03 พฤษภาคม 2554

สรรเสริญคือพลังชีวิตในวิกฤติ

ราวเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาสกำลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า
และนักโทษอื่นๆ ฟังอยู่
(กิจการ 16:25 อมตธรรม)

สามีภรรยาคริสเตียนที่ฟลอริดาคู่หนึ่ง มีลูกสาวที่น่ารักด้วยกัน 4 คน ในจำนวนนี้เป็นแฝดเหมือนสองคน และทั้งสองมีอาการผิดปกติทางสมองเกิดอาการชักและไม่สามารถที่จะช่วยตนเองได้ กว่า 14 ปีที่ผ่านมา ทั้งสามีภรรยาต่างเอาใจใส่ลูกสาวแฝดที่พิการทั้งสองอย่างโอบอ้อมอารี ผู้เป็นแม่ได้ใช้เวลามากมายในการดูแลเอาใจใส่ลูกสาวทั้งสองด้วยความเหนื่อยยากอย่างทรหด เธอต้องเสียน้ำตากับความทุกข์ใจ ต้องระเบิดอารมณ์ด้วยความสับสน และทะลักออกมาด้วยความโกรธ มีบางครั้งเธอมีความรู้สึกว่าพระเจ้าทรงทดทิ้งเธอ เธอยอมรับว่าหลายต่อหลายครั้งที่เธอร้องเรียกหาพระเจ้า อย่างผู้เขียนพระธรรมสดุดีที่ร้องทูลต่อพระเจ้าว่า “ขอทรงโปรดตอบเมื่อข้าพระองค์ร้องทูล เมื่อข้าพระองค์จนตรอก ขอพระองค์ประทานช่องทางให้ ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ และทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์” (สดุดี 4:1)

อย่างไรก็ตามเธอตัดสินใจว่า ไม่ว่าแต่ละวันจะมีสถานการณ์ยุ่งยากสับสนเพียงใดก็ตาม เธอจะสรรเสริญพระเจ้า เธอบอกว่า “ฉันอธิษฐานขอพระเจ้ารักษาลูกสาวทั้งสองของดิฉัน” เธอแบ่งปันต่อไปว่า “ขอเพียงพระเจ้าทรงสัมผัสลูกทั้งสองคนคู่แฝดก็จะได้รับการเยียวยาฟื้นฟูดีขึ้นแน่ และถ้าพระองค์ทรงรักษาลูกแฝดของฉันให้หาย ฉันจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตสรรเสริญพระเจ้า และประกาศแก่คนอื่นๆ ถึงพระราชกิจอันมีพระคุณของพระเจ้า เพราะนี่คือการอัศจรรย์ แน่นอนว่าพระเจ้าทรงสามารถรักษาลูกทั้งสองได้ แต่ฉันได้เรียนรู้ด้วยว่า ดิฉันจะสรรเสริญพระเจ้าตลอดทั้งชีวิตเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ไม่ว่าพระองค์จะทรงรักษาลูกสาวทั้งสองของดิฉันให้หายหรือไม่ก็ตาม ดิฉันไว้วางใจในพระเจ้าแม้ในเวลาที่ดิฉันไม่เข้าใจพระองค์ก็ตาม” เธอจบคำพูดของเธอด้วยประโยคที่ครุ่นคิดว่า “มันฟังดูง่ายนะ แต่มันยังไม่ได้เป็นอย่างนั้น”

เราจะมีจิตใจที่สัตย์ซื่อ กล้าหาญเช่นนี้ได้อย่างไร? ชีวิตของเธอนั้นถูกท้าทายอย่างแรง แต่เธอตัดสินใจที่จะสรรเสริญพระเจ้าในทุกสถานการณ์ชีวิต เมื่อได้ยินเรื่องของคุณแม่ลูกแฝดคนนี้กระตุ้นหนุนเสริมให้ผมมุ่งมั่นที่จะไว้วางใจในพระเจ้า จากเรื่องที่เธอเล่าทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า ในสถานการณ์ชีวิตที่ถูกการทดลองนี้กลับนำให้เธอพึ่งพิงในพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และไว้วางใจอย่างลงลึกมั่นคงในการปกป้องของพระเจ้า เรื่องของคุณแม่คนนี้เตือนผมให้ระลึกได้ว่า ในทุกสถานการณ์ที่ผมต้องเผชิญหน้ากับทางแพ่งและต้องตัดสินใจเลือก ผมสามารถเลือกความไม่พอใจอารมณ์เสียหรือเลือกสรรเสริญพระเจ้า ผมมีโอกาสเลือกที่จะหันหนีไปจากพระเจ้าหรือหันเข้าหาพระเจ้าด้วยมั่นใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า แม้ว่าจะต้องเจ็บปวด หรือถูกกระแทกจากอารมณ์อันฉุนเฉียวของคนอื่น หรือแม้จะต้องเต็มด้วยคำถามและความสงสัยมากมายก็ตาม

ท่านเคยเผชิญหน้ากับทางแพ่งในชีวิตหรือไม่?

เมื่อเรากลับย้อนไปศึกษาถึงประสบการณ์ของคริสตจักรสมัยเริ่มแรก ในพระธรรมกิจการบทที่ 16 เราได้พบตัวอย่างของคริสเตียนเมื่อพบกับสถานการณ์ที่เลวร้าย ถูกทำร้ายข่มเหง ถูกจำขังอย่างไม่เป็นธรรม ครั้งเมื่อเปาโลและสิลาสไปประกาศพระกิตติคุณที่เมืองฟิลิปปี การทำพันธกิจของทั้งสองเกิดความขัดแย้งทางความเชื่อกับคนในฟิลิปปี และพระกิตติคุณไปขัดผลประโยชน์ของธุรกิจทางความเชื่อของผู้นำศาสนาในเมืองนั้น สิ่งที่ทั้งสองได้รับคือ ถูกรุมประชาทัณฑ์อย่างน่าสยอง ถูกกระชากเสื้อผ้าออกจนเปลือย แล้วลงโทษด้วยการเฆี่ยนต่อหน้าฝูงชน พระธรรมกิจการอธิบายภาพในสถานการณ์ตอนนั้นว่า “ฝูงชนเข้าร่วมเล่นงานเปาโลกับสิลาส คณะผู้ปกครองเมืองสั่งให้กระชากเสื้อผ้าของเขาออกและโบยตีพวกเขา หลังจากโบยตีอย่างหนักแล้ว ก็โยนเขาเข้าห้องขัง และกำชับพัศดีให้ดูแลอย่างกวดขัน เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้น พัศดีจึงจำเขาไว้ในห้องขังชั้นใน และใส่ขื่อที่เท้าของเขา” (16:22-24 อมตธรรม)

คนส่วนมากที่ตั้งใจทำพันธกิจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผลที่ได้รับมิเพียงแต่การต่อต้านเท่านั้น แต่ต้องถูกทำร้ายทำลายด้วยความแค้นเพราะเสียผลประโยชน์ มักจะเกิดคำถามในชีวิตว่า ทำไมทำดีแล้วยังต้องได้รับความทุกข์ยากบาดเจ็บเช่นนี้ เขาอาจจะนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจ เจ็บช้ำน้ำใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้างก็หาทางที่จะหลบหนี บ้างคิดวางแผนหาทางตอบโต้ บ้างกล่าวโทษต่อคนที่กระทำต่อตนอย่างอยุติธรรม หรือบ้างก็ถึงกับต่อว่าพระเจ้า

แต่เปาโลและสิลาสเลือกที่ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด เขาทั้งสองเลือกที่จะไว้วางใจในแผนการของพระเจ้า ความสนใจของทั้งสองมิได้อยู่ที่บาดแผลเหวอะหวะ ความเจ็บปวดทั่วร่างกาย หรือความรู้สึกเจ็บแค้นที่ถูกฝูงชนทำร้าย ถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรม แต่ความสนใจของทั้งสองมุ่งพุ่งเป้าไปสู่ “แผนงานของพระเจ้า” ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า อะไรคือฉากต่อไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตามแผนการของพระเจ้า เขาทั้งสองเชื่อและไว้วางใจว่า พระเจ้าจะทำสิ่งที่ดีที่สุดจากเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุด เขาทั้งสองไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ดังนั้น ทั้งสองจึงอธิษฐาน และ สรรเสริญพระเจ้า ทั้งๆ ที่บาดเจ็บ ถูกจำขัง ลงขื่อเท้า ขังในคุกชั้นใน แต่ทั้งสองสรรเสริญพระเจ้าเพราะเขาเชื่อและวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อมั่นในแผนงานอันดีเลิศของพระองค์ในชีวิตของเขาทั้งสอง

พระธรรมกิจการ 16:23-25 บันทึกไว้ว่า “ราวเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาสกำลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า และนักโทษคนอื่นๆ ฟังอยู่ ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ จนฐานรากของคุกสั่นคลอน ประตูคุกทุกบานเปิดออกทันที และโซ่ตรวนหลุดจากทุกคน พัศดีตื่นขึ้นมาเมื่อเห็นประตูคุกเปิด ก็ชักดาบออกมาจะฆ่าตัวตายเพราะคิดว่านักโทษหนีไปแล้ว แต่เปาโลตะโกนว่า “อย่าทำร้ายตนเอง! เราทุกคนอยู่ที่นี่” (อมตธรรม) และนี่คือการไว้วางใจในพระเจ้าของเปาโลและสิลาส ที่เขาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าท่ามกลางความมืดมิด ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไรคือแผนการขั้นต่อไปของพระเจ้า

ผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้คือ พัศดีและทุกคนในครัวเรือนของเขากลับใจและเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ “พัศดีเรียกให้จุดไฟแล้ววิ่งเข้ามาหมอบลงตัวสั่นต่อหน้าเปาโลกับสิลาส จากนั้นพาพวกเขาออกมาแล้วถามว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับความรอด?” คำตอบจากเปาโลคือ “จงเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านกับครัวเรือนของท่านจะได้รับความรอด” เปาโลกและสิลาสประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่พัศดีและแก่คนทั้งปวงที่อยู่ในบ้านของเขา” (ข้อ 29-31 อมตธรรม) พัศดีจัดการล้างรักษาบาดแผลของทั้งสอง ในคืนนั้นเองพัศดีพร้อมทุกคนในบ้านรับเชื่อพระเยซูคริสต์ และรับบัพติศมาทันที พวกเขาจัดอาหารเลี้ยงฉลองในบ้าน พัศดีและครอบครัวชื่นชมยินดีมากที่ได้เชื่อในพระเจ้า

ด้วยประสบการณ์จริงของเปาโลนี้เอง ท่านจึงบอกกับคริสเตียนว่า “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าของย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง ...อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟิลิปปี 4:4, 6-7 อมตธรรม)

“พี่น้องทั้งหลาย เมื่อใดที่ท่านเผชิญความทุกข์ยากนานาประการ จึงถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้นทำให้เกิดความอดทนบากบั่น จงอดทนบากบั่นให้ถึงที่สุด เพื่อท่านจะเติบโตเต็มที่และสมบูรณ์เพียบพร้อมไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย” (ยากอบ 1:1-3 อมตธรรม) การที่เราสรรเสริญพระเจ้าท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เรากำลังเผชิญหน้านั้น การสรรเสริญของเราเป็นพลังที่จะนำให้เราสามารถทะลุผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายเหล่านั้น และยิ่งกว่านั้นสิ่งที่เราได้คือ การทรงเสริมสร้างเราให้เข้มแข็งขึ้น เป็นคนใหม่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า “...เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะรู้ว่าความทุกข์ยากนั้นก่อให้เกิดความบากบั่น ความบากบั่นทำให้เกิดอุปนิสัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้การได้ และอุปนิสัยเช่นนั้นทำให้เรามีความหวัง และความหวังทำให้เราไม่ผิดหวัง...”(โรม 5:3-5)

ไม่ว่าเราจะต้องพบพานเผชิญหน้ากับความทุกข์แบบใดขนาดไหนก็ตาม เป็นการคุ้มค่าอย่างยิ่งที่เราจะสรรเสริญพระเจ้า เมื่อต้องตกในความทุกข์ยากลำบาก หรือ จมจ่อมในความเครียด เศร้าใจ ให้เราเลือกที่สรรเสริญพระเจ้า เลือกที่จะไว้วางใจในแผนงานของพระองค์ข้างหน้าที่มีสำหรับชีวิตของเราตามแผนการของพระองค์(แม้เราจะไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรในข้างหน้า) แล้วเราจะพบหน้าผู้คนในเหตุการณ์นั้นแปลกประหลาดใจ อย่างกับพัศดีที่ฟิลิปปี การถวายด้วยการสรรเสริญเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตคริสเตียน ในทุกสถานการณ์ชีวิตให้เราเลือกที่จะสรรเสริญพระเจ้า ไม่ว่าเราจะต้องได้รับบาดแผลและเจ็บปวด แล้วท่านจะประหลาดใจอย่างยิ่งว่า การสรรเสริญนำความชื่นชมยินดีเข้ามาในชีวิตของเรา

อย่าหลบลี้หลีกหนีความทุกข์ยากลำบากในชีวิต
แต่จงเผชิญหน้าเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยชีวิตที่สรรเสริญพระเจ้า
ท่านจะพบกับความชื่นชมยินดีที่คาดไม่ถึง
ยิ่งกว่านั้น ท่านจะได้รับการเสริมสร้างเพิ่มใหม่จากองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น