เจ็ดปัจฉิมวาทะของพระคริสต์บนกางเขน
พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า
“พระบิดา ข้าพระองค์ขอมอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
(ลูกา 23:46 อมต.)
ปัจฉิมวาทะที่เจ็ด
คือ
“ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
เมื่อพระเยซูประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” พระองค์ประกาศว่า พระประสงค์ของพระบิดาสำเร็จในชีวิตของพระองค์แล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของพระองค์
พระองค์ทรงวางใจในพระบิดา พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าพระองค์ “ขอมอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
พระเยซูทรงร้องเสียงดังคำกล่าวนี้
จากพระธรรมสดุดีบทที่ 31 (อมต.) โดยเฉพาะในข้อที่ 5
ในการที่เรามอบกายถวายชีวิตให้ชีวิตดำเนินไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้น มิได้บอกว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ได้ประกันว่าเราจะไม่พบเจอกับความทุกข์ยากลำบาก มิได้ตอกย้ำว่าเราจะไม่ถูกข่มเหง และได้รับความอยุติธรรม
แต่จากประสบการณ์ชีวิตของผู้ประพันธ์สดุดี 31 ยืนยันว่า ไม่ว่าจะมีโพยภัยใดๆ จะเล็กหรือใหญ่หลวง ความชอบธรรมของพระเจ้าจะทรงช่วยกู้เราจากอำนาจเหล่านั้น
(ข้อ 1) ดังนั้น
ในการดำเนินชีวิตของตนตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจึงจำเป็นที่จะต้องมอบจิตวิญญาณของตนไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
(ข้อ 5)
เพราะเมื่อชีวิตของท่านตกอยู่ในภาวะคับขัน ท่านจะได้เห็นความรักอันอัศจรรย์ของพระเจ้า
(ข้อ 21)
บนกางเขนของพระเยซูคริสต์ได้สำแดงถึงพระราชกิจที่กระทำตามพระประสงค์ของพระบิดา
เป็นพระราชกิจแห่งการให้อภัยโทษด้วยความรักเมตตา เสียสละ ที่ไร้เงื่อนไข ที่สำแดงออกชัดเจนออกมาเป็นรูปธรรม
แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นอาชญากรก็มีโอกาสจะรับเอาการอภัยโทษนั้นได้ แต่ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังทรงสัญญากับคนบาปว่า จะได้อยู่กับพระองค์ในที่ที่พระองค์อยู่
บนกางเขนนั้นเราเห็นถึงการเอื้ออาทรเอาใจใส่ดูแลกันและกันตามพระบัญชาของพระองค์
แต่การกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าบ่อยครั้งที่กลับถูกตีตราว่ากระทำผิดบาป ทั้งนี้เพราะการกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าดังกล่าวเป็นการขัดต่อพระบัญญัติที่คนทั่วไปตีความตามกระแสนิยมและตามระบบคุณค่าของสังคมในสมัยนั้นๆ แม้จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
แต่ก็ถูกกล่าวโทษกล่าวร้ายจากผู้คนในสังคม
ถูกกีดกันทำร้ายเพราะถูกมองว่าเป็นภัยต่อองค์กรพระศาสนา และบ่อยครั้งถูกเฉดหัวให้ออกไปจากสังคมนั้น
ดังนั้น
การที่จะยืนหยัดการกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับพระกำลัง ได้รับความอดทนจากพระเจ้า ผู้ที่จะกระทำเช่นนั้นได้ต้องเป็นผู้ที่กระหายหาพระกำลังจากเบื้องบน กระหายหาที่จะเห็น “พระพักตร์พระเจ้า” การชูช่วยจากพระองค์ จนกระทั่งที่จะถึงจุดที่จะร้องเสียงดังว่า
“สำเร็จแล้ว”
พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในชีวิตนี้แล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะไม่หวั่นไหว
เพราะพระเยซูคริสต์ได้มอบจิตวิญญาณของพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระบิดาต่อจากนี้ไปคือโอกาสที่จะได้เห็นถึงความรักอันอัศจรรย์ของพระบิดา
พระราชกิจของพระเยซูคริสต์บนกางเขนที่สำแดงเด่นชัดแก่คริสตชนทุกคน พระองค์ทรงส่งผ่านให้เราคริสตชนดำเนินชีวิตตามแบบอย่างชีวิตจากกางเขนของพระองค์
เปาโลกล่าวว่า
“...ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้วข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้
ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า
และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:19-20 มตฐ.)
ชีวิตของเราท่านถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้วหรือยัง?
และเรามั่นใจที่จะวางทั้งชีวิตในพระหัตถ์ของพระเจ้าหรือไม่?
ท่านได้สัมผัสความรักเมตตาที่เสียสละของพระเยซูคริสต์เพื่อท่านแล้วหรือยัง?
ในวันนี้ไม่ว่าชีวิตของเราเผชิญกับสถานการณ์เช่นใด ให้เราตระหนักรู้ว่า
ถ้าเราต้องการที่จะมีชีวิตที่ดำเนินตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราต้องมอบจิตวิญญาณไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499