02 เมษายน 2557

ความเชื่อที่มีส่วนร่วม...

...ทุก​ครั้ง​ที่​ข้าพเจ้าทูล​ขอ​เพื่อ​ท่าน​ทุก​คน ก็​ทำ​การ​ทูล​ขอ​ด้วย​ความ​ยินดี​เสมอ 
เพราะ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​มี​ส่วน​ร่วม​ใน​ข่าว​ประเสริฐ​ตั้ง​แต่​วัน​แรก​จน​เวลา​นี้ (ฟีลิปปี 1:4-5 มตฐ.)

การทำงานแบบมีส่วนร่วมให้ความสำเร็จในการทำงานได้มากกว่าที่แยกต่างคนต่างทำ   ดั่งคำกล่าวที่ว่า “รวมกันเราอยู่  แยกหมู่เราตาย”   นั่นเป็นการยืนยันว่า  การทำงานเป็นทีมย่อมมีพลังเข้มแข็งกว่าการทำงานแบบตัวใครตัวมัน   การที่คนในกลุ่มยอมอุทิศตนเพื่อร่วมกับคนอื่นๆ ในกลุ่มจะช่วยให้การต่อสู้และการเผชิญหน้าของกลุ่มเข้มแข็งมีพลัง

ไม่ว่าเราจะเรียกว่า   การทำงานแบบเป็นทีม   การทำงานแบบมีส่วนร่วม  พลังร่วม  สมาคม  ชมรม

น่าสังเกตว่า  การทำงานแบบมีส่วนร่วมนั้นเป็นการใช้ความสามารถของตั้งแต่สองคนขึ้นไปมาร่วมในการขับเคลื่อน   ที่นำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าที่แยกทำแต่ละคน   แล้วเอาผลสำเร็จที่ได้จากแต่ละคนมารวมกันเสียอีก

แม่ชีเทเรซากล่าวว่า   “ท่านสามารถทำในสิ่งที่ท่านทำได้   ฉันทำในสิ่งที่ฉันสามารถทำได้   เมื่อเรามาทำงานร่วมกัน  เราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า”   เพราะการทำงานร่วมด้วยกันมิได้ใช้หลักการ 1+1=2  แต่มีหลักการว่า 1 ทำร่วมกันกับอีก 1 หรือมากกว่านั้น   มีพลังสร้างพลังและผลสำเร็จมากกว่าการเอาความสามารถที่ทำให้สำเร็จของแต่ละคนมารวมเข้าด้วยกัน   เพราะมันจะทำให้เกิดความสำเร็จที่เกิดจาก “ความสามารถร่วม”ที่ไม่มีในคนใดคนหนึ่งเลยในกลุ่มนี้   แต่เมื่อทำด้วยกันจะเกิดความสามารถเพิ่มพูนขึ้นใหม่ที่ได้จากความสามารถร่วม   ที่นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าตามที่แม่ชีเทเรซากล่าวไว้เกิดผลสำเร็จที่เพิ่มพูนขึ้น

“การที่มีคนหนึ่งทำงานร่วมกับท่าน   ก็ดีกว่ามีสามคนที่ทำงานเพื่อท่าน”  คำกล่าวนิรนาม   ในที่นี้เน้นการทำงานร่วมด้วยกัน   มีพลังกว่าการที่มีใครบางคนทำเพื่อเรา   การทำงานร่วมกันแตกต่างจากการที่คนหนึ่งคนใด หรือ คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดทำงานเพื่อคนอื่นหรือกลุ่มอื่น    แต่การทำงานร่วมกันเป็นการตั้งใจและเต็มใจที่ต้องการทำด้วยกัน  เพราะสำนึกถึงคุณค่าในความสามารถของแต่ละคน  ที่สำคัญถึงขนาดขาดเสียมิได้   และมิใช่การกระทำเพื่อตนเอง  หรือ เพื่อคนอื่น  หรือทั้งเพื่อตนเองและเพื่อคนอื่นเท่านั้น  

แต่การทำงานร่วมกันให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพ   การเห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมงาน  และความไว้วางใจที่มีต่อกันสำคัญและมีพลังมากยิ่งกว่าการทำงานเพื่อให้เกิดผลเท่านั้น 

แอนดรูว์ คาร์เนกี้  ได้กล่าวยอมรับว่า  “ความสำเร็จที่ข้าพเจ้าได้รับนั้นเป็นหนี้ความสามารถของผู้คนมากมายรอบข้างข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความสามารถเล็กน้อย หรือ ใหญ่โตของพวกเขา    ซึ่งเป็นความสามารถที่เยี่ยมยอดยิ่งกว่าความสามารถของข้าพเจ้า”

จอห์น วู๊ดเดน   โค้ชบาสเกตบอลผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล   กล่าวเตือนสติทีมบาสเกตบอลของเขาเสมอว่า  “ผู้ที่ชูตลูกบอลลงห่วงได้นั้นมีสิบมือด้วยกัน”   นี่ไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นเป็นคนพิเศษ หรือ คนประหลาดมีสิบไม้สิบมือ   แต่จอห์นกำลังเตือนสตินักบาสในทีมว่า   คนที่ชูตลูกลงห่วงได้นั้นมิได้ทำได้ด้วยตนคนเดียวเท่านั้น   แต่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ต่างมีส่วนที่ทำให้เขาสามารถพาลูกไปชูตลงห่วงได้    ที่ลูกบาสลงห่วงได้มิใช่เพราะสองไม้สองมือของตนเท่านั้น   แต่เพราะความร่วมไม้ร่วมมือของเพื่อนในทีมต่างหาก

การทำงานร่วมด้วยกัน  การทำงานเป็นทีม   คนในทีมต้องมีสายตาพิเศษที่สามารถมองเห็นมืออื่นๆ อีกตั้งแปดเก้ามือที่คนทั่วไปมองไม่เห็น   การทำงานเป็นทีมต้องเห็นคุณค่าและความสำคัญของคนร่วมทีม (ไม่ใช่ผู้บริหารเก่งอยู่คนเดียว  ทำถูกแต่ผู้เดียว   บ้างมักพูดเหน็บแนมดูถูกลูกน้องต่อหน้าคนอื่น)

สัจจะความจริงประการนี้เตือนประชากรของพระเจ้าทุกคน   เราทุกคนต่างเป็นคนใช้ของพระคริสต์   ที่ต้องทำงานรับใช้พระองค์อย่างมีเอกภาพที่สอดประสานและหนุนเสริมกันและกันดั่งอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายที่ทำงานร่วมกันอย่างประสานกลมกลืนกันตามการสั่งการของสมองที่ศีรษะ หรือ ตามพระประสงค์ของพระคริสต์   และต้องตระหนักชัดว่า  การทำงานร่วมกันเช่นนี้ย่อมเกิดผลมากกว่าที่เราแต่ละคนต่างคนต่างทำ   นี่ยังไม่รวมถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการขัดแข้งขัดขากัน   หรือลอบทำร้ายทำลายกันลับหลัง

ชีวิตที่อยู่ร่วมกันอย่างมีสามัคคีธรรม และการทำพันธกิจในคริสตจักร   เรามิได้ทำเพื่อตัวเราเอง  หรือเพื่อคนใดคนหนึ่งที่เราเคารพนับถือ หรือ ที่เราสงสาร   แต่ที่เราทำพันธกิจร่วมกันเพื่อรับใช้พระคริสต์   และจะมีบางสิ่งบางอย่างพิเศษที่เกิดจากการที่สมาชิกในคริสตจักรทำพันธกิจร่วมกัน   เพราะในการทำพันธกิจร่วมกันนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงร่วมทำด้วย   ทรงเสริม ทรงเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนแก่คริสตจักรด้วย    นั่นหมายความว่าการรับใช้นั้นจะเกิดผลเกินกว่าที่เราทุ่มเทรับใช้รวมกันเสียอีก

การมีชีวิตร่วมกันในคริสตจักร  และ  การขับเคลื่อนรับใช้พระคริสต์ร่วมกันในงานหลากหลายงาน หลากหลายองค์กร หน่วยงาน   เราต้องเห็นคุณค่าความหมายและความสำคัญของกันและกัน   ความสำเร็จมิได้เกิดจากความเก่งกาจของศิษยาภิบาล หรือ ผู้นำคริสตจักร  ผู้บริหารองค์กรเท่านั้น    เราต้องเห็นมือของคนอื่นๆ ในทีมที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จนั้นด้วย   การที่ขาดคนหนึ่งคนใดในคริสตจักร หรือ หน่วยงานก็จะทำให้ขาดความสมบูรณ์ได้

สัจจะความจริงเตือนเราว่า   ชีวิตและการขับเคลื่อนพันธกิจของคริสตจักรมิได้ขึ้นอยู่กับ  ศิษยาภิบาล  ผู้นำคริสตจักร  หรือ ผู้บริหารองค์กร หน่วยงาน เท่านั้น   แต่ความสำคัญของคริสตจักรตามพระคัมภีร์และความเชื่อศรัทธาของคริสตชนอยู่ที่การเสริมสร้างและหนุนช่วยให้สมาชิกทุกคนในคริสตจักร   คนทำงานในองค์กรคริสเตียนร่วมในการรับใช้พระคริสต์ด้วยกัน    ในงานและความรับผิดชอบหลากหลายรูปแบบ    เพื่อให้ทั้งคริสตจักรมุ่งหน้ารับใช้พระคริสต์ร่วมกันด้วยพระนามของพระคริสต์   ในอาชีพการงาน  ในชีวิตและครอบครัว  ในสังคมชุมชนที่ตนดำเนินชีวิตประจำวัน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น