04 มิถุนายน 2561

ไม่เป็นดั่งตั้งใจ?...แล้วจะทำอย่างไร?

ท่านเคยแปลกใจและสงสัยไหมว่า ทำไมเรายังทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการจะทำ?  และ ทำไมเราไม่มีพลังที่จะทำในสิ่งที่เรารู้ว่าควรกระทำ?

อำนาจแห่งความบาปผิดที่ฝังแน่นภายในชีวิตของเรา  ทำให้เราไม่สามารถที่จะกระทำตามที่เราคิดและตัดสินใจ   เราทำในสิ่งที่รู้แล้วว่าไม่ควรทำ   แต่ก็ไม่มีกำลังพอที่จะทำในสิ่งที่รู้ว่าควรกระทำ  อย่างที่เปาโลกกล่าวว่า  “ข้าพ​เจ้า​ไม่​เข้า​ใจ​การ​กระ​ทำ​ของ​ข้าพ​เจ้า​เอง เพราะ​ว่า​ข้าพ​เจ้า​ไม่​ทำ​สิ่ง​ที่​ข้าพ​เจ้า​ปรารถ​นา​ที่​จะ​ทำ แต่​กลับ​ทำ​สิ่ง​ที่​ข้าพ​เจ้า​เกลียด​ชัง​นั้น... ข้าพ​เจ้า​จึง​ไม่​ใช่​ผู้​ทำ แต่​ว่าอำนาจแห่งความ​บาปชั่ว ​ซึ่ง​อยู่​ใน​ตัว​ข้าพ​เจ้า​นั่น​เอง​เป็น​ผู้​ทำ  ด้วย​ว่า​ใน​ตัว​ข้าพ​เจ้า คือ​ใน​เนื้อ​หนัง​ของ​ข้าพ​เจ้า​ไม่​มี​ความ​ดี​ใด​อยู่​เลย เพราะ​ว่า​เจต​นา​ดี​ข้าพ​เจ้า​ก็​มี​อยู่ แต่​การ​ดี​นั้น​ไม่​สา​มารถ​ทำ​ได้​เลย” (โรม 5:15, 17-18 สมช.)

พลังการต่อสู้ที่มีอยู่ภายในชีวิตของเรานี้  เกิดขึ้นแม้เมื่อเราเป็นคริสตชนแล้ว  ชีวิตของเราที่พระเจ้าทรงสร้างมานี้มีพลังอำนาจจากพระเจ้าที่มุ่งให้กระทำในสิ่งที่ดีตามพระประสงค์ และในเวลาเดียวกันก็มีอำนาจแห่งพลังความชั่วร้ายที่เข้ามาฝังรากในชีวิตของเราด้วย   ชีวิตที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ของเรา จึงอยู่ในภาวะที่สองขั้วอำนาจที่อยู่ในชีวิตของเรา “ดึงกัน”

ภาวะเช่นนี้ในชีวิตของเรา  เราจะทำเช่นไร?  เราจะหลุดรอดออกจากแรงดึงกันในชีวิตของเราได้อย่างไร?

มีทางออกครับ   พระเยซูคริสต์ได้ให้สัญญาว่า  “...พวก​ท่าน​จะ​รู้​จัก​สัจ​จะ และ​สัจจะ​จะ​ทำ​ให้​ท่าน​เป็น​ไท” (ยอห์น 8:32 มตฐ.)

เคล็ดลับในเรื่องนี้มิได้อยู่ที่ความตั้งใจ  ความพยายามที่จะควบคุมตนเอง  หรือ ในการบังคับตนเอง   ไม่มียารักษาความตึงเครียดภายในชีวิตเพราะแรงทั้งสองดึงกัน   ไม่มีวิธีการสำหรับการแก้เรื่องนี้   แล้วเราก็ไม่สามารถจะแก้ไขด้วยการสาบาน บนบานศาลกล่าวเช่นใดได้   และความพยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราก็ไม่ใช่คำตอบที่เป็นจริงได้ในเรื่องนี้

เคล็ดลับในการแก้ไขแรงดึงตึงจนเกิดความตึงเครียดในชีวิตนี้  ไม่สามารถแก้ไขด้วยการที่ตัวเราเองพยายามจะทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง   แต่พระวจนะของพระเจ้าให้เคล็ดลับว่า  การที่เราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้นั้นอยู่ที่ “การที่เรารู้ถึงสัจจะ”  แล้วสัจจะนั้นเองที่จะมีพลังเปลี่ยนความคิดความเชื่อ กรอบคิดกรอบเชื่อของเรา   จากนั้น ความรู้สึกของเราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วย   มุมมองของท่านต่อชีวิตของตนเองก็จะเปลี่ยน   และนี่คือตัวเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวันของเรา

วิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ท่านเอาชนะตนเองนั้น เป็นสิ่งที่โกหกหลอกลวงจากกรอบคิดกรอบเชื่อเดิมของท่าน   เป็นกรอบคิดกรอบเชื่อจากการหลอกลวงของมารเกี่ยวกับตัวท่านเอง  เกี่ยวกับอดีตหรืออนาคตของท่าน  เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า  หรือเกี่ยวกับคนอื่น  และเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ

แล้วทำไมเรายังทำบางสิ่งบางอย่างทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งนี้ไม่ถูกไม่ควรกระทำ?   เพราะเราคิดว่าเราจะได้ผลตอบแทนที่ดีจากการกระทำในสิ่งนั้น(เพราะความสนใจของเรามุ่งมองไปที่ผลประโยชน์ที่จะได้จากการกระทำนั้น  มิใช่จากสัจจะของพระเจ้า) และนี่คือการโกหกหลอกลวงโดยใช้ผลประโยชน์ที่ท่านคิดว่าจะได้มาหลอกล่อให้ท่านทำในสิ่งนั้น สิ่งที่ดีมีประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรานั้นมาจากการที่เราทำในสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราเท่านั้น และจะต้องเริ่มต้นจากการที่เราเริ่มต้นรู้ถึงสัจจะของพระเจ้า ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา เราต้องเริ่มต้นที่ความนึกคิดของเรา เริ่มต้นที่มีกรอบคิดกรอบเชื่อที่เกิดจากสัจจะของพระเจ้า เราต้องเริ่มต้นที่จะรู้และเชื่อในสัจจะของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด

เมื่อเรารู้ถึงสัจจะของพระเจ้า   สัจจะนั้นจะกอบกู้และปลดปล่อยให้เราเป็นไท   ทำให้เราได้มองเห็นถึงสิ่งที่หลอกลวงเราอย่างชัดเจน  เป็นสิ่งหลอกลวงที่เราเคยหลงเชื่อ และหลงรับเอาไว้เป็นกรอบคิดกรอบเชื่อของชีวิต

สิ่งหลอกลวงที่เรารับเราเชื่อจนตกผลึกแข็งตัวเป็นกรอบคิดกรอบเชื่อที่ผิด ๆ มาจากหลายทางด้วยกัน   อาจจะเกิดขึ้นในตอนที่เรายังเป็นเด็ก   อาจจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตตอนเด็กที่เรามีกับเพื่อน  พ่อแม่ พี่น้อง ผู้คน   บางครั้งมาจากเรื่องในโทรทัศน์  หรือบางครั้งเกิดจากความคิดที่เราจินตนาการขึ้นเอง   แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวโกหกหลอกลวงและมีอิทธิพลหลอมตัวจนกลายเป็นกรอบคิดกรอบเชื่อของเรา   แต่ถ้าในวันใดในเวลาใด เรากลับมาให้สัจจะที่เราพบเราเรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าให้มีอิทธิพลหล่อหลอมกรอบคิดกรอบเชื่อของเราใหม่ตามสัจจะของพระเจ้า เราจะพบว่า กรอบคิดกรอบเชื่อเดิมที่เกิดจากการโกหกหลอกลวง ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ในอดีตถูกเปลี่ยนเป็นกรอบคิดกรอบเชื่อใหม่ที่เกิดจากอิทธิพลของสัจจะที่เราเรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้า   และนี่แหละที่เราเรียกว่า “เราเป็นไท” 

เราเป็นไทเพราะเราไม่ถูกครอบงำจากกรอบคิดกรอบเชื่อเดิมที่หลอกลวงเรา   แต่เรามีกรอบคิดกรอบเชื่อใหม่ตามสัจจะของพระเจ้า   ดังนั้น  สิ่งที่เราเชื่อเราคิด กับ สิ่งที่เรารู้ในสัจจะของพระเจ้าเป็นเรื่องเดียวกัน   ปัญหาความตึงเครียดในชีวิตจากแรงดึงกันระหว่างอำนาจในกรอบคิดกรอบเชื่อ กับพลังของสัจจะความจริงของพระเจ้าจึงยุติลง แต่กลับหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่กัน  และนี่ก็คือชีวิตที่เป็นไทในอีกแง่มุมหนึ่งด้วย

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น