เจ็ดปัจฉิมวาทะของพระคริสต์บนกางเขน
พระเยซูตรัสว่า
“พระบิดาเจ้าข้า
ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”...
(ลูกา 23:34 มตฐ.)
ปัจฉิมวาทะแรกของพระคริสต์จากกางเขนคือ การยกโทษ
ซึ่งเป็นหัวใจแห่งกางเขนของพระคริสต์
พระเยซูคริสต์ทรงสอนสาวกให้อธิษฐาน
และเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของการอธิษฐานคือ การยกโทษ
และพระองค์ทรงสอนถึงการยกโทษที่พระบิดาทรงเมตตาและยกโทษเราด้วยการที่พระองค์ทรงกระทำเป็นแบบอย่าง ดังนั้น
เราทุกคนพึงยกโทษแก่คนที่กระทำผิดต่อเรา
การยกโทษที่พระคริสต์ทรงสอนเป็นการยกโทษที่ไม่มีเงื่อนไข กระบวนการยกโทษเริ่มต้นที่ผู้ให้การยกโทษที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตอย่างมหาศาลของผู้ที่ได้รับการยกโทษ
บนภูเขากะโหลกศีรษะ
พระเยซูคริสต์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนสาวก พระองค์อธิษฐานขอพระบิดาโปรดเมตตายกโทษทั้งกลุ่มผู้นำศาสนายิว ผู้ปกครองจากโรม และ ผู้ปกครองท้องถิ่น ตลอดจนพวกทหารโรมันที่ตรึงพระองค์บนกางเขน
การยกโทษแบบพระคริสต์ที่ไร้เงื่อนไข เป็นการยกโทษด้วยจิตใจที่รัก เมตตา
และเสียสละของพระองค์
ยกโทษแม้แต่ศัตรูที่มุ่งร้ายทำลายชีวิตของพระองค์
และบนกางเขนพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนที่ว่า “แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน”
(มัทธิว 5:44 มตฐ.)
บ่อยครั้ง
เรามักจะยอมยกโทษแก่คนที่สำนึกว่าตนเองได้กระทำผิด
แต่หลายครั้งเป็นการยากที่เราจะยกโทษแก่คนที่ไม่ยอมสำนึกว่าตนเองได้ทำผิด
แต่ในคำอธิษฐานบนกางเขนของพระเยซูคริสต์พระองค์ทูลขอพระบิดาโปรดยกโทษคนที่ตรึงพระองค์
“เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”
มิเพียงแต่ไม่สำนึกว่าตนทำผิดเท่านั้น แต่เขาไม่รูว่าเขากำลังทำผิด!
พวกผู้นำศาสนายิวที่สุมหัวกันหาทางกำจัดพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้คิดว่าเขากำลังก่ออาชญากรรม
แต่เขากลับคิดว่าเขากำลังกำจัดพระเยซูคริสต์เพื่อปกป้องศาสนายิว เพื่อปกป้องมิให้มีใครมาทำตัวเสมอเทียบเท่าพระเจ้าที่พวกเขาเคารพบูชา
ลึกๆ แล้วพวกเขากำลังปกป้องคุณค่า และ
ความมั่นคงในสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชา
เขากำลังปกป้องตัวเขา
พวกผู้ปกครองจากโรมยอมให้ผู้นำศาสนายิวนำพระเยซูคริสต์ไปตรึงกางเขน ทั้งๆ ที่รู้ว่าพระเยซูมิได้กระทำความผิดใดๆ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบ จึงยอมปล่อยให้พวกผู้นำศาสนายิวทำตามใจต้องการ “เพราะท่าน(ปีลาต)รู้แล้วว่าพวกเขามอบตัวพระองค์ไว้เพราะความอิจฉา”
(มัทธิว 27:18
มตฐ.) “เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การ
มีแต่จะเกิดความวุ่นวาย ท่านจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าฝูงชน
แล้วกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องความตายของคนนี้
พวกเจ้าต้องรับผิดชอบเอาเองเถิด” (ข้อ 24) “ปีลาตต้องการจะเอาใจฝูงชนจึงปล่อยบารับบัสให้แก่พวกเขา
และเมื่อให้โบยตีพระเยซูแล้ว จึงมอบให้พวกเขาเอาไปตรึงที่กางเขน”
(มาระโก 15:15 มตฐ.)
การที่คนหนึ่งคนใดไม่รู้ตัวว่ากำลังกระทำผิด
หรือ ไม่คิดว่าตนทำผิด จะถือว่าตนเองไม่ได้ทำผิด
แต่หัวใจของพระกิตติคุณคือ “กางเขนแห่งการอภัยโทษ” กล่าวคือ
ความรักเมตตาที่เสียสละบนกางเขนนี้ยกโทษแก่คนที่มิได้สำนึกว่าตนทำผิด และ
คนที่ไม่ได้คิดว่าตนทำผิด
แต่เพราะการยกโทษของพระคริสต์ด้วยพระทัยเมตตาและเสียสละอย่างไร้เงื่อนไขนี้เองที่ทำให้คนบาปที่ได้รับการยกโทษกลับสำนึกในพระคุณความรักเมตตาของพระองค์
การยกโทษของพระคริสต์ต่างหากที่ทำให้คนบาปเกิดความเข้าใจและสำนึกในพระคุณของพระองค์ที่ทรงไถ่ถอนตนให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่ว
มิใช่การยอมรับและเข้าใจว่าตนเป็นคนบาปก่อน
ที่ทำให้คนนั้นได้รับการยกโทษบาปจากพระคริสต์ แต่พระคริสต์ทรงยกโทษเขาก่อนต่างหาก
ที่ทำให้เขาได้ซาบซึ้งถึงพระคุณของพระองค์ แล้วจึงยอมรับว่าแท้จริงตนเป็นคนบาป
ชีวิตของเปาโลเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เขานำกองกำลังไปเมืองต่างๆ เข่นฆ่าและทำลายขบวนการสาวกพระคริสต์
เพราะเขาตระหนักชัดว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องปกป้องความมั่นคงถูกต้องของศาสนายิวที่เขาเชื่อศรัทธา เขากำลังทำสิ่งที่ดี เขากำลังทำพันธกิจของพระเจ้า เขากำลังปกป้องความสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เขากำลังทำสิ่งที่ดีและถูกต้อง
แต่บนเส้นทางไปดามัสกัสพระคริสต์ทรงปรากฏพระองค์แก่เปาโลด้วยความรักเมตตา พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยความจริงและช่วยให้เปาโลเห็นตนเองชัดเจนว่าตนกำลังทำอะไร
“เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม?” เซาโลจึงทูลถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นใคร?” พระองค์ตรัสว่า
“เราคือเยซูผู้ที่เจ้าข่มเหง จงลุกขึ้นเถิดและเข้าไปในเมือง
จะมีคนบอกให้เจ้าทราบว่าเจ้าต้องทำอะไร” (กิจการ 9:4-6 มตฐ.)
เพราะความรักเมตตาของพระคริสต์ ที่ไม่ได้รอให้เปาโลสำนึกในความผิดของตน
แต่ทรงเปิดเผยความจริงที่ถูกต้องด้วยพระทัยเมตตาต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตของเปาโลเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
เพราะความรักเมตตาของพระคริสต์ที่ทรงยกโทษเขาต่างหากมิใช่หรือที่ทำให้เปาโลมอบกายถวายชีวิตทั้งสิ้นแด่พระองค์ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็เพราะพลังแห่งพระคุณของพระเยซูคริสต์บนกางเขนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเปาโลอย่างสิ้นเชิง
เพราะการที่พระคริสต์ทรงยกโทษเราก่อนที่ทำให้เรายอมรับว่าเราตกอยู่ในอำนาจแห่งความผิดบาป
แล้วทรงสำแดงให้เราเห็นความจริงในตัวตนของเรา ทำให้เราเห็นตัวตนที่แท้จริงของเรา และยอมจำนนต่อความจริงนั้นและรับการทรงไถ่ถอนให้หลุดรอดออกจากอำนาจชั่วดังกล่าว เราจึงได้สัมผัสกับพระคุณความรักเมตตาที่เสียสละของพระคริสต์
และด้วยพระคุณนี้เองที่เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
และด้วยสำนึกในพระคุณของพระองค์เราจึงยอมมอบกายถวายชีวิตให้ดำเนินไปตามพระประสงค์ของพระองค์
ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ปีนี้ ให้เราไตร่ตรองและสำนึกถึงพระคุณแห่งการยกโทษที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์
ที่เป็นการช่วยปลดปล่อยให้เราหลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายในลักษณะต่างๆ
ที่เกาะกุมครอบงำชีวิตของเรา
เพื่อเราจะได้เป็นอิสระจากอำนาจบาปชั่วเหล่านั้น และมีชีวิตที่เป็นไท ที่เราจะมอบกายถวายชีวิตที่เป็นไปตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
“ขณะเมื่อเรายังอ่อนกำลัง
พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม” (โรม 5:6 มตฐ.)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น