01 พฤษภาคม 2554

รอคอยพระเจ้า

สดุดี บทที่ 77 (อมตธรรม)

1ข้าพเจ้าร้องทูลให้พระเจ้าทรงช่วย
ข้าพเจ้าร้องทูลให้พระเจ้าทรงสดับฟัง
2ยามทุกข์ยาก ข้าพเจ้าแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยามค่ำคืนข้าพเจ้าชูมือไม่อ่อนล้า
จิตใจของข้าพเจ้าไม่ยอมรับการปลอบประโลม
3ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ระลึกถึงพระองค์ และร้องคร่ำครวญ
ข้าพระองค์ครุ่นคิดและจิตวิญญาณของข้าพระองค์อ่อนระโหยไป
4พระองค์ทรงทำให้ตาของข้าพระองค์ไม่อาจปิดลงได้
ข้าพระองค์ทนทุกข์จนพูดไม่ออก

7“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทอดทิ้งตลอดไปหรือ?
พระองค์จะไม่ทรงโปรดปรานอีกเลยหรือ?
8ความรักมั่นคงของพระองค์สูญสิ้นไปเป็นนิตย์แล้วหรือ?
พระสัญญาของพระองค์ล้มเลิกไปตลอดกาลหรือ?
9พระเจ้าทรงลืมที่จะเมตตากรุณาแล้วหรือ?
พระองค์ทรงระงับความสงสารเพราะพิโรธแล้วหรือ?”
10แล้วข้าพเจ้าก็คิดว่า “สิ่งนี้แหละที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บปวด
คือองค์ผู้สูงสุดไม่ทรงสำแดงฤทธานุภาพแห่งพระหัตถ์ขวาอีกแล้ว”
11ข้าพเจ้าจะระลึกถึงพระราชกิจทั้งปวงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าจะระลึกถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ในครั้งเก่าก่อน
12ข้าพเจ้าจะใคร่ครวญถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
และตรึกตรองพระราชกิจอันเกรียงไกรทั้งปวงของพระองค์

เป็นความรับผิดชอบของใคร
เมื่อจิตวิญญาณของตนแห้งผาก และ ฟุ้งกระจาย ?

ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ชีวิตคริสเตียนของเราต้องจาริกไปในทะเลทรายแห่งจิตวิญญาณ
ท่ามกลางความร้อนระอุ แห้งแล้ง เรารู้สึกว่าพระเจ้าเลือนรางจางหายห่างจากเรามากขึ้นทุกที
การอธิษฐาน การมีชีวิตส่วนตัวกับพระเจ้า
การอ่านพระวจนะของพระองค์ดูเหมือนว่าจะต้องใช้กำลังความพยายามมากมายเหลือเกิน

หลายคนที่ชีวิตมีแนวโน้มตกอยู่ในสภาวะชีวิตที่แห้งแล้ง
บางคนบ่นออกมาว่า
“ทำไมฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้ใกล้ชิดพระเจ้าอย่างที่ควรจะเป็น
ฉันใช้เวลาในการอธิษฐานไม่พอเพียง”
คำตอบของเขามีก็คือ
เขาต้องอธิษฐานมากกว่านี้
เขาต้องมีเวลาใกล้ชิดพระเจ้านานกว่านี้
เขาจะต้องอ่านพระคัมภีร์มากกว่านี้
เพราะสำหรับบางคนแล้ว
ความแห้งแล้งของชีวิตจิตวิญญาณอาจจะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเกียจคร้าน

แต่นั่นมิใช่เป็นสาเหตุของทุกคนหรือทุกกรณี
ทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราเสมอ
บางครั้งเราเกิดความรู้สึกว่า พระองค์ทรงซ่อนพระองค์จากเรา

เราพบว่ามีหนังสือมากมายที่เขียนเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่แห้งแล้งที่ฟุ้งกระจาย
และมักจะโยงใยไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการรู้จักพระเจ้า
นักเขียนในคริสต์ศตวรรษ 17 Michael Molinos ได้เขียนไว้ว่า

“ความแห้งแล้ง(ทางจิตวิญญาณ)เป็นเรื่องที่ดีและเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์
และในภาวะเช่นนั้นจะไม่ทำให้ท่านต้องหลุดลอยพ้นจากสายพระเนตรของพระเจ้า
อย่ามองว่าความแห้งแล้งนี้เป็นสิ่งที่น่ารำคาญ ว้าวุ่นใจ”

คำแนะนำมากมายจากคริสเตียนผู้ที่มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง
ตลอดประวัติศาสตร์ได้เป็นพยานว่า
ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่มีชีวิตที่มุ่งจาริกต่อไปข้างหน้า
อธิษฐานต่อไป ฟังพระเจ้าต่อไป อ่านพระวจนะของพระองค์ต่อไป
มุ่งหน้าเดินต่อไปอย่างต่อเนื่อง มั่นคง ไม่หยุดยั้ง
ไม่ว่าท่านจะรู้สึกว่ามีภาวะจิตใจจิตวิญญาณว้าวุ่น สับสน อย่างไรก็ตาม
ข่าวดีก็คือ ในที่สุด การสถิตอยู่กับเราของพระเจ้าก็จะกลับชัดเจนขึ้น
และด้วยการจาริกอย่างต่อเนื่อง มั่นคง ด้วยความสัตย์ซื่อ
เราจึงได้รู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้นตามที่เรากระหายหานั้น

ข้อคิดใคร่ครวญ

อย่ารีบด่วนสรุป หลายอย่างยังไม่ลงตัว และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ
พระเจ้ามองสิ่งเหล่านั้นช่างแตกต่างจากมุมองของเราเหลือเกิน
เราพบว่า บางครั้งพระเจ้าทรงใช้สถานการณ์ชีวิตที่แห้งแล้งฟุ้งกระจาย
เพื่อเสริมสร้างชีวิตจิตวิญญาณของเราขึ้นใหม่
ให้เจริญ เติบโตขึ้น และพร้อมที่จะเกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์
แล้วเราจะหลีกเลี่ยงหลบหนีจากสถานการณ์แห่งการเสริมสร้างของพระองค์หรือ?

บทเรียนล้ำค่าจากผู้เขียนสดุดีบทที่ 77 คือ...
เมื่อผู้เขียนสดุดีคร่ำครวญ มุ่งมองแต่ความทุกข์ยากของตนเอง
ทำให้ตัวเขายิ่งจมลึกลงในความเจ็บปวด และ สิ้นหวัง
ชีวิตพบแต่ความแห้งแล้ง ฉีกขาด จิตวิญญาณฟุ้งซ่านกระจาย

จากข้อ 2-12 ผู้เขียนมุ่งมองและมุ่งเน้นที่ตนเอง
แต่เมื่อเขาเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนจุดที่เขามุ่งเน้น
มามุ่งมองที่พระราชกิจอันทรงพระคุณของพระเจ้า

จากข้อ 13-20 ผู้เขียนมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในการมุ่งมองชีวิตของเขา
และเขาสรุปประสบการณ์ชีวิตของเขาไว้อย่างน่าฟังว่า

“พระมรรคาของพระองค์ผ่านทะเล
ทางของพระองค์ผ่านห้วงน้ำหลาก
แม้ไม่เห็นรอยพระบาทของพระองค์
พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ไปดั่งฝูงแกะ
โดยมือของโมเสสและอาโรน” (ข้อ 19-20)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น