เจ็ดปัจฉิมวาทะของพระคริสต์บนกางเขน
พอถึงบ่ายสามโมง
พระเยซูก็ทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี”
แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์
พระเจ้าของข้าพระองค์
ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?”
(มาระโก 15:34 มตฐ.)
ปัจฉิมวาทะจากกางเขนที่สี่คือ
“พระเจ้าของข้าพระองค์...ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?”
พระเยซูร้องเสียงดัง จากเนื้อหาของสดุดี 22:1-2 ว่า
พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?...
(สดุดี 22:1 มตฐ.)
วิถีแห่งกางเขนเป็นเส้นทางชีวิตที่สวนต้านกระแสนิยมแห่งโลกนี้
ชีวิตของคนในโลกนี้ไม่ต้องการมีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก ไม่ต้องการมีชีวิตที่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องการมีชีวิตที่มีความเครียด และมนุษย์หลายต่อหลายคนไม่ต้องการพบกับความตาย
บนกางเขนของพระเยซูคริสต์ได้สะท้อนสัจจะความจริงถึงพันธกิจแห่งการรับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าบนวิถีแห่งกางเขนนี้คือ ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวด
ความสิ้นหวัง ความเครียดสุดๆ ในชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า เมื่อใครที่มอบกายถวายชีวิตจิตวิญญาณของตนให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ การได้รับความทุกข์ ก็เป็นการทนทุกข์ด้วยความเต็มใจ จึงเป็นคุณลักษณะหนึ่งของชีวิตที่มอบถวายให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ทำให้เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์อธิษฐานต่อพระบิดาที่สวนเก็ธเสมนี
ในขณะที่พระองค์ขอให้สาวกของพระองค์เฝ้าอธิษฐานในเวลาวิกฤติแห่งชีวิต แต่สาวกคนสนิทกลับหลับใหลไม่ได้สติ
ในคืนนั้นจิตใจของพระองค์ว้าวุ่นหาความสงบไม่ได้ ตอนหนึ่งในคำอธิษฐาน
พระองค์ทูลขอต่อพระบิดาว่า “...ข้าแต่พระบิดา
ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์...”
(ลูกา 22:42 มตฐ.)
ลูกาได้บรรยายถึงสภาพชีวิต อารมณ์ ความรู้สึกของพระเยซูในเวลาวิกฤตินั้นอย่างชัดเจนว่า “เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์
พระองค์ก็ยิ่งทรงอธิษฐานอย่างจริงจัง เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลหยดลงถึงดิน”
(ข้อ 44)
พระเยซูทรงทุกข์และหมดแรงขนาดไหน?
ขนาดที่ลูกาเขียนว่า “มีทูตองค์หนึ่งจากฟ้าสวรรค์มาปรากฏต่อพระองค์และช่วยชูกำลังพระองค์”
(ข้อ 43)
ในเวลาเดียวกันหมอลูกาได้บันทึกไว้ด้วยเช่นกันว่า ทำไมพวกสาวกคนสนิทของพระเยซูถึงหลับใหลไม่ได้สติ ท่านเขียนไว้ว่า “...พวกเขาหลับไปด้วยความทุกข์โศกเศร้า”
(ข้อ 45)
พวกเขาคงรู้สึกผิดหวัง
คนที่เขาคิดว่าเป็นพระมาซีฮาที่จะมาช่วยกอบกู้เอกราชของพวกเขาตอนนี้กำลังถูกต่อต้านอย่างหนักทั้งจากผู้นำของศาสนายิว
นักการเมืองยิวที่ขายตัวเป็นสมุนรับใช้เผด็จการโรมัน อีกทั้งพวกฟาริสีที่ประนามหยามเหยียดว่า
พระเยซูเป็นคนบาป กินอยู่กับคนบาป คบหาสมาคมกับหญิงชั่ว
เข้าไปในบ้านของพวกเก็บภาษีที่กดขี่รีดภาษีจากคนยิวด้วยกัน
อีกทั้งยังไปพูดคุยกับหญิงสะมาเรียคนเลือดผสมไม่บริสุทธิ์
พวกเขาอุตส่าห์ ละทิ้งหน้าที่การงานอาชีพ ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการติดตามพระเยซูไปที่ต่างๆ
ในเวลาสามปีที่ผ่าน และในที่สุดจะต้องมาจบลงด้วยการจนมุมเช่นนี้หรือ? ไม่เห็นว่าพระเยซูจะมีกองกำลังที่จะมาสู้กับพวกทหารโรมัน
พวกกบฏใต้ดินกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาติดต่อให้พระองค์ไปเป็นผู้นำกองกำลัง แต่พระองค์กลับปฏิเสธ
ในที่สุดคนที่เขาคิดว่าเป็นพระมาซีฮาก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย!
จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมสาวกทิ้งพระเยซูไปอย่างไม่เห็นฝุ่น เปโตรที่กล่าวแข็งขันมั่นเหมาะว่าพร้อมตายกับพระคริสต์ ก็ปฏิเสธการเป็นสาวกของพระองค์ และยังบอกว่าไม่เคยคบหารู้จักกับพระองค์ นอกนั้นหายหัวไปไหนหมดไม่รู้ มีเพียงสาวกคนที่พระองค์ทรงรักเท่านั้น ที่ไปยืนอยู่ห่างๆ ใต้กางเขนร่วมกับกลุ่มผู้หญิงที่ติดตามพระองค์ มารีย์มารดาและน้าสาวของพระเยซู มารีย์มักดาลา มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส
เราท่านคงไม่ปฏิเสธว่า พระเยซูทรงทุกข์อกทุกข์ใจ สุดแสนเจ็บปวดร่างกายจากการถูกตรึง บาดแผลครั้งนี้บาดลึกลงถึงจิตวิญญาณ ถึงขนาดที่ร้องด้วยเสียงดังว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์...ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์”
ในการรับใช้พระเจ้าของพระเยซูคริสต์
พระองค์ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตกาลในชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า
และเมื่อถึงครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต พระองค์ปรึกษากับพระเจ้าว่า จะไม่รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสนี้ได้ไหม? แต่พระองค์ตามด้วยวาทะทองของพระองค์ “...แต่อย่างไรก็ดี
อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42 มตฐ.)
ใช่แล้วครับ
การที่ใครคนใดคนหนึ่งมอบกายถวายชีวิตแด่พระเจ้า เขาคนนั้นมิใช่ทำตามใจตนเอง แต่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
และการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นรวมถึงชีวิตที่ทุกข์ทนยากลำบาก ว้าเหว่
โดดเดี่ยว
ถูกทอดทิ้งแม้แต่จากคนสนิท และจะต้องมอบชีวิตให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วย
“ท่านถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง
เป็นคนที่รับความเจ็บปวด
และคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก
และเป็นดั่งผู้ซึ่งคนทั้งหลายหันหน้าหนี
ท่านถูกดูหมิ่น และเราไม่ได้นับถือท่าน...”
(อิสยาห์ 53:3…มตฐ.)
ความเครียด
ความทุกข์ยากลำบาก
เป็นขั้นตอนหนึ่งที่นำไปสู่การพลิกฟื้นชีวิตใหม่ ความหวังใหม่
ความสำเร็จ
เหมือนกับการที่จะได้ทารกแม่ต้องตั้งครรภ์ บางคนต้องแพ้ท้อง เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในตัวของแม่ และเมื่อถึงเวลาคลอดบุตร ต้องทนเจ็บ
แล้วเบ่งลูกออกด้วยสุดแรงเกิด
แต่เมื่อได้อุ้มทารกน้อยชีวิตใหม่ในอ้อมอก ความเจ็บปวดเหล่านั้นกลับอันตรธานหายไป มีแต่ความปีติชื่นชนและความสุข
ชีวิตบนวิถีทางแห่งสาวกของพระคริสต์เราหลีกหนีไม่พ้นที่ต้องได้รับความ
เครียด ปวดร้าวในชีวิต ทุกข์ทนอย่างไม่เป็นธรรม
บนเส้นทางนั้นแม้เราจะรู้สึกว่าพระเจ้าช่างอยู่ห่างไกลจากเราเหลือเกิน
แต่ในความเป็นจริงพระองค์ทรงอยู่เคียงข้าง และทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในวิกฤติชีวิตของเรา
ถ้าไม่มีกางเขนที่ภูเขากะโหลกศีรษะ ก็จะไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย
ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ ก็ไม่มีความเชื่อแบบคริสตชน
ถ้าไม่มีความเชื่อแบบคริสตชน
ก็ไม่มีชุมชนคริสตจักร
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น