ถ้าเราเชื่อเราคิดตามกระแสโลกที่ล้อมรอบเรา
ความเชื่อความคิดของโลกก็จะมีอิทธิพลทำให้ชีวิตของเราเป็นไปตามกระแสสังคมโลก
เราเชื่ออย่างไรเราก็ถูกกำหนดถูกหล่อหลอมพฤติกรรมที่แสดงออกของเราไปตามอิทธิพลของกระแสคิดและเชื่อของสังคมดังกล่าว
พฤติกรรมที่เราแสดงออกคือตัวกำหนดเป้าหมายชีวิตของเรา หลักการนี้เกิดเป็นจริงกับทั้งคริสตจักร องค์กร
ประเทศ หรือ
แม้แต่สังคมโลกเราด้วย
กล่าวโดยภาพรวมคือ
ชีวิตของเราเป็นไปตามระบบคุณค่าและคุณธรรมที่เรายึดถือ (ที่เป็นระบบคุณค่าที่กำหนดโดยกรอบคิดกรอบเชื่อของเรา)
ปัญหาที่น่าหนักใจคือ คริสตชนถูกกรอบเชื่อกรอบคิดตามกระแสสังคมโลกปัจจุบันเข้ามาทำลายและเข้ายึดพื้นที่หลักเชื่อหลักคิดบนรากฐานสัจจะของพระกิตติคุณที่ควรจะเป็นรากฐาน
หรือ แก่นกลางในกรอบคิดกรอบเชื่อของคริสตชน
แล้วหลักเชื่อหลักคิดตามกระแสสังคมโลกปัจจุบันที่แทรกซึมเข้ามายึดพื้นที่กรอบเชื่อความคิดของคริสตชนมีอะไรบ้าง?
1. เสรีปัจเจกนิยม: เข้ามาแทนที่ความเป็นไทในพระคริสต์
กรอบเชื่อกรอบคิดแห่งสัจจะของพระคริสต์เท่านั้นที่ให้ความเป็นไทแก่ชีวิตมนุษย์ที่พระคริสต์กอบกู้ให้หลุดรอดออกจากการครอบงำของอำนาจความบาปชั่ว
มาสู่ชีวิตที่เสรีหรือมีความเป็นไทในพระคริสต์
ที่ดำเนินชีวิตตามแผนการและพระประสงค์ของพระคริสต์ ในขณะที่เสรีปัจเจกนิยม หรือ เสรีตามใจฉัน ที่คน ๆ นั้นคิด ตัดสินใจ และมีพฤติกรรมตามใจตามความต้องการของตนเอง จะผิดจะถูกอยู่ที่การพิจารณาตัดสินตามใจของเจ้าตัว แม้คนอื่นจะมองว่าการทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง แต่ถ้ามีประโยชน์ ดีต่อตนเอง ก็จะตัดสินใจทำ กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เอาตนเองเป็นที่ตั้ง อย่างที่ปรากฏในพระคัมภีร์ผู้วินิจฉัย 21:25 “ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล
ต่างก็ทำตามที่ตนเองเห็นชอบ”
หรือเป็นเหมือนผู้นำที่ชื่อว่าแซมสัน
ที่ตัดสินใจตามใจตนเอง
เมื่อแซมสันต้องการที่จะแต่งงาน
พ่อแม่ให้แซมสันหาหญิงที่เหมาะสมในหมู่อิสราเอล มิใช่หญิงฟาลิสเตีย
เพราะเขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
แต่แซมสันกลับเอาแต่ใจตนเอง
ตอบพ่อแม่ว่า “ไปขอนางให้ลูกที เพราะนางต้องตาต้องใจลูกมาก” (ผู้นิจฉัย
14:3 มตฐ.)
2. โลกียนิยม หรือ โลกนิยม:
พูดง่าย ๆ สั้น ๆ ของหลักเชื่อหลักคิดในที่นี้คือ
“พระเจ้าไม่สำคัญ” “ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า”
เป็นการขับดันความคิดเรื่องพระเจ้าออกไปจากทุก ๆ มิติในชีวิตของเรา จนถึงหน่วยย่อยลงไปทั้งในด้านการศึกษา การปกครองสังคมชุมชน ความสัมพันธ์ในครอบครัวถึงระดับประเทศ และ
ในโลกปัจจุบัน
แต่ที่น่าหนักใจอย่างยิ่งคือ
คริสตชนจำนวนมากในปัจจุบันนี้ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพล
กรอบเชื่อกรอบคิดนี้ แม้ว่าคริสตชนกลุ่มนี้จะบอกตรง
ๆ ว่าเขายังเชื่อในพระเจ้า แต่คริสตชนกลุ่มนี้ดันให้พระเจ้าไปอยู่ในมุมที่ถูกจำกัดพื้นที่ทั้งกาละเทศะ ให้พระเจ้าไปอยู่ที่คริสตจักรในวันอาทิตย์ตอนเช้าเท่านั้น
เขาไม่ให้พระเจ้าไปป้วนเปี้ยนในชีวิตประจำวันของเขา ในที่ทำงาน
ในกลุ่มเพื่อ ในชุมชนและประเทศ
3. ไม่มีสัจจะที่ตายตัว:
หลักคิดหลักเชื่อของคนกลุ่มนี้คือ
สัจจะของฉันไม่จำเป็นต้องเป็นหรือเหมือนสัจจะของคุณ คนกลุ่มนี้จะคิดจะเชื่อว่า สัจจะจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์แวดล้อม ตามบริบท
ตามวัฒนธรรม ดังนั้น
จึงไม่มีสัจจะที่จริงแท้ตายตัว หรือ มีสัจจะที่เป็นหนึ่งเดียว ดังนั้น
เขาจึงมิได้ยึดถือสัจจะหนึ่งเดียวของพระเจ้าที่จะใช้เป็นมาตรฐานในการชี้วัด ซึ่งอิทธิพลความคิดเช่นนี้กำลังมีอิทธิพลอย่างมากในสังคมปัจจุบันนี้
คริสตชนจะต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตประจำ อย่าให้อิทธิพลความคิดความเชื่อทั้ง 3 ประการที่มีอิทธิพลของกระแสสังคมเข้ามาครอบงำกรอบคิดกรอบเชื่อของเรา อิทธิพลทั้ง 3 ประการคือ
เสรีปัจเจกนิยม โลกียนิยม และสัจจะความจริงแท้ไม่มีจริง หรือ สัจจะความจริงไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่เปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมชีวิต
ถ้าสังคมถูกครอบงำด้วยอิทธิพลจากกระแสสังคมปัจจุบันทั้ง
3 ประการจะทำให้เกิดผลที่ตามมาคือ
สังคมที่เราอยู่จะมีแต่ผู้คนที่เอาตนเองเป็นที่ตั้งเป็นหลัก เป็นคนที่เห็นแก่ตัว สังคมก็จะเคลื่อนไปอย่างโงนเงน ไม่มั่นคง
หวั่นไหว นำสู่ความขัดแย้งวุ่นวาย ผู้คนจะไม่มีใครที่จะอุทิศทุ่มเทเพื่อสัจจะสูงสุด สำหรับคริสตชนคือพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์
คริสตชนที่ถูกกระแสอิทธิพลนี้ครอบงำจะยังบอกคนอื่นว่า
เขาเป็นสาวกของพระคริสต์
เขาเป็นคริสเตียน
แต่การคิดการตัดสินใจ และ พฤติกรรมที่เขาแสดงออกคือ เขาเลือกทำตามสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกว่าควรสำหรับเขา เขาทำเพื่อความต้องการของตนเอง เขาเห็นแก่ตนเองมากกว่าที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งที่ตามมาในระยะยาว เกิดความสับสน ขัดแย้ง
ล่มจมขึ้นในวงการคริสตจักร และ สังคมโลกที่คนพวกนี้อาศัยอยู่
เมื่อรากฐานถูกทำลายลงแล้ว
คนชอบธรรมจะทำอะไรได้? (สดุดี 11:3 อมธ.)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น