์เล่าเพราะมีคนถามพระองค์ถึงเรื่องคนที่มาร่วมงานเลี้ยง
“ในแผ่นดินของพระเจ้า” และการที่มีคนมาเต็มบ้านในพระธรรมตอนนี้หมายถึงการนำพระกิตติคุณ
(คำเชิญชวนให้มางานเลี้ยง) ของพระองค์ให้ไปประกาศนำคนทั้งหลายมาเต็ม
“แผ่นดินของพระเจ้า” (ดูข้อ 15 มตฐ.) ไม่ใช่
“อาคารคริสตจักร”
พระเยซูคริสต์เน้นการออกจากคริสตจักรแล้วเข้าไปในสังคม
ไม่ใช่ให้มาเก็บตัวรวมหัวกันในอาคารคริสตจักร
เป็นเรื่องเยี่ยมยอดเลยที่อาคารคริสตจักรจะเต็มไปด้วยผู้คนที่เป็นผู้เชื่อที่นมัสการพระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น
มีชีวิตชีวา และแสวงหาพระเจ้าด้วยความจริงใจ แต่การที่จะหาคนมาใส่ให้เต็มอาคารคริสตจักรไม่ใช่เป้าหมายของพระบัญชาของพระเยซูคริสต์
พระเจ้าต้องการใช้อาคารคริสตจักรเป็น
“เครื่องมือ” ที่เตรียมและเสริมสร้างสมาชิกให้เข้าไปถึงสังคมโลก อาคารคริสตจักรมิใช่
“เป้าหมาย” ของการมีคริสตจักร
คริสตจักรมากมายในปัจจุบัน
ที่มีคนจำนวนมากมาเต็มอาคารคริสตจักร แล้วก็ทำกิจกรรมและประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในคริสตจักร
แต่ชุมชนเพื่อนบ้านโดยรอบคริสตจักรกลับไม่ได้รับการดูแล เอาใจใส่จากคริสตจักรเลย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไม่ได้ตกลงในชีวิตและในชุมชนคนเหล่านั้น
ดังนั้น คริสตจักรที่ยิ่งใหญ่เข้มแข็งจึงมิได้ดูกันที่ขนาดอาคารและบริเวณคริสตจักร
หรือจำนวนคนที่มาในตัวอาคาร แต่ตัวชี้วัดความยิ่งใหญ่และเข้มแข็งของคริสตจักรควรวัดกันที่
“คุณภาพชีวิตการเป็นสาวกพระคริสต์” ในชีวิตของสมาชิกแต่ละคน และ
ชีวิตที่ร่วมกันของคนเหล่านี้
เป็นชุมชนผู้เชื่อที่เน้นและสำแดงออกถึงชีวิตที่เป็นรูปธรรม 2 ด้านคือ
(1)
ชีวิตของสมาชิกแต่ละคนเป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือ
เป็นขึ้นใหม่โดยพระคริสต์
(2) เป็นคริสตจักรที่
“เสริมสร้าง” และ
“ส่งสมาชิกแต่ละคนและทุกคนให้เข้าไปในสังคมชุมชนด้วยความรักเมตตาที่เสียสละแบบพระคริสต์
รับใช้ และ แบ่งปัน “ข่าวดีของพระคริสต์”
อย่างเป็นรูปธรรมผ่านการกระทำในชีวิตของสมาชิกแต่ละคน เพื่อตอบสนองความหิวกระหายในชีวิตของผู้คนรอบข้างคริสตจักร
ดังนั้น เราคงต้องชี้วัดคุณภาพ
ประสิทธิภาพ สมรรถภาพ สุขภาพ และความเข้มแข็งของคริสตจักรจากการที่คริสตจักรนั้น ๆ
สามารถที่จะ “ส่ง”
สมาชิกของตนให้ออกจากคริสตจักรเข้าไปในสังคมชุมชนเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐด้วยชีวิตมีประสิทธิภาพแค่ไหน
ไม่ใช่นับจำนวนคนที่มีในอาคารและบริเวณโบสถ์ว่ามีมากเท่าใด
คริสตจักรนำผู้คนมาเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์
เพื่อจะเตรียม เสริมสร้างพวกเขาแต่ละคนให้เข้มแข็งแล้วส่งพวกเขาให้ออกจากคริสตจักร
เพื่อนำพระกิตติคุณของพระคริสต์ไปยังชีวิตของคนรอบข้างที่เขาพบเห็น สัมผัส
ในชีวิตประจำวันในชุมชนที่เขาอยู่และทำงาน ผ่านการดำเนินชีวิตที่สำแดงความรักเมตตาที่เสียสละของพระคริสต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น