เมื่อเราอ่านเรื่องราวของบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์ เราไม่ได้พบว่า ที่คนนั้นคนนี้เป็นคนสำคัญเพราะเป็น คนดี เด่น เก่ง ดัง สิ่งที่เราพบในชีวิตคนสำคัญในพระคัมภีร์มิได้มีแต่ด้านดีด้านบวกเท่านั้น แต่เราพบความจริงว่าคนเหล่านี้ก็ผิดพลาดในชีวิตมากมาย เช่น โกหก หลอกลวง เห็นแก่ตัว โกง เล่นชู้ เที่ยวหญิงบริการ เอาเมียคนอื่นมาเป็นเมียของตนอง
เวลาอ่านเรื่องราวของบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์ ที่เขาเป็นคนสำคัญเพราะ พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเขา และ ผ่านชีวิตของเขา ชีวิตของเขาจึงเกิดผลตามแผนการของพระเจ้า
ท่ามกลางเหตุร้าย สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ อาจจะเกิดจากการที่บุคคลสำคัญคนนั้นทำผิดพลาด หรือ เพราะคนรอบข้างทำให้เขาต้องตกในสถานการณ์เลวร้ายและทุกข์ยาก พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านทั้งสถานการณ์ดีและเลวร้ายในชีวิตของบุคคลให้เกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์ จึงทำให้เราเห็นว่าคนๆ นั้นเป็นคนสำคัญในพระคัมภีร์
อีกประการหนึ่ง เราจะพบว่า ทุกคนที่เป็นคนสำคัญในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงสัญญาและทรงสถิตอยู่ด้วยกับเขา และนี่คือจุดเริ่มต้นการเป็นคนสำคัญในพระคัมภีร์
อับราฮัม
เมื่อพระเจ้าทรงเรียกอับราม มิใช่เพราะอับรามเป็นคนดี ร่ำรวย มีอำนาจ แต่พระเจ้าทรงเรียกอับรามที่เป็นบรรพบุรุษแห่งความเชื่อเพราะ พระองค์ต้องการสำแดงพระประสงค์ของพระองค์ต่ออับราม และ ต่อบรรดาประชาชาติผ่านทางอับราม พระองค์จึงมีพระสัญญา สถิตอยู่ด้วย และกระทำพระราชกิจในชีวิตและผ่านชีวิตของอับราม
“
เรา จะทำ ให้
เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และ
เราจะ
อวยพร เจ้า
เรา จะทำให้ชื่อเสียงของเจ้า เลื่องลือ และ
เจ้าจะเป็นพระพร
เรา จะอวยพร ผู้ที่อวยพร
เจ้า และ
เราจะ
สาปแช่ง บรรดาผู้ที่แช่ง
เจ้า
ทุกชนชาติทั่วโลก จะได้รับพระ
ผ่านทางเจ้า” (อมตธรรม ปฐมกาล 12:2)
ยาโคบ
เมื่อยาโคบได้หลอกล่อวางแผนแย่งพรบุตรหัวปีจากพี่ชาย ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงถึงขนาดหาทางจะปลิดชีวิตกัน ดังนั้น ยาโคบจึงหนีออกจากบ้านไปอยู่กับลุง ทั้งด้วยความกลัวจะถูกทำร้ายและถูกฆ่า อีกทั้งกลัวเพราะไม่รู้ว่าอนาคตของตนจะเป็นเช่นไร ณ กลางทางที่เขารอนแรมนอนค้างคืนนั้นเอง พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ และ ให้พระสัญญาแก่ยาโคบ
"
เรา อยู่ กับเจ้า และจะ
ดูแลปกป้อง เจ้า ไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และเราจะ
นำ เจ้ากลับมายังดินแดนนี้
เราจะ
ไม่ทิ้ง เจ้า จนกว่า
เรา จะ
ได้ทำ สิ่งที่
เราได้
สัญญา ไว้กับเจ้าแล้ว" (อมตธรรม ปฐมกาล 28:15)
โยเซฟ
เมื่อโยเซฟถูกขายให้กับโปทิฟาร์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ของฟาโรห์แห่งอียิปต์ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า "
องค์พระผู้เป็นเจ้า สถิต กับ
โยเซฟและ
ทรงอวยพร ให้เขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นในบ้านของเจ้านายชาวอียิปต์ เมื่อ
นายเห็นว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้า สถิต กับ
เขา และ
องค์พระผู้เป็นเจ้า ประทานความสำเร็จ ในทุกสิ่งที่
เขาทำ
โยเซฟจึงเป็นที่
โปรดปรานและกลาย
เป็นคนสนิทของนาย..." (อมตธรรม ปฐมกาล 39:2-4)
เมื่อโยเซฟถูกใส่ความเพราะไม่ยอมทำตามใจนายหญิง เขาจึงถูกจำคุกหลวง "...แต่ขณะที่โยเซฟถูกขังอยู่ในคุกนั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้า สถิต กับ
โยเซฟ ทรงกรุณา เขา และ
ทำให้ โยเซฟ เป็นที่
โปรดปรานในสายตาของพัศดี ดังนั้นพัศดีจึงตั้งให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลนักโทษทุกคน และให้เขารับผิดชอบงานทุกอย่างในคุก... เพราะว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้า สถิต กับ
โยเซฟและ
ประทานความสำเร็จ ในทุกสิ่งที่
เขาทำ" (อมตธรรม ปฐมกาล 39:20-23)
เมื่อฟาโรห์หาคนทำนายความฝันไม่ได้ ในที่สุดจึงให้โยเซฟมาช่วยทำนายความฝันของพระองค์ โยเซฟบอกกับฟาโรห์ตรงไปตรงมาว่า "ข้าพระบาททำ(บอกความหมายของความฝัน)ไม่ได้ แต่
พระเจ้าจะ
ทรงแจ้ง ให้ฟาโรห์ทราบคำตอบตามที่ฟาโรห์ต้องการ" (อมตธรรม ปฐมกาล 41:16) เมื่อ
โยเซฟได้
บอกถึงความหมายของความฝันที่
พระเจ้า ประสงค์บอกแก่ฟาโรห์ แล้ว โยเซฟยังได้แนะวิธีการบริหารจัดการสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผย "ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "เนื่องจาก
พระเจ้า ทรงเปิดเผย ความหมายของความฝัน
ให้เจ้ารู้ จึง
ไม่มีผู้ใดฉลาดหลักแหลมและมีสติปัญญาเหมือนเจ้า เราจะ
แต่งตั้งเจ้าให้
ดูแลพระราชสำนักของเรา และราษฎรทั้งหมดของเราจะทำตามคำสั่งของเจ้า...บัดนี้เราขอตั้งเจ้าให้ดูแลทั่วแผ่นดินอียิปต์..."" (อมตธรรม ปฐมกาล 41:39-41)
เมื่อโยเซฟเปิดเผยตนเองแก่บรรดาพี่ชายที่มาซื้อข้าวที่อียิปต์ว่า ตนคือโยเซฟ พวกพี่ๆ ต่างกลัวลาน เพราะคิดว่าโยเซฟจะแก้แค้นที่พวกเขาขายโยเซฟ แต่โยเซฟได้บอกกับพี่ๆว่า การที่เขาถูกขายมาที่อียิปต์พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจผ่านชีวิตของตน "บัดนี้อย่าเสียใจและอย่าโกรธตนเองที่ได้ขายเรามาที่นี่ เพราะว่า
พระเจ้า ทรงส่ง เรามาล่วงหน้าพวกพี่เ
พื่อช่วยชีวิตคนทั้งหลาย... และทรง
ช่วยชีวิตพวกพี่ไว้ด้วย
การช่วยกู้ยิ่งใหญ่... ฉะนั้น จึงมิใช่พี่ที่ส่งเรามาที่นี่ แต่เป็นพระเจ้าเอง..." (อมตธรรม ปฐมกาล 45:5, 7-8)
โมเสส
เมื่อพระเจ้าทรงเรียกโมเสส ให้กลับไปช่วยชนอิสราเอล ซึ่งครั้งหนึ่งเขาพยายามที่จะช่วยแต่ประสบความล้มเหลว เนื่องจากเขาพยายามใช้ความสามารถและฐานะการเป็น “เจ้าชาย” ของเขาในการช่วย แต่ในครั้งนี้พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้กลับไปอียิปต์อีก ครั้งนี้มิใช่ให้โมเสสเป็นผู้กระทำ แต่พระเจ้าจะอยู่กับเขาและใช้เขาทำในสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ พระองค์จะทำผ่านโมเสส พระเจ้าตรัสว่า "
เรา ได้เห็นความทุกข์เข็ญ ของประชากรของเราในอียิปต์แล้ว
เรา ได้ยินเสียงร่ำร้อง เนื่องจากนายงานอำมหิตของพวกเขา และ
เรา ห่วงใยในความทุกข์ทรมาน ของพวกเขา ดังนั้น
เราจึง
ลงมาเพื่อช่วย พวกเขาให้พ้นจากเงื้อมือชาวอียิปต์ และ
นำพวกเขาออก ไปยังดินแดนกว้างใหญ่ อุดมไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง..." (อมตธรรม อพยพ 3:7-8)
โยชูวา
เมื่อพระเจ้าทรงรับโมเสสไปแล้ว โยชูวาจึงเป็นผู้นำของอิสราเอลต่อจากโมเสส พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า "โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว บัดนี้เจ้ากับประชากรทั้งปวงจงเตรียมข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าสู่ดินแดนที่เรากำลังจะยกให้อิสราเอล... ไม่มีใครยืนหยัดต่อสู้เจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า เพราะ
เรา จะอยู่กับเจ้า เหมือนที่เราอยู่กับโมเสส
เรา จะไม่ละจาก เจ้า หรือ
ทอดทิ้ง เจ้าเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด..." (อมตธรรม โยชูวา 1:2, 5-6)
พระเยซูคริสต์
ภายหลังพระเยซูได้รับบัพติศมา และ ถูกมารทดลองแล้ว พระองค์ได้เริ่มพระราชกิจของพระองค์ด้วยการประกาศถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงส่งให้พระองค์เข้ามาทำพันธกิจในโลกนี้ พระองค์ประกาศจุดยืนแห่งพันธกิจของพระองค์ในธรรมศาลาบ้านเกิดของพระองค์ ในเมืองที่พระองค์ทรงเติบโต ที่พระองค์ไปที่ธรรมศาลานั้นเป็นประจำ พระองค์ประกาศจุดยืนการทำพันธกิจของพระองค์โดยอ่านจากคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ว่า
"
พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอยู่เหนือ ข้าพเจ้า
เพราะ
พระองค์ ทรงเจิมตั้ง ข้าพเจ้าไว้
ให้แจ้งข่าวดีแก่คนยากไร้
ทรงใช้ ข้าพเจ้าให้ประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ และ
ให้คนตาบอดมองเห็น
ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่
ให้ประกาศปีแห่งการโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า...
ในวันนี้พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นจริงแล้วตามที่ท่านได้ฟัง" (อมตธรรม ลูกา 4:18-19, 21)
พระเยซูคริสต์ทรงยืนยันว่า "
เราต้องประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นๆ ด้วย ด้วยเพราะ
เราถูกส่งมาก็เพื่อเหตุนี้" (อมตธรรม ลูก 4:44) พระองค์ตรัสบอกพวกฟาริสีและธรรมา-จารย์ว่า "เรามิได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่" (ลูกา 5:32) นั่นหมายความว่า
พระเจ้าทรงใช้พระเยซูคริสต์ให้มาเรียกคนบาปกลับมาคืนดีกับพระเจ้า
พระเยซูสอนสาวกให้รู้ถึงเป้าหมายแห่งพันธกิจของพระองค์ มิใช่เพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบศาสนาอย่างที่พวกเขาเข้าใจ หรือการปฏิบัติศาสนพิธีที่พวกยิวปฏิบัติสืบทอดกันมา แต่พระองค์มาเพื่อให้เกิดความเข้าใจพระประสงค์ในพระบัญญัติของพระเจ้าเพื่อจะเข้าใจความหมายและกระทำตามอย่างถูกต้อง เป้าหมายแห่งพันธกิจของพระเยซูคริสต์คือ "...
ให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก" (มัทธิว 6:10 TBS71b)
และเมื่อยอห์นผู้ให้บัพติสมาสงสัยว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ที่รอคอยหรือไม่จึงได้ส่งลูกศิษย์ไปถามพระเยซู พระองค์ตรัสตอบว่า "จงกลับไปรายงานสิ่งที่ท่านได้เห็นได้ยินแก่ยอห์น คือ
คนตาบอดเห็นได้
คนง่อยเดินได้
คนโรคเรื้อนหายจากโรค
คนหูหนวกกลับได้ยิน
คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และ
ข่าวประเสริฐได้ประกาศแก่คนยากไร้" (ลูกา 7:22-23)
และพระเยซูยืนยันกับสาวกว่า ที่พระองค์ถูกส่งมาในโลกนี้ก็เพื่อ "...
กระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงส่งเรามา และ
กระทำพระราชกิจของพระองค์ให้สำเร็จ (ยอห์น 4:34)
ทั้งสิ้นนี้ย่อมชี้ชัดแล้วว่า บุคคลสำคัญในพระคัมภีร์มิได้เป็นคนสำคัญเพราะเป็นเพียงคนดี เด่นเก่ง ดัง แต่ที่คนทั้งหลายยกย่องว่าคนเหล่านั้นสำคัญเพราะ
เขายอมเปิดชีวิตรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเขา
เขาให้พระองค์กระทำพระราชกิจตามพระสัญญา และ
ตามพระประสงค์ของพระองค์
เขามีชีวิตที่เชื่อฟังและกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าให้สำเร็จ
ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข
และน่าสังเกตว่าในทุกวิกฤติชีวิต คนๆนั้นจะพบพระหัตถ์ที่ทรงชูช่วยของพระเจ้า และ
เมื่อเขายอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์
คนทั้งหลายจึงได้เห็นพระเจ้าทรงทำงานในชีวิตและผ่านชีวิตของเขา
อีกทั้งนำพระพรมาสู่คนอื่นด้วย
คนทั้งหลายจึงเห็นคุณค่า ความหมาย และความสำคัญในชีวิตของคนๆ นั้น
ท่าน
พระเจ้ามิได้ประสงค์ให้มีคนสำคัญในพระคัมภีร์เท่านั้น
แต่พระเจ้าประสงค์ให้เราเป็นคนสำคัญของพระองค์ในสายตาของคนทั่วไปด้วย