แยกการประกาศพระกิตติคุณออกจากการสร้างสาวกพระคริสต์
เมื่อมารเข้ามาขวางให้พระมหาบัญชาของพระคริสต์หมดแรงสิ้นพลัง
มารมิได้ทำให้คริสตจักรของพระคริสต์หยุดทำพันธกิจตามพระมหาบัญชา เพียงแต่หลอกล่อให้คริสตจักรแยกการประกาศพระกิตติคุณออกจากการสร้างสาวก
โดยให้ทั้งสองกลุ่มมีกรอบคิดกรอบเชื่อที่แตกต่างกัน สองกลุ่มนี้ไม่ถึงกับต้องทะเลาะกัน แต่สองกลุ่มนี้ต่างคนต่างทำ ไม่ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
หรือไม่บางคริสตจักรเลือกออกไปประกาศ และบางคริสตจักรเลือกการสร้างสาวก
พวกหนึ่งถูก
“ใส่ความคิด” ว่า เพื่อให้คริสตจักร และ
คริสต์ศาสนาเป็นที่ยอมรับของสังคมโลก ดังนั้น คริสตจักรควรเน้นเรื่องการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตแบบคริสตชนในคริสตจักร ให้สังคมโลกมองเห็นว่า คริสตจักรเป็นชุมชนที่มีคุณภาพที่ชีวิตที่ดี
ที่เอื้ออาทรต่อกัน
ที่รักกัน
ดังนั้นคริสตจักรเหล่านี้มักเน้นให้สมาชิกอยู่กันแต่ในรั้วคริสตจักร สนใจตนเอง
สร้างชุมชนคุณภาพของตนเอง
ส่วนมากมักพบว่าเป็น คริสตจักรที่มีอายุยาวนาน
เน้นเรื่องชั้นเรียนคริสเตียนศึกษาที่ให้ความสำคัญกับความรู้ในสิ่งที่ตนเชื่อ
เน้นการส่งทอดความเชื่อแก่ลูกหลาน
ชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนปัญญาชน
เป็นชุมชนที่มิได้เชื่องมงายแต่มีเหตุมีผล หลักศาสนศาสตร์ต้องเป็นตรรกะมีเหตุมีผล
ในขณะมีคริสตจักรอีกกลุ่มหนึ่งที่เน้นและให้ความสำคัญในประกาศพระกิตติคุณ แต่มักมุ่งเน้นที่การประกาศพระกิตติคุณเพื่อให้ผู้คนในสังคมชุมชนเปลี่ยนแปลงศาสนาให้มานับถือศาสนาคริสต์
แต่ไม่ได้ใส่ใจที่จะเน้นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน และในการเปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมชุมชน
ขอเน้นว่าเป็นการเน้นการเปลี่ยนแปลงด้านความเชื่อในศาสนา มิใช่เปลี่ยนแปลงชีวิต
ทั้งสองกลุ่มต่างไม่ได้กระทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์ เพราะทั้งสองกลุ่มมิได้นำเอาพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ให้ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน(รวมถึงของตนเองด้วย) และสร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตชุมชน
ดังนั้น มองเผิน ๆ เรามองและคิดว่าคริสตจักรทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเรากระทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์ต้องก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน
และ การเปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมโลก แต่เพราะเราทำพระมหาบัญชาตามกรอบคิดกรอบเชื่อของตนเอง จึงทำให้การทำตามพระมหาบัญชาอ่อนแรงและมีพลังถดถอย
การประกาศพระกิตติคุณกับการสร้างสาวกเป็นคู่อุปถัมภ์หนุนเสริมกัน
พระเยซูคริสต์เริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ด้วยการเทศนาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า แล้วเรียกร้องให้ผู้ฟังเหล่านั้นกลับใจ
(ประกาศพระกิตติคุณ)
แล้วรวบรวมคนกลุ่มหนึ่งขึ้นเพื่อร่วมในพระราชกิจของพระองค์ (การสร้างสาวก) และในช่วงท้ายแห่งการทำพระราชกิจของพระองค์ พระคริสต์ทรงบัญชาและมอบหมายสิทธิอำนาจแก่พวกเขา
แล้วส่งพวกเขาเข้าไปทำอย่างที่พระองค์กระทำในสังคมโลก เพื่อผู้คนจะรับการเปลี่ยนแปลงชีวิต มาเป็นสาวกของพระคริสต์เพิ่มมากยิ่งขี้น จนกลายเป็นพลังเปลี่ยนแปลงระบบสังคมชุมชนโลก ด้วยการให้รับบัพติสมา (การประกาศ)
และสั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์ได้สอนพวกสาวกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
(สร้างสาวก)
เรียกว่าพระคริสต์ได้หลอมให้การประกาศพระกิตติคุณ
และ การสร้างสาวกพระคริสต์เป็นคู่อุปถัมภ์กัน
การประกาศพระกิตติคุณ
และ การสร้างสาวกเป็นสิ่งที่หนุนเสริมกันและกัน
ตลอดการทำพระราชกิจของพระเยซูคริสต์
พระองค์ได้หลอมรวมบูรณาการการประกาศพระกิตติคุณกับการสร้างชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์ให้เป็นชีวิตประจำวันที่เป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งชีวิตจิตวิญญาณและพฤติกรรมที่สำแดงออกในชีวิตแต่ละวันของสาวกเหล่านี้ที่พระองค์ทรงสร้าง และเราในฐานะที่ติดตามและเป็นสาวกของพระคริสต์ เราจะทำแตกต่างไปจากวิธีการและแบบอย่างที่พระองค์ทำเป็นตัวอย่างแก่เราได้อย่างไร?
เมื่อพระคริสต์ทรงหลอมรวมการประกาศพระกิตติคุณและการสร้างสาวกเป็นเนื้อเดียวกันตั้งแต่ต้นแล้ว คริสตจักรคือใคร ที่จะทำให้ทั้งสองต้องแยกออกจากกัน?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น