01 พฤษภาคม 2564

เปลี่ยน!... “ปณิธาน ที่ อันตรธาน” เป็น...ความมุ่งมั่น 5 ขั้นตอนของผู้นำคริสตจักร (3)

ที่เรามาเป็นศิษยาภิบาล และ ผู้นำในด้านพันธกิจเพราะเรารักพระเจ้า และ รักมนุษย์ เรารักคนที่มาร่วมกันในคริสตจักรของเรา

ประเด็นปัญหา และ อันตรายในการทำงาน “เพื่อพระเจ้า” คือ  เมื่อเราเริ่มมีความคิดว่าในการทำงานเพื่อพระองค์เราไม่จำเป็นต้องมี “พระคุณพระเจ้า” ที่เราเทศนาและสั่งสอนในคริสตจักร   กล่าวคือเรามุ่งที่จะทำด้วยกำลังชีวิตของตนเอง มิได้สำนึกถึงการที่ “พระเจ้ากระทำเพื่อชีวิตของเรา” แย่กว่านั้น เรากลับคิดไปว่า “เรากำลังทำเพื่อพระเจ้า”

ในข้อเขียนนี้ได้กล่าวถึงขั้นตอนที่ 4 และ 5 ในความมุ่งมั่น 5 ขั้นตอนของผู้นำคริสตจักร

4.  มุ่งมั่นทุ่มเทใส่ใจชีวิตจิตวิญญาณตน

การใส่ใจต่อจิตวิญญาณนั้นมีความสำคัญยิ่งต่อสุขภาพในทุกด้านของเรา สุขภาพทางจิตใจ จิตวิญญาณ อารมณ์ และ ด้านร่างกาย การที่เราเอาใจใส่ต่อ “วันสะบาโต” เป็นประจำในแต่ละสัปดาห์นั้นทำให้เรามีเวลาโอกาสในการเติมพลังชีวิต ทำให้ชีวิตจิตวิญญาณกลับมีความสุขสดชื่น

นั่นหมายความว่าเรามีเวลาที่จะพักผ่อน

ความเงียบสงบก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการดูแลใส่ใจชีวิตด้านจิตวิญญาณ เครื่องมือสื่อสารที่สะดวกรวดเร็วและทันสมัยทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไปทุก ๆ ที่กับเรา ทุกที่มีเสียงดัง   เราสูญเสียวินัยชีวิตในความเงียบ ที่เราจะฟังเสียงจากพระเจ้า 

ขอย้ำว่า...มิใช่ที่เราจะพูดกับพระเจ้าเท่านั้น แต่ที่เราจะมีโอกาสที่จะฟังพระเจ้าด้วย

การอยู่โดดเดี่ยว การอยู่กับตนเองก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน ผมชอบที่จะไปเดินตัวคนเดียวทั้งเช้าและเย็น ในเวลาเช่นนั้นผมต้องการมีประสบการณ์ของการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า

การเติบโตขึ้นในพระเยซูคริสต์ต้องการเวลาของชีวิต เมื่อเราได้รับการทรงสร้างใหม่ เราเริ่มรับการเสริมสร้างที่แก่นหลักของชีวิต แต่ในชีวิตของเรายังมีร่องรอยแผลเป็นของวิถีชีวิตเก่า ที่วันดีคืนดีถ้ามันได้โอกาสก็จะกลับมาหลอกล่อและหลอกลวงเรา แผลเป็นนั้นอาจจะอักเสบ และบ่มหนองได้

พระเจ้าใช้เวลาไม่มากนักที่จะนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ แต่ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตที่จะขจัด “ความเป็นอียิปต์” ออกไปจากชีวิตของอิสราเอล

เรามีผู้นำคริสตจักร และ ผู้นำบรรดาสมาชิกรับใช้ในคริสตจักร และ ในพันธกิจที่เราสามารถไว้วางใจได้ไหม? ผู้นำในคริสตจักรไม่ได้เป็นผู้เข้มแข็งตลอดกาล

การแสดงออกถึงความอ่อนแอหรือความเปราะบางของผู้นำเป็นเรื่องปกติ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เท่านั้น แต่เป็นการดีเหมาะสมที่จะแสดงออกเช่นนั้นด้วยความจริงใจ

5. มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนจากสมาชิกที่คอย “รับ” ไปเป็นสาวกพระคริสต์ที่ “ให้และมีส่วนร่วม”

ดูเหมือนจะเป็นวัฒนธรรมของคริสตจักรในบ้านเมืองเรา ที่ผู้นำคริสตจักรคิดและรู้สึกว่า หน้าที่ของบรรดาผู้นำคือการตอบสนองความจำเป็นต้องการของสมาชิกในคริสตจักร แต่พระเจ้าทรงเตรียมทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ให้เป็นตัวแทนแห่งพระราชกิจของการทรงกอบกู้ไถ่ถอนสังคมโลก

ที่กล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าสมาชิกทุกคนในคริสตจักรจะต้องเป็นผู้นำในงานพันธกิจใดพันธกิจหนึ่ง แต่ผู้นำคริสตจักรมีหน้าที่ในการเสริมสร้างโอกาส และ ช่องทางให้สมาชิกแต่ละคนสามารถเข้าร่วมพันธกิจนของพระคริสต์ตามเวลา ตะลันต์ความสามารถ และ ทรัพยากรตามที่แต่ละคนมีอยู่

ตัวอย่างเช่น การที่หนุนเสริมให้สมาชิกที่จะให้สิ่งที่เป็นความจำเป็นต้องการของชุมชน เช่น ด้วยการที่คริสตจักรของเราเข้าไปมีส่วนร่วมงานกับโรงเรียนในชุมชน หรือการมีส่วนร่วมในการจัดหาสิ่งที่โรงเรียนจำเป็นต้องมี หรือ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน

นี่มิใช่การช่วยเหลือวัตถุสิ่งของสำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่สามารถมีได้เท่านั้น แต่ก็เป็นการช่วยเหลือลูกหลานของสมาชิกคริสตจักรที่เรียนในโรงเรียนนั้นด้วย ไม่ว่าคนในชุมชนจะมีจิตวิญญาณหรือความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่นี่เป็นการที่สมาชิกคริสตจักรมีส่วนร่วมในงานแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในชุมชน แม้บางครั้งจะดูเหมือนว่าคริสตจักรมีส่วนร่วมด้วยสิ่งของวัสดุเครื่องใช้ทางการศึกษาเพียงน้อยนิดก็ตาม

ตอนท้ายของการเทศนาของทุกอาทิตย์ หรือ ในช่วงท้ายของการนมัสการทุกครั้ง ศิษยาภิบาลจะกล่าวในทำนองว่า ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์ ศิษยาภิบาลขอส่งทุกท่านกลับไปยังครอบครัว ที่ทำงาน และชุมชน หรือในที่ที่สมาชิกจะใช้เวลาและชีวิตของเขาตลอดอาทิตย์ข้างหน้า เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระเจ้าที่จะเกิดขึ้นในที่เหล่านั้น

ความมุ่งมั่น 5 ขั้นตอนของผู้นำคริสตจักรดังกล่าวมานี้ เป็นขั้นตอนที่เริ่มต้นเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในตนเองของเราแต่ละคนก่อน หรือ เสริมสร้างความเข้มแข็งและภาวะผู้นำภายในชีวิตของผู้นำก่อน จนกลายเป็นอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนรอบข้างที่เขานำต่อไป