...ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าทูลขอเพื่อท่านทุกคน
ก็ทำการทูลขอด้วยความยินดีเสมอ
เพราะท่านทั้งหลายมีส่วนร่วมในข่าวประเสริฐตั้งแต่วันแรกจนเวลานี้
(ฟีลิปปี 1:4-5 มตฐ.)
การทำงานแบบมีส่วนร่วมให้ความสำเร็จในการทำงานได้มากกว่าที่แยกต่างคนต่างทำ ดั่งคำกล่าวที่ว่า “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย” นั่นเป็นการยืนยันว่า
การทำงานเป็นทีมย่อมมีพลังเข้มแข็งกว่าการทำงานแบบตัวใครตัวมัน การที่คนในกลุ่มยอมอุทิศตนเพื่อร่วมกับคนอื่นๆ
ในกลุ่มจะช่วยให้การต่อสู้และการเผชิญหน้าของกลุ่มเข้มแข็งมีพลัง
ไม่ว่าเราจะเรียกว่า การทำงานแบบเป็นทีม การทำงานแบบมีส่วนร่วม พลังร่วม
สมาคม ชมรม
น่าสังเกตว่า การทำงานแบบมีส่วนร่วมนั้นเป็นการใช้ความสามารถของตั้งแต่สองคนขึ้นไปมาร่วมในการขับเคลื่อน ที่นำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าที่แยกทำแต่ละคน
แล้วเอาผลสำเร็จที่ได้จากแต่ละคนมารวมกันเสียอีก
แม่ชีเทเรซากล่าวว่า “ท่านสามารถทำในสิ่งที่ท่านทำได้ ฉันทำในสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ เมื่อเรามาทำงานร่วมกัน เราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า” เพราะการทำงานร่วมด้วยกันมิได้ใช้หลักการ 1+1=2 แต่มีหลักการว่า 1 ทำร่วมกันกับอีก 1 หรือมากกว่านั้น มีพลังสร้างพลังและผลสำเร็จมากกว่าการเอาความสามารถที่ทำให้สำเร็จของแต่ละคนมารวมเข้าด้วยกัน เพราะมันจะทำให้เกิดความสำเร็จที่เกิดจาก
“ความสามารถร่วม”ที่ไม่มีในคนใดคนหนึ่งเลยในกลุ่มนี้
แต่เมื่อทำด้วยกันจะเกิดความสามารถเพิ่มพูนขึ้นใหม่ที่ได้จากความสามารถร่วม ที่นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าตามที่แม่ชีเทเรซากล่าวไว้เกิดผลสำเร็จที่เพิ่มพูนขึ้น
“การที่มีคนหนึ่งทำงานร่วมกับท่าน ก็ดีกว่ามีสามคนที่ทำงานเพื่อท่าน” คำกล่าวนิรนาม ในที่นี้เน้นการทำงานร่วมด้วยกัน มีพลังกว่าการที่มีใครบางคนทำเพื่อเรา การทำงานร่วมกันแตกต่างจากการที่คนหนึ่งคนใด
หรือ คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดทำงานเพื่อคนอื่นหรือกลุ่มอื่น
แต่การทำงานร่วมกันเป็นการตั้งใจและเต็มใจที่ต้องการทำด้วยกัน เพราะสำนึกถึงคุณค่าในความสามารถของแต่ละคน ที่สำคัญถึงขนาดขาดเสียมิได้ และมิใช่การกระทำเพื่อตนเอง หรือ เพื่อคนอื่น หรือทั้งเพื่อตนเองและเพื่อคนอื่นเท่านั้น
แต่การทำงานร่วมกันให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพ การเห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมงาน และความไว้วางใจที่มีต่อกันสำคัญและมีพลังมากยิ่งกว่าการทำงานเพื่อให้เกิดผลเท่านั้น
แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ได้กล่าวยอมรับว่า
“ความสำเร็จที่ข้าพเจ้าได้รับนั้นเป็นหนี้ความสามารถของผู้คนมากมายรอบข้างข้าพเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นความสามารถเล็กน้อย หรือ ใหญ่โตของพวกเขา ซึ่งเป็นความสามารถที่เยี่ยมยอดยิ่งกว่าความสามารถของข้าพเจ้า”
จอห์น วู๊ดเดน โค้ชบาสเกตบอลผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล กล่าวเตือนสติทีมบาสเกตบอลของเขาเสมอว่า “ผู้ที่ชูตลูกบอลลงห่วงได้นั้นมีสิบมือด้วยกัน” นี่ไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นเป็นคนพิเศษ หรือ
คนประหลาดมีสิบไม้สิบมือ แต่จอห์นกำลังเตือนสตินักบาสในทีมว่า
คนที่ชูตลูกลงห่วงได้นั้นมิได้ทำได้ด้วยตนคนเดียวเท่านั้น แต่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ต่างมีส่วนที่ทำให้เขาสามารถพาลูกไปชูตลงห่วงได้ ที่ลูกบาสลงห่วงได้มิใช่เพราะสองไม้สองมือของตนเท่านั้น แต่เพราะความร่วมไม้ร่วมมือของเพื่อนในทีมต่างหาก
การทำงานร่วมด้วยกัน การทำงานเป็นทีม
คนในทีมต้องมีสายตาพิเศษที่สามารถมองเห็นมืออื่นๆ อีกตั้งแปดเก้ามือที่คนทั่วไปมองไม่เห็น การทำงานเป็นทีมต้องเห็นคุณค่าและความสำคัญของคนร่วมทีม
(ไม่ใช่ผู้บริหารเก่งอยู่คนเดียว ทำถูกแต่ผู้เดียว บ้างมักพูดเหน็บแนมดูถูกลูกน้องต่อหน้าคนอื่น)
สัจจะความจริงประการนี้เตือนประชากรของพระเจ้าทุกคน เราทุกคนต่างเป็นคนใช้ของพระคริสต์
ที่ต้องทำงานรับใช้พระองค์อย่างมีเอกภาพที่สอดประสานและหนุนเสริมกันและกันดั่งอวัยวะส่วนต่างๆ
ในร่างกายที่ทำงานร่วมกันอย่างประสานกลมกลืนกันตามการสั่งการของสมองที่ศีรษะ หรือ
ตามพระประสงค์ของพระคริสต์
และต้องตระหนักชัดว่า
การทำงานร่วมกันเช่นนี้ย่อมเกิดผลมากกว่าที่เราแต่ละคนต่างคนต่างทำ
นี่ยังไม่รวมถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการขัดแข้งขัดขากัน หรือลอบทำร้ายทำลายกันลับหลัง
ชีวิตที่อยู่ร่วมกันอย่างมีสามัคคีธรรม
และการทำพันธกิจในคริสตจักร
เรามิได้ทำเพื่อตัวเราเอง
หรือเพื่อคนใดคนหนึ่งที่เราเคารพนับถือ หรือ ที่เราสงสาร แต่ที่เราทำพันธกิจร่วมกันเพื่อรับใช้พระคริสต์
และจะมีบางสิ่งบางอย่างพิเศษที่เกิดจากการที่สมาชิกในคริสตจักรทำพันธกิจร่วมกัน
เพราะในการทำพันธกิจร่วมกันนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงร่วมทำด้วย ทรงเสริม
ทรงเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนแก่คริสตจักรด้วย
นั่นหมายความว่าการรับใช้นั้นจะเกิดผลเกินกว่าที่เราทุ่มเทรับใช้รวมกันเสียอีก
การมีชีวิตร่วมกันในคริสตจักร และ
การขับเคลื่อนรับใช้พระคริสต์ร่วมกันในงานหลากหลายงาน หลากหลายองค์กร
หน่วยงาน เราต้องเห็นคุณค่าความหมายและความสำคัญของกันและกัน
ความสำเร็จมิได้เกิดจากความเก่งกาจของศิษยาภิบาล หรือ ผู้นำคริสตจักร ผู้บริหารองค์กรเท่านั้น เราต้องเห็นมือของคนอื่นๆ ในทีมที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จนั้นด้วย การที่ขาดคนหนึ่งคนใดในคริสตจักร หรือ
หน่วยงานก็จะทำให้ขาดความสมบูรณ์ได้
สัจจะความจริงเตือนเราว่า
ชีวิตและการขับเคลื่อนพันธกิจของคริสตจักรมิได้ขึ้นอยู่กับ ศิษยาภิบาล
ผู้นำคริสตจักร หรือ
ผู้บริหารองค์กร หน่วยงาน เท่านั้น
แต่ความสำคัญของคริสตจักรตามพระคัมภีร์และความเชื่อศรัทธาของคริสตชนอยู่ที่การเสริมสร้างและหนุนช่วยให้สมาชิกทุกคนในคริสตจักร คนทำงานในองค์กรคริสเตียนร่วมในการรับใช้พระคริสต์ด้วยกัน ในงานและความรับผิดชอบหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ทั้งคริสตจักรมุ่งหน้ารับใช้พระคริสต์ร่วมกันด้วยพระนามของพระคริสต์ ในอาชีพการงาน ในชีวิตและครอบครัว ในสังคมชุมชนที่ตนดำเนินชีวิตประจำวัน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น