09 มิถุนายน 2554

การอธิษฐาน...คือการรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า

1ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์จากที่ลึก
2ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงฟังเสียงของข้าพระองค์
ขอทรงเงี่ยพระโสต ฟังเสียงคำวิงวอนของข้าพระองค์
3ข้าแต่พระเจ้า ถ้าพระองค์จะทรงหมาย(ทรงบันทึก)ความบาปผิดไว้
องค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าข้า ผู้ใดจะยืนอยู่ได้
4แต่พระองค์มีการอภัย เพื่อเขาจะยำเกรงพระองค์
5ข้าพเจ้าคอยพระเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าคอยอยู่
และข้าพเจ้าหวังในพระวจนะของพระองค์
6จิตใจของข้าพเจ้าคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
7อิสราเอลเอ๋ย จงหวังใจในพระเจ้า
เพราะในพระเจ้ามีความรักมั่นคง
และในพระองค์มีการไถ่อย่างสมบูรณ์
8และพระองค์จะทรงไถ่อิสราเอล
จากความบาปผิดทั้งสิ้นของเขา
สดุดี 130

ความคิดหงุดหงิดหรือความกระสับกระส่ายอะไรที่ครอบงำความนึกคิดของเราในตอนนี้?
เราจะมอบสิ่งเหล่านี้ให้พระเจ้าทรงจัดการได้อย่างไร?

เราเอาหลายเรื่องหลายราวสุมใส่ลงในความนึกคิดของเรา
แต่เรากลับไม่มีเวลาที่จะใส่ใจฟังพระเจ้า

พระเจ้ามิได้ตรัสกับเราเมื่อเราเริ่มงานใดงานหนึ่งและเมื่องานนั้นจบสิ้นลงเท่านั้น
แต่พระเจ้าตรัสกับเราตลอดเวลา

บางครั้งพระองค์อาจประสงค์ให้เราเปลี่ยนแนวทางที่เรากำลังดำเนินอยู่ก็ได้
แต่ในที่นี้มิได้หมายความว่าให้เรานั่งเฉยๆ “รอ” ว่าพระเจ้าจะตรัสอะไร

ในบางครั้งพระเจ้าอาจจะตรัสกับเราโดยตรง
แต่ในอีกหลายครั้งเช่นกันที่พระองค์ตรัสผ่านคนรอบข้างของเรา
เราต้องฟังคนเหล่านั้น ยื่นมือของเราออกและให้คนเหล่านั้นนำเรา

สิ่งแรกสุดของการอธิษฐานคือการที่เราต้องฟังพระเจ้า
เป็นการเปิดชีวิตของเราออกแด่พระเจ้า
แล้วพระองค์จะทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเรา
การอธิษฐานคือการที่เราเข้าถึงการทรงกระทำพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเรา
ดังนั้น จงให้ชีวิตของเรามีพื้นที่สำหรับพระองค์จะทรงกระทำพระราชกิจ

การอธิษฐานเป็นเหมือนการที่เราเปิดประตูออกสู่โลกกว้างที่เรายังไม่เคยไปและพบเห็น
การอธิษฐานคือการที่ออกไปดูว่าสิ่งที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นแท้จริงแล้วมีสภาพเช่นไร
พื้นฐานความจริงของการอธิษฐานคือ การเข้าถึงมุมมองของคำกล่าวที่ว่า
“โอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์กำลังตรัสอะไรกับข้าพระองค์?”

การอธิษฐานที่เปี่ยมล้นด้วยจิตใจแต่ไร้คำพูดก็ดีกว่าการอธิษฐานที่ไร้จิตใจแต่พร่ำพูดไม่หยุดไม่สิ้น
จอห์น บันยัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น