09 เมษายน 2557

ทำไมเราถึงต้องทำงาน?

คน​ที่​เคย​ขโมย​ก็​อย่า​ขโมย​อีก​ต่อ​ไป แต่​จง​ใช้​มือของ​ตน ​ตรากตรำ​ทำ​งาน​ที่​ดี​ดี​กว่า
เพื่อ​จะ​ได้​มี​อะไร​แจก​จ่าย​ให้​คน​ที่​มี​ความ​จำ​เป็น  (เอเฟซัส 4:28)

สำหรับคริสตชนแล้วเรามองว่า   การทำงานต่างๆ นั้นเป็นการทรงเรียกจากพระเจ้าให้เราทำ   ดังนั้นการทำงานใดๆ จึงเป็นการตอบสนองต่อพระประสงค์ของพระเจ้า   ที่สำคัญคือ การทำงานของเราเพื่อที่จะให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เมื่อเราพูดถึงเรื่อง “การทำงาน”   เรามิได้หมายความเพียงการทำงานเพื่อให้ได้เงินค่าจ้างเท่านั้น   การที่คุณแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ทารกน้อยก็เป็นการทำงาน   การตัดหญ้าสนามหน้าบ้านก็เป็นการทำงาน   การอ่านและศึกษาพระวจนะของพระเจ้าก็เป็นการทำงาน   การอาสารับใช้ในบ้านเด็กกำพร้า  ในบ้านพักคนชราต่างก็เป็นการทำงาน   แม้แต่การเขียนบทความก็เป็นการทำงาน   และอีกมากมายที่เป็นการทำงาน (แม้จะได้เงิน  หรือไม่ได้ค่าจ้างก็ตาม)

พระธรรมเอเฟซัส 4:28 ช่วยให้เรามีโอกาสที่จะใคร่ครวญและสะท้อนคิดถึงการทำงานในชีวิตของเรา   แต่สิ่งแรกที่มักเกิดขึ้นกับคริสตชนเมื่ออ่านพระคัมภีร์ข้อนี้มักคิดหรือมองข้ามพระธรรมข้อนี้   เพราะคิดว่าพระธรรมข้อนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง   เพราะพระคัมภีร์ข้อนี้กล่าวถึงเรื่องการขโมยและตนเองไม่ได้ขโมย  “คน​ที่​เคย​ขโมย​ก็​อย่า​ขโมย​อีก​ต่อ​ไป แต่​จง​ใช้​มือของ​ตน ​ตราก​ตรำ​ทำ​งาน​ที่​ดี​ดี​กว่า เพื่อ​จะ​ได้​มี​อะไร​แจก​จ่าย​ให้​คน​ที่​มี​ความ​จำ​เป็น”   ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระคัมภีร์บอกว่าคนที่ขโมยก็ให้เลิกขโมย   เพราะมีข้อห้ามชัดเจนในพระบัญญัติสิบประการที่ข้อที่ 8 (อพยพ 20:15)   เปาโล เรียกร้องและชักชวนให้คนที่ขโมยให้เลิกเสียแต่ให้เริ่มต้นทำงานแทน   แต่เมื่อเปาโลกล่าวในพระธรรมตอนนี้แท้จริงกำลังกล่าวกับเราคริสตชนทุกคนให้ทำงาน   ไม่ว่าเราจะเคยขโมยหรือไม่ก็ตาม

1. การทำงานเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า

ถ้าพิจารณาถึงพระประสงค์แห่งการทรงสร้างของพระเจ้า   พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้มนุษย์ทำงานในพื้นที่แห่งการทรงสร้างของพระองค์   พระองค์ให้มนุษย์ทำงานเพื่อสืบสานการทรงสร้างต่อจากพระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระองค์,   พระเจ้ามอบหมายให้มนุษย์เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง,   พระองค์ให้มนุษย์ทำงานในสวนและรับประโยชน์ในการดำรงชีวิตจากผลงานที่ทำนั้น,   และให้มนุษย์ทำงานเพื่อเอื้อให้เกิดการสรรสร้าง และ ให้คุณประโยชน์แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง  และ  มนุษย์คนอื่นๆ ที่พระองค์ทรงสร้างด้วย (ดูปฐมกาล บทที่ 2)   และพระเยซูตรัสว่า พระ​บิดา​ของ​เรา​ยัง​ทรง​ทำงาน​อยู่​เรื่อยๆ และ​เรา​ก็​ทำ​ด้วย” (ยอห์น 5:17)

2. แล้วทำไมถึงทำงานหนัก?

ในเอเฟซัส 4:28 ใช้คำว่า “ตรากตรำทำงาน”   หมายความว่า มิใช่การทำงานแบบเรื่อยเฉื่อย  หรือแบบเช้าชามเย็นชาม  ทำงานเพื่อรอรับเงินเดือน   แต่เป็นการทำงานที่ทุ่มเทจริงจังเป็นการทำงานหนัก  เปาโลบอกคริสตชนทุกคนว่าเมื่อทำงานต้องทำงานหนัก “ทำงานตรากตรำ”   ในพระคัมภีร์ฉบับอมตธรรมแปลว่า “จงทำงาน  ใช้มือของตนทำสิ่งที่มีประโยชน์...”   ตามรากศัพท์ของพระคัมภีร์ภาษากรีกมีความหมายว่า “ต้องทำงาน หรือ จงทำงาน” ที่เป็นประโยชน์ด้วยมือของตนเอง”   และยังหมายความว่า มิเพียงแต่เป็นการทำงานที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น  แต่ทำงานอย่างหนักอย่างตรากตรำ  ทำงานอย่างทุ่มเท   เพราะในภาษากรีก คำว่า kopiao มีความหมายรวมความถึง จนเหนื่อยอ่อน  ทำงานอย่างออกแรงทุ่มเท  ทำงานอย่างหนัก  ทำงานอย่างตรากตรำฟันฝ่า   เปาโลได้ใช้คำ kopiao เมื่อท่านกล่าวถึงงานที่ท่านทำ  ท่านกล่าวว่า “...ข้าพ​เจ้า​ตราก​ตรำ​มาก​กว่า​พวก​เขา​ทั้ง​หมด ไม่​ใช่​ตัว​ข้าพ​เจ้า​เอง​เป็น​คน​ทำ แต่​เป็น​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า​ซึ่ง​อยู่​กับ​ข้าพ​เจ้า​ที่​ทำ” (1โครินธ์ 15:10)  “จง​ยึด​มั่น​ใน​พระ​วจนะ​แห่ง​ชีวิต เพื่อ​ข้าพ​เจ้า​จะ​มี​ความ​ภูมิใจ​ใน​วัน​ของ​พระ​คริสต์​ว่า​ข้าพ​เจ้า​ไม่​ได้​วิ่ง​แข่ง​โดย​เปล่า​ประ​โยชน์ หรือ​ตราก​ตรำ​โดย​เปล่า​ประ​โยชน์” (ฟีลิปปี 2:16)   ไม่ว่าจะเป็นการทำงานงานเพื่อมีรายได้  หรือ  การทำงานรับใช้พระเจ้าในคริสตจักร หรือ ในชุมชนแท้จริงแล้วต่างเป็นงานที่หนัก   ต้องใช้ความมานะอุตสาหะ  อดทน  ทุ่มเทจริงจังทั้งสิ้น   เป็นงานที่เราทำจนเหนื่อยอ่อน   ทั้งในด้านร่างกาย  สมอง  จิตใจ  และจิตวิญญาณที่เราทุ่มเทลงไป

การทำงานเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  และเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราสืบสานต่อจากพระราชกิจของพระองค์   และพระองค์คาดหวังว่าเมื่อเราทำงานเราจะทำงานด้วยเต็มอกเต็มใจ   เต็มศักยภาพความสามารถที่พระเจ้าทรงประทานแก่เรา   เพื่อที่การทำงานของเราเกิดผลเป็นประโยชน์ที่มิใช่แก่ตนเองเท่านั้นแต่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น สังคมชุมชน  และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างด้วย

3. การตรากตรำทำงานหนักมิใช่การสาปแช่ง

เป็นความจริงตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเมื่ออำนาจแห่งความบาปผิดเข้ามาครอบงำในสังคมชุมชนแห่งโลกนี้   ทำให้มนุษย์ต้องทำงานด้วยความทุกข์ยากลำบากและด้วยความเจ็บปวด   แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า   การตรากตรำทำงานหนักเป็นผลของความบาปผิดเสมอไป   มิได้หมายความว่าเราไม่ควรทำงานหนัก หรือปฏิเสธการทำงานหนัก   แต่การทำงานหนักคือการที่เราทุ่มเทเต็มกำลังความคิด จิตใจ และกำลังในงานที่เราทำด้วยความรับผิดชอบที่จะตอบสนองต่อพระประสงค์และสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราในชีวิตนี้   เพื่อให้เกิดผลและเกิดประโยชน์แก่มวลมนุษย์และสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง

4. ตรากตรำทำงานหนักเพื่อนมัสการและถวายเกียรติแด่พระเจ้า

ยิ่งกว่านั้น เปาโลกล่าวถึงการ “ตรากตรำทำงานหนัก”  ก็เพื่อที่เราจะได้ “สวมตัวตนใหม่  ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นให้เป็นเหมือนพระองค์...”(เอเฟซัส 4:24 อมต.)   ที่พระเจ้าทรงสร้างเราในพระเยซูคริสต์ “เพื่อทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ” (เอเฟซัส 2:10 อมต.)   และการตรากตรำทำงานหนักของเรานั้นมิใช่เพื่อเราจะประสบความสำเร็จในตัวเราเองเท่านั้น   แต่เป็นการที่เราถวายตัวและการงานที่เราทำแด่พระเจ้า   เป็นที่นมัสการ  ถวายบูชาที่พอพระทัยของพระเจ้า   เพื่อเราจะทำงานชีวิตทั้งสิ้นตามพระประสงค์ และ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า (โรม 12:1-2)

วันนี้ให้เราตรากตรำทำงานหนักเพื่อเป็นการถวายเกียรติ และ เป็นการนมัสการแด่พระเจ้า   เพื่อเป็นการตอบสนองพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา   ด้วยชีวิตจิตใจที่รักพระองค์ด้วยสุดจิสุดใจ  และสิ้นสุดความคิด   และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น