29 พฤษภาคม 2554

พระเยซูมาเพื่อสร้างสันติหรือความแตกแยกกันแน่?

อ่านลูกา 12:49-59

ท่านทั้งหลายคิดว่าเรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ
เราบอกท่านว่า มิใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก
(ลูกา 12:51)

เมื่ออ่านพระคัมภีร์ลูกา 12:51 แล้วท่านมีความรู้สึกอย่างไร?
สำหรับส่วนตัวแล้วผมถามตนเองว่า พระคัมภีร์ตอนนี้บันทึกผิดหรือเปล่า?
จริงๆ แล้วหมอลูกาต้องการสื่อความหมายอะไรกันแน่?

อย่างน้อยที่สุด พระคัมภีร์ข้อนี้ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ข้ออื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้านี้ เช่น
ผู้เผยพระวจนะกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ว่าเป็น “องค์สันติราช” (อิสยาห์ 9:6)
เมื่อพระเยซูคริสต์มาบังเกิดที่เบธเลเฮม ทูตสวรรค์มาแจ้งข่าวดีแก่พวกเลี้ยงแกะว่า
14“พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด
ส่วนบนแผ่นดินโลก
สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง
ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น” (ลูกา 2:14)

เมื่อพระองค์สอนสาวกและประชาชนที่เนินเขา พระองค์สอนว่า
9“บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร”(มัทธิว 5:9)
สำหรับเปาโลก็สอนว่า “...จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” (อ่านโรม 12:9-18)

แต่ในพระธรรมที่เราอ่านในตอนนี้พระเยซูคริสต์ตรัสว่า...
“ท่านทั้งหลายคิดว่าเรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ
เราบอกท่านว่า มิใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก” (ลูกา 12:51)

ในที่นี้พระเยซูพูดความจริง และต้องการให้ผู้ฟังได้ยินและเข้าใจอย่างถูกต้องชัดเจน
เราต้องเข้าใจก่อนว่า เป้าประสงค์ใหญ่สุดในการเสด็จมาทำพระราชกิจของพระองค์คือ
“ขอให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่...
ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า...
ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นเช่นนั้นในแผ่นดินโลก” (มัทธิว 6:10)
นี่คือภาพชีวิตและสังคมที่มีสันติสุขในพระเจ้า

ดังนั้น การเสด็จมาทำพระราชกิจของพระเยซูคริสต์จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เปลี่ยนแปลงจากการเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางของชีวิตโลก ให้เป็นพระเจ้าทรงเป็นแก่นหลักในชีวิต
เปลี่ยนจากการเอาความต้องการ ตามใจปรารถนาของตนเองเป็นตัวตั้ง ให้พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นเป้าหมาย
เปลี่ยนจากสภาพแวดล้อมชีวิตแบบโลกนี้ สู่สภาพชีวิตแวดล้อมใหม่ของพระเจ้า
นี่คือพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่นำการเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมในโลกนี้ไปสู่ชีวิตที่มีสันติสุขในพระเจ้า

ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นข่าวดีที่พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงโลกให้มีชีวิตใหม่
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ มิใช่การเปลี่ยนแปลงเพียงสภาพแวดล้อมภายนอกเท่านั้น
แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากภายในชีวิตจิตใจ และ จิตวิญญาณของมนุษย์ก่อน
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของคนย่อมก่อเกิดความแตกต่างไปจากคนที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ความแตกต่างดังกล่าวนำสู่การต้องตัดสินใจเลือก
การตัดสินใจเลือกที่แตกต่างกันนำสู่ความขัดแย้ง นำสู่ความแปลกแยก

ชีวิตและสังคมที่เปลี่ยนแปลงตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
ไม่สามารถจะประนีประนอมความถูกต้องกับความชั่วร้าย
ไม่สามารถประสานประโยชน์ของกันและกัน
ไม่สามารถออมชอมกันได้

เพราะชีวิตที่เปลี่ยนแปลงตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นชีวิตที่ต้องเลือก...
ต้องเลือกที่จะรักและเสียสละ แทนผลประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว และพรรคพวก
ต้องเลือกที่ให้เกิดความถูกต้อง ยุติธรรม ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
แทนตามความต้องการแห่งตนและการเอาใจมนุษย์คนอื่น
ต้องเลือกที่จะให้ชีวิต แทนการทำร้ายทำลายชีวิต

แต่ในที่นี้ต้องเข้าใจชัดเจนว่า การเป็นสาวกของพระคริสต์มิใช่เป็นนักสร้างความขัดแย้งบาดหมาง
พระคริสต์มีความประสงค์ให้เรามีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับคนทั้งหลาย
พระคริสต์ต้องการให้เราเป็นผู้สร้างสันติ อย่างที่เปาโลกล่าวว่า “ถ้าเป็นได้... จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน”

แต่มิใช่สร้างสันติที่ซุกเอาความชั่วร้าย อยุติธรรม ไว้ใต้พรม
การสร้างสันติที่ยุติธรรมและเสริมหนุนชีวิตแบบพระคริสต์ บ่อยครั้งนำมาซึ่งความขัดแย้ง การไม่ยอมรับ
แต่สาวกของพระคริสต์จำเป็นต้องยืนหยัดการเสริมสร้างสันติภาพบนพระกิตติคุณ
เรามั่นใจว่า ในที่สุดเป้าหมายปลายทางที่จะเกิดขึ้นคือ
รัก สันติ ยุติธรรม ชอบธรรม ตามพระประสงค์จะเกิดขึ้น

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ
1. ท่านเคยมีประสบการณ์ที่ความสัมพันธ์ต้องฉีกขาด ห่างเหิน เพราะการที่ยืนหยัดตามพระกิตติคุณหรือไม่?
2. เราจะเป็น “ผู้สร้างสันติ” ได้อย่างไร ในสภาพการณ์ปัจจุบันที่ระบบคุณค่าแห่งแผ่นดินของพระเจ้าที่ก่อเกิดความขัดแย้งกับกระแสคุณค่าของสังคมในโลกนี้?
3. เราจะแสวงหาในการเป็นผู้สร้างสันติในความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้อย่างไรในปัจจุบัน?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น