23 เมษายน 2557

วาทะจากกางเขน...ทำไมพระองค์ทอดทิ้งข้าพระองค์

เจ็ดปัจฉิมวาทะของพระคริสต์บนกางเขน

พอ​ถึง​บ่าย​สาม​โมง
พระ​เยซู​ก็​ทรง​ร้อง​เสียง​ดัง​ว่า  เอโลอี เอโลอี ลามา สะบัก​ธานี” 
แปลว่า  พระเจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์ พระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์
ทำ​ไม​พระ​องค์​ทรง​ทอด​ทิ้ง​ข้า​พระ​องค์?”
(มาระโก 15:34 มตฐ.)

ปัจฉิมวาทะจากกางเขนที่สี่คือ “พระเจ้าของข้าพระองค์...ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?”
พระเยซูร้องเสียงดัง  จากเนื้อหาของสดุดี 22:1-2  ว่า
 พระ​เจ้า​ข้า พระ​เจ้า​ข้า  ไฉน​ทรง​ทอด​ทิ้ง​ข้า​พระ​องค์​เสีย?...
 (สดุดี 22:1 มตฐ.)

วิถีแห่งกางเขนเป็นเส้นทางชีวิตที่สวนต้านกระแสนิยมแห่งโลกนี้   ชีวิตของคนในโลกนี้ไม่ต้องการมีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก   ไม่ต้องการมีชีวิตที่ต้องเจ็บปวด   ไม่ต้องการมีชีวิตที่มีความเครียด   และมนุษย์หลายต่อหลายคนไม่ต้องการพบกับความตาย

บนกางเขนของพระเยซูคริสต์ได้สะท้อนสัจจะความจริงถึงพันธกิจแห่งการรับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าบนวิถีแห่งกางเขนนี้คือ   ความทุกข์ยากลำบาก   ความเจ็บปวด   ความสิ้นหวัง  ความเครียดสุดๆ ในชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า   เมื่อใครที่มอบกายถวายชีวิตจิตวิญญาณของตนให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์   การได้รับความทุกข์  ก็เป็นการทนทุกข์ด้วยความเต็มใจ   จึงเป็นคุณลักษณะหนึ่งของชีวิตที่มอบถวายให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ทำให้เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์อธิษฐานต่อพระบิดาที่สวนเก็ธเสมนี    ในขณะที่พระองค์ขอให้สาวกของพระองค์เฝ้าอธิษฐานในเวลาวิกฤติแห่งชีวิต   แต่สาวกคนสนิทกลับหลับใหลไม่ได้สติ   ในคืนนั้นจิตใจของพระองค์ว้าวุ่นหาความสงบไม่ได้   ตอนหนึ่งในคำอธิษฐาน พระองค์ทูลขอต่อพระบิดาว่า  “...ข้า​แต่​พระ​บิดา ถ้า​พระ​องค์​พอ​พระ​ทัย ขอ​ให้​ถ้วย​นี้​เลื่อน​พ้น​ไป​จาก​ข้า​พระ​องค์...” (ลูกา 22:42 มตฐ.)   ลูกาได้บรรยายถึงสภาพชีวิต อารมณ์ ความรู้สึกของพระเยซูในเวลาวิกฤตินั้นอย่างชัดเจนว่า  “เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​เป็น​ทุกข์ พระ​องค์​ก็​ยิ่ง​ทรง​อธิษ​ฐาน​อย่าง​จริง​จัง  เหงื่อ​ของ​พระ​องค์​เป็น​เหมือน​โล​หิต​เม็ด​ใหญ่​ไหล​หยด​ลง​ถึง​ดิน” (ข้อ 44)   พระเยซูทรงทุกข์และหมดแรงขนาดไหน?  ขนาดที่ลูกาเขียนว่า   “มี​ทูต​องค์​หนึ่ง​จาก​ฟ้า​สวรรค์​มา​ปรา​กฏ​ต่อ​พระ​องค์​และ​ช่วย​ชู​กำ​ลัง​พระ​องค์” (ข้อ 43)

ในเวลาเดียวกันหมอลูกาได้บันทึกไว้ด้วยเช่นกันว่า   ทำไมพวกสาวกคนสนิทของพระเยซูถึงหลับใหลไม่ได้สติ   ท่านเขียนไว้ว่า  “...​พวก​เขา​หลับ​ไป​ด้วย​ความ​ทุกข์​โศก​เศร้า” (ข้อ 45)  

พวกเขาคงรู้สึกผิดหวัง   คนที่เขาคิดว่าเป็นพระมาซีฮาที่จะมาช่วยกอบกู้เอกราชของพวกเขาตอนนี้กำลังถูกต่อต้านอย่างหนักทั้งจากผู้นำของศาสนายิว   นักการเมืองยิวที่ขายตัวเป็นสมุนรับใช้เผด็จการโรมัน   อีกทั้งพวกฟาริสีที่ประนามหยามเหยียดว่า พระเยซูเป็นคนบาป   กินอยู่กับคนบาป  คบหาสมาคมกับหญิงชั่ว   เข้าไปในบ้านของพวกเก็บภาษีที่กดขี่รีดภาษีจากคนยิวด้วยกัน   อีกทั้งยังไปพูดคุยกับหญิงสะมาเรียคนเลือดผสมไม่บริสุทธิ์

พวกเขาอุตส่าห์ ละทิ้งหน้าที่การงานอาชีพ   ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการติดตามพระเยซูไปที่ต่างๆ ในเวลาสามปีที่ผ่าน   และในที่สุดจะต้องมาจบลงด้วยการจนมุมเช่นนี้หรือ?   ไม่เห็นว่าพระเยซูจะมีกองกำลังที่จะมาสู้กับพวกทหารโรมัน   พวกกบฏใต้ดินกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาติดต่อให้พระองค์ไปเป็นผู้นำกองกำลัง   แต่พระองค์กลับปฏิเสธ   ในที่สุดคนที่เขาคิดว่าเป็นพระมาซีฮาก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย!

จึงไม่น่าแปลกใจว่า   ทำไมสาวกทิ้งพระเยซูไปอย่างไม่เห็นฝุ่น   เปโตรที่กล่าวแข็งขันมั่นเหมาะว่าพร้อมตายกับพระคริสต์  ก็ปฏิเสธการเป็นสาวกของพระองค์  และยังบอกว่าไม่เคยคบหารู้จักกับพระองค์   นอกนั้นหายหัวไปไหนหมดไม่รู้   มีเพียงสาวกคนที่พระองค์ทรงรักเท่านั้น   ที่ไปยืนอยู่ห่างๆ ใต้กางเขนร่วมกับกลุ่มผู้หญิงที่ติดตามพระองค์   มารีย์มารดาและน้าสาวของพระเยซู   มารีย์มักดาลา   มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส  

เราท่านคงไม่ปฏิเสธว่า   พระเยซูทรงทุกข์อกทุกข์ใจ  สุดแสนเจ็บปวดร่างกายจากการถูกตรึง  บาดแผลครั้งนี้บาดลึกลงถึงจิตวิญญาณ   ถึงขนาดที่ร้องด้วยเสียงดังว่า   “พระเจ้าของข้าพระองค์...ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์”  

ในการรับใช้พระเจ้าของพระเยซูคริสต์   พระองค์ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตกาลในชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า   และเมื่อถึงครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต   พระองค์ปรึกษากับพระเจ้าว่า   จะไม่รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสนี้ได้ไหม?   แต่พระองค์ตามด้วยวาทะทองของพระองค์  “...แต่​อย่าง​ไร​ก็​ดี อย่า​ให้​เป็น​ไป​ตาม​ใจ​ข้า​พระ​องค์ แต่​ให้​เป็น​ไป​ตาม​พระ​ทัย​ของ​พระ​องค์ (ลูกา 22:42 มตฐ.)  

ใช่แล้วครับ   การที่ใครคนใดคนหนึ่งมอบกายถวายชีวิตแด่พระเจ้า   เขาคนนั้นมิใช่ทำตามใจตนเอง   แต่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า   และการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นรวมถึงชีวิตที่ทุกข์ทนยากลำบาก   ว้าเหว่  โดดเดี่ยว  ถูกทอดทิ้งแม้แต่จากคนสนิท  และจะต้องมอบชีวิตให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วย

อิสยาห์กล่าวถึงผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ไว้ว่า 
“ท่าน​ถูก​ดู​หมิ่น​และ​ถูก​ทอด​ทิ้ง
เป็น​คน​ที่​รับ​ความ​เจ็บ​ปวด และ​คุ้น​เคย​กับ​ความ​ทุกข์​ยาก
และ​เป็น​ดั่ง​ผู้​ซึ่ง​คน​ทั้ง​หลาย​หัน​หน้า​หนี
ท่าน​ถูก​ดู​หมิ่น และ​เรา​ไม่​ได้​นับ​ถือ​ท่าน...”
(อิสยาห์ 53:3…มตฐ.)

ความเครียด  ความทุกข์ยากลำบาก  เป็นขั้นตอนหนึ่งที่นำไปสู่การพลิกฟื้นชีวิตใหม่  ความหวังใหม่  ความสำเร็จ   เหมือนกับการที่จะได้ทารกแม่ต้องตั้งครรภ์   บางคนต้องแพ้ท้อง   เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในตัวของแม่   และเมื่อถึงเวลาคลอดบุตร  ต้องทนเจ็บ  แล้วเบ่งลูกออกด้วยสุดแรงเกิด   แต่เมื่อได้อุ้มทารกน้อยชีวิตใหม่ในอ้อมอก   ความเจ็บปวดเหล่านั้นกลับอันตรธานหายไป   มีแต่ความปีติชื่นชนและความสุข

ชีวิตบนวิถีทางแห่งสาวกของพระคริสต์เราหลีกหนีไม่พ้นที่ต้องได้รับความ เครียด  ปวดร้าวในชีวิต  ทุกข์ทนอย่างไม่เป็นธรรม   บนเส้นทางนั้นแม้เราจะรู้สึกว่าพระเจ้าช่างอยู่ห่างไกลจากเราเหลือเกิน   แต่ในความเป็นจริงพระองค์ทรงอยู่เคียงข้าง   และทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในวิกฤติชีวิตของเรา

ถ้าไม่มีกางเขนที่ภูเขากะโหลกศีรษะ  ก็จะไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย
ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์   ก็ไม่มีความเชื่อแบบคริสตชน
ถ้าไม่มีความเชื่อแบบคริสตชน  ก็ไม่มีชุมชนคริสตจักร

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น