เรื่องราวมานา
เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคริสตชนในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง
แต่เมื่อพวกเขาใช้เครื่องตวง
คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาดแคลน
ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานได้
(อพยพ 16:18 มตฐ.)
เมื่อพระเจ้าประทานมานาแก่คนอิสราเอล (อพยพ 16:1-36) เรื่องนี้มิได้บอกเราเพียงแต่ว่า
พระเจ้าทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์แก่เราเท่านั้น “ประสบการณ์มานา”
มีคำสอนที่สำคัญและทรงพลังแก่เราด้วย ประสบการณ์มานาสอนถึงเรื่องความสัตย์ซื่อ และ
ความอดทนของพระเจ้า
ที่มีต่อประชากรที่ขี้บ่น และ จิตวิญญาณที่มีความเชื่อวางใจในพระเจ้าเพียงน้อยนิด
เรื่องราวมานา อพยพ 16:1-36
หลังจากที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ประชากรอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ เมื่อต้องเดินทางในถิ่นทุรกันดารไปยังแผ่นดินแห่งพระสัญญา พระเจ้าได้ทรงประทานอาหารที่จำเป็นสำหรับพวกเขา
พระองค์ทรงประทานมานาแก่ประชากรทุกเช้า และประทานเนื้อในตอนเย็น และนี่เป็นของประทานจากพระเจ้า และเวลาเดียวกันเป็นการทดสอบเพื่อการเรียนรู้ของพวกเขาว่า เขาเห็นความสำคัญและสนใจในอาหารที่พระองค์ประทานแก่พวกเขา
หรือ พวกเขามุ่งใส่ใจต่อพระเจ้าที่ทรงดูแลเอาใจใส่พวกเขา
หลักเกณฑ์การรับของประทานจากพระเจ้ามีเพียงง่าย
ๆ คือ
ให้แต่ละครอบครัวเก็บอาหารให้พอเพียงตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว ทุกครอบครัวจะไม่สั่งสมส่วนเกินด้วยความโลภ แต่ให้ไว้วางใจในความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่จะประทานอาหารในแต่ละวันแก่พวกตน
นอกจากวันที่หกของสัปดาห์ให้แต่ละครอบครัวเก็บอาหารเป็นสองเท่าของวันปกติ เพื่อมีรับประทานในวันที่เจ็ดคือวันสะบาโต
เรื่องนี้ได้ให้บทบาทชีวิตมากมายแก่เรา ประการแรก เราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ ประทานอาหารแก่ประชากรอิสราเอลเพื่อพวกเขาจะพุ่งความสนใจมุ่งมาที่
“พระเจ้าผู้ทรงประทาน”
แต่เมื่อใดก็ตามที่ประชากรมุ่งความสนใจไปที่ “ของประทาน” สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ความโลภและเสียงบ่นของประชากร เมื่อเรามุ่งความสนใจไปที่พระเจ้าผู้เป็นแหล่งแห่งความจำเป็นในชีวิตประจำวันของเรา เราชื่นชมและและเกิดความสำนึกในพระคุณพระเจ้า
(อ่าน เฉลยธรรมบัญญัติ 8:1-3)
สิ่งสำคัญ
ประการที่สอง ของประทานจากพระเจ้ามีเพียงพอสำหรับทุกคน
เปาโลเปรียบเรื่องมานากับเงินทอง
เปาโลได้ใช้เรื่องราวมานาในการอ้างอิงเมื่อท่านกล่าวถึงว่า
คริสตชนควรคิดเช่นไรเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง
ในจดหมายฉบับที่สองที่เขียนถึงคริสตจักรโครินธ์ ท่านได้ขอร้องด้วยความจริงใจให้ช่วยคริสตชนในกรุงเยรูซาเล็มที่กำลังขัดสนด้วยการชักจูงให้ช่วยเหลือด้วยวิธีการต่าง
ๆ
(ไม่ว่าในการอ้างถึงความช่วยเหลือที่คริสตจักรมาซิโดเนียได้ให้ พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างในการให้ และ อื่น ๆ)
และที่สำคัญคือทั้งสิ้นนี้ได้ให้ด้วยใจกว้างขวาง
เมื่อเปาโลพยายามโน้มน้าวให้คริสตจักรโครินธ์ในการให้ความช่วยเหลือคริสตชนในเยรูซาเล็ม เปาโลได้อ้างถึงเจตนาของพระเจ้าในการประทานมานาแก่ประชากรอิสราเอล
ให้ตามความสามารถที่มีอยู่...พระเจ้าก็จะทรงรับตามที่เขามีอยู่
ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี ... ตามที่เขียนไว้ว่า “คนที่เก็บได้มากนั้น ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาด” (2โครินธ์ 8:12-15 มตฐ.)
มานาและทรัพย์สินเงินทอง
ในข้อสุดท้ายข้างต้น(ข้อ
15)
เป็นการคัดลอกจาก อพยพ 16:18 ในเรื่องราวมานา เปาโลไม่ได้ประสงค์ที่จะให้คริสตชนในโครินธ์ยากจนลงและให้คริสตชนในเยรูซาเล็มมั่งคั่งขึ้น แต่เปาโลต้องการที่จะให้ของประทานจากพระเจ้ามีเพียงพอสำหรับทุกคน เปาโลต้องการเห็นการเผื่อแผ่
แบ่งปันแก่กันและกัน
ตามความจำเป็นในชีวิตแก่กันและกันด้วยความเต็มใจ
เปาโลมีความคิดว่า พระเจ้าประสงค์ให้เราประยุกต์ใช้เรื่องราวมานาถึงการใช้จ่ายเงินทองของคริสตชน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราแต่ละคนต่างต้องการมีส่วนที่สะสมเผื่อไว้เพื่อว่าตนจะมีใช้เพียงพอในอนาคต
หรือในเวลาที่เราจำเป็นต้องการ
ในเวลาเช่นนั้นเราถึงจะพึ่งตนเองได้???
ถ้าเช่นนั้น
เราวางใจในทรัพย์สินเงินทองที่พระเจ้าประทานให้เรา มากกว่าที่จะไว้วางใจพระเจ้าผู้เป็นแหล่งประทานสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเราใช่ไหม?
การที่จะให้คริสตชนพุ่งความสนใจไปที่พระเจ้าผู้ประทานสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันนั้น
เป็นสิ่งที่ยากสำหรับทั้งประชากรอิสราเอล
และ คริสตชนในโครินธ์
และสำหรับเราด้วย ส่วนมากแล้วเรามักมุ่งความสนใจไปที่สิ่งของที่พระเจ้าประทานให้มากกว่า
บทเรียนที่เราได้รับจาก
อพยพ 16:1-36
ที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องความมั่งคั่งกับการให้การแบ่งปันของเราในชีวิตประจำวัน
- ทรัพย์สินเงินทองที่เราได้มาต้องมองว่าเป็นของประทานจากพระเจ้า ที่เราเป็นและมีอยู่นี้ก็เพราะพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเรา
และการที่เราจะมีชีวิตที่ตอบสนองต่อความสัตย์ซื่อของพระเจ้า คือการที่เราไว้วางใจในพระองค์สำหรับอนาคตของเรา
- ให้เราระมัดระวังอย่างมากสำหรับตัวเราที่มีแนวโน้มจะโลภ สะสมเก็บรักษาเกินกว่าที่เราจำเป็น ประเด็นนี้หลายท่านกังวลเกี่ยวกับการออมสำหรับเมื่อเกษียณอายุ (เราไม่ไว้วางใจพระเจ้าสำหรับอนาคตของเราหรือเปล่า? หรือเราไว้วางใจในทรัพย์สินเงินทอง?)
- ส่วนเกินจากที่เราจำเป็นในชีวิตควรมองว่าส่วนนั้นมีไว้เพื่อช่วยให้คนอื่นได้รับสิ่งที่จำเป็นในชีวิต และนี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้เราใช้ส่วนเกินความจำเป็นเพื่อการนั้น พระเจ้าทรงเป็นความมั่นคง ความมั่งคั่ง ยั่งยืนที่แท้จริงในชีวิตของเรา และพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์ประทานให้พอเพียงสำหรับทุกคน
เมื่อพระเยซูคริสต์เตือนไม่ให้สั่งสมสิ่งต่าง
ๆ ที่เกินความต้องการเพื่อตัวเราเองในโลกนี้
มิใช่เพียงเพราะไม่ให้ความมั่งคั่งสูญเสียไป แต่เตือนว่า...ความมั่งคั่ง (มันไม่ยั่งยืน) ย่อมเสื่อมสูญไป เราต้องตระหนักชัดว่า มันอยู่กับเราเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่เราจะต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์เกิดคุณค่าที่แท้จริง
สำหรับพระเยซูคริสต์แล้ว การสั่งสมทรัพย์สินเงินทองเพื่อตนเอง มิเพียงแต่เป็นการผิดพลาดอย่างมหันต์ แต่เป็นการวางแผนแบบคนโง่อีกด้วย
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่