13 มิถุนายน 2561

ทำไมไม่สร้างสาวกอย่างที่พระคริสต์สร้าง?

พระเยซูคริสต์ทรงเทศนาแก่ฝูงชน  แต่ใช้เวลาทุ่มเทสร้างสาวกเพียง 12 คน   และในจำนวนนั้นทรงใช้เวลามากพิเศษกว่าคนอื่น ๆ กับสาวก 3 คน (เปโตร ยากอบ และ ยอห์น)  และดูเหมือนว่าใช้เวลามากกว่าเพื่อนกับเปโตร   ผู้นำคริสตจักรหลายคนมิได้ทำเช่นนี้ ...

และต่อไปนี้...คือเหตุผลที่ได้จากการสังเกตว่าทำไมผู้นำคริสตจักรไม่ทำเช่นนั้น

1. เรามักสอนสาวกแบบชั้นเรียนทีละหลาย ๆ คน  และใช้เวลาฝึกฝนชีวิตด้านต่าง ๆ และ ในการเป็นพี่เลี้ยงของสาวกพระคริสต์ก็มิได้ทำแบบคนต่อคน   ตั้งแต่ผมเห็นการสร้างสาวกในคริสตจักร   ทั้งหมดผมเห็นเป็นการสอนในชั้นเรียน  มีผู้เรียนทีละหลาย ๆ คน   เป็นการส่งผ่านข้อมูลความรู้มากกว่าสร้างสาวก   และเห็นว่าทั้งผู้สอนและคนในคริสตจักรต่างเห็นว่าชั้นเรียนยิ่งใหญ่ยิ่งดี   การสอนเรื่องสาวกพระคริสต์ทีละไม่กี่คนดูมันจืดชืด ไม่ตื่นเต้น

2. ผู้สอนกลัวว่า ถ้าสร้างสาวกแบบกลุ่มเล็ก ๆ และ แบบตัวต่อตัว   จะถูกมองว่าเลือกที่รักมักที่ชัง หรือ เป็นการเล่นพรรคเล่นพวก   ถ้าผู้สร้างสาวกใช้เวลากับกลุ่มเล็ก 1-3 คนนั้นมากกว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่ม กลัวอาจจะสร้างความเข้าใจผิดว่า  ผู้สร้างสาวกลำเอียงเอาใจใส่ 3 คนนี้มากกว่าคนอื่น ๆ   เมื่อกลัวเช่นนี้จึงไม่ได้สอนลงลึกในกลุ่มเล็กเฉพาะคน

3. ถ้าเป็นการสร้างสาวกแบบตัวต่อตัว หรือ แบบกลุ่มเล็ก ๆ  ผู้สร้างสาวกหลายคนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร  (เพราะผู้สร้างสาวกมักคุ้นชินกับการสอนแบบชั้นเรียน   เพราะเป็นการถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน   และผู้สร้างสาวกในกรณีนี้ส่วนใหญ่เกือบทุกคนเป็นคนสร้างสาวกที่ไม่เคยถูกสร้างให้เป็นสาวกมาก่อน   ดังนั้น การสร้างสาวกแบบเข้าถึงชีวิตรายบุคคลจึงเป็นเรื่องแปลก  ที่ตนไม่คุ้นชินที่จะทำ

4. ต้องใช้เวลามาก   ถ้าเลือกที่จะสร้างสาวกแบบตั้งใจสร้างเป็นรายบุคคลต้องใช้เวลาอันมีค่ามากมาย   แล้วจะเอาเวลาจากที่ไหนมาทำเช่นนั้น?

5. มองว่าเป็นวิธีที่เสี่ยง   การที่ผู้สร้างใช้เวลาเป็นพิเศษกับบางคน  กลัวว่า คนที่ตนกำลังสร้างให้เป็นสาวกจะรู้เรื่องราวชีวิตของตนในรายละเอียดมากยิ่งขึ้นกว่าปกติ   หลายคนไม่พร้อมที่จะให้คนอื่นรู้ลึกในรายละเอียดชีวิตของตนมากเกินไป

6. มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากว่า งานของตนเป็นการศึกษา การสอน และ การเทศน์พระวจนะเท่านั้น   ทั้งพระเยซูคริสต์ และ เปาโล ได้ทำให้เห็นชัดแล้วว่า   การเป็นผู้อภิบาล สร้างสาวกทำมากกว่านั้นอีกมากมาย

7. ผู้อภิบาล หรือ ผู้นำคริสตจักร เข้าใจว่างานของตนทำเพื่อการเกิดผลในปัจจุบัน  ไม่ได้คิดถึงชีวิตคริสตจักรในอนาคต   เพราะผู้อภิบาลหลายคนทำงานให้บรรลุตามตัวชี้วัด  ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเป็นผลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน   แต่น้อยนักที่จะให้บรรลุผลกระทบต่ออนาคต

8. ผู้อภิบาลบางท่านมีประสบการณ์เชิงลบกับการทำพันธกิจในอดีต   ผู้นำบางคนเคยทุ่มเทสร้างผู้นำรุ่นใหม่  แต่ผู้นำใหม่กลับมาหักหลังทำร้ายตน ดังนั้น จึงเข็ดหลาบที่จะสร้างสาวกในกระบวนการนั้นซ้ำอีก

9. มองว่าการสร้างสาวกแบบกลุ่มเล็กหรือตัวต่อตัวมิใช่ส่วนหนึ่งในพันธกิจที่ตนรับผิดชอบ   ผู้นำคริสตจักรกลุ่มนี้มองว่า การสร้างสาวกแบบตัวต่อตัวเป็น “งานพิเศษ” ที่เพิ่มขึ้นมา   แต่ตนมีงานมากมายที่ต้องรับผิดชอบ   เขาจะทำและทุ่มเทถ้าเขามีเวลาเหลือจากงานหลัก   แต่เขามองไม่เห็นว่า นี่เป็นการสร้างผู้นำที่ตนสามารถจะมอบหมายให้เขาเข้ามาร่วมทำงานพันธกิจกับตน  ตนไม่ต้องทำอยู่คนเดียวในอนาคต

10. มักบอกว่า  ไม่มีใครที่มากระตุ้นท้าทายให้เขาสร้างสาวกแบบตัวต่อตัว ตามแนวทางแบบพระคริสต์   แต่ปัจจุบันมีการท้าทายมากมายหลายทาง   ทั้งในสื่อหนังสือสิ่งพิมพ์  สื่อออนไลน์  และข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย   แต่อยากจะบอกว่า การที่จะทุ่มเทสร้างสาวกแบบจริงจังคนต่อคน ชีวิตต่อชีวิต แบบพระคริสต์นี้เป็นเรื่องที่เกิดจากใจ คือ ตั้งใจ และ เต็มใจที่จะทำ   และยังทำอย่างมีขั้นตอนแผนงานขับเคลื่อนที่ชัดเจน   เพื่อจะเทพลังชีวิตให้กับผู้เชื่อกลุ่มเป้าหมายเล็ก ๆ นี้เหมือนกับพระคริสต์  เราสามารถเริ่มต้นแม้จะมีเพียงคนที่เราจะสร้าง 1 คนก็ตาม


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น