17 พฤษภาคม 2554

วิบัติแก่เจ้าพวกฟาริสี... วิบัติแก่ข้าพเจ้า...

42“แต่วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าถวายทศางค์(สิบลด)ของสะระแหน่และขมิ้นและผักทุกอย่าง และได้ละเว้นความชอบธรรมและความรักพระเจ้าเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย” (ลูกา 11:42)

ในตอนท้ายของลูกาบทที่ 11 (ข้อ 37-44) เป็นเรื่องที่พระเยซูไปรับประทานอาหารในบ้านของฟาริสี แน่นอนว่า ในงานเลี้ยงวันนี้เต็มไปด้วยผู้นำทางศาสนาของยิว มีทั้งพวกฟาริสีซึ่งเป็นผู้นำศาสนายิวที่เป็นฆราวาส บาเรียน และพวกธรรมาจารย์ แต่ในวันนั้นบรรยากาศการสนทนาบนโต๊ะอาหารดูจะไม่ค่อยชื่นชมราบรื่นเท่าใดนัก ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นการสนทนาที่ดุเดือดเผ็ดร้อน เป็นการสนทนาที่สร้างความตึงเครียดระหว่างพระเยซูและลูกศิษย์ของพระองค์กับพวกผู้นำศาสนายิว คำตอบของพระเยซูในงานเลี้ยงวันนั้นยังเป็นลักษณะติเตียนกล่าวโทษพวกฟาริสีอีกด้วย

พระเยซูคริสต์ได้วิพากษ์พวกฟาริสีในสามประเด็นด้วยกัน ซึ่งในทั้งสามเรื่องพระองค์ทรงเตือนฟาริสีให้ระมัดระวังในการที่พวกเขาเคร่งครัดเรื่องหยุมหยิม หรือ การปฏิบัติศาสนพิธีตามธรรมบัญญัติในข้อปลีกย่อยต่างๆ เพื่อให้คนอื่นได้เห็นการกระทำดีของตนเอง เพื่อที่จะได้ยกย่องชื่นชมการกระทำของเขา แต่ละเลยที่จะเอาใจใส่ต่อจิตใจที่สัตย์ซื่อในการกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ในข้อที่ 42 เป็นการวิพากษ์พวกฟาริสีในประการที่สอง ซึ่งเป็นการกระตุกต่อมสำนึกและความจริงใจของพวกเขาต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ พระองค์ตรัสวิพากษ์พวกฟาริสีว่า “วิบัติแก่เจ้าพวกฟาริสี เจ้าถวายสิบลดของสาระแหน่ ขมิ้น และเครื่องเทศทั้งปวงของเจ้าแด่พระเจ้า แต่เจ้าละเลยความยุติธรรมและความรักของพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติอย่างหลังโดยไม่ละเลยอย่างแรก” (ข้อ 42 อมตธรรม) พวกฟาริสีสนใจเรื่องการถวายเงินและผลผลิตจากทุ่งนาของตนแด่พระเจ้า แต่เขาไม่สนใจและละเลยที่จะกระทำ “ความยุติธรรมและความรักของพระเจ้า”

ในข้อ 41 พระเยซูวิพากษ์พวกฟาริสีว่า เอาใจใส่แต่เรื่องภายนอกที่เป็นการกระทำโอ้อวดให้คนอื่นได้เห็นเพื่อหวังจะได้รับการยกย่องจากคนที่พบเห็น แต่เขามิได้เอาใจใส่จิตภายในชีวิตของเขาที่จะให้จิตใจของตนมีความรักของพระเจ้า ดังนั้น เขาจึงละเลยที่จะรักและช่วยคนยากคนจน พระเยซูคริสต์บอกพวกฟาริสีว่า “แต่จงให้สิ่งที่มีอยู่ในชามแก่ผู้ยากไร้” (ข้อ 37 เทียบข้อ 39) ที่พูดถึงการล้างชามคือการชำระจิตใจ พระเยซูชี้ให้ฟาริสีเห็นชัดว่า การที่ให้ความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อด้วยความรักของพระเจ้าแก่คนยากไร้นั้นเป็นการกระทำจากจิตใจที่สะอาด แต่ฟาริสีเลือกที่จะถวายสิบลดสิ่งเล็กสิ่งน้อย แล้วไม่ยอมที่จะช่วยเหลือเจือจานแก่คนยากคนจน นั่นแสดงว่า ทำตามศาสนบัญญัติ แต่ไม่มีความรักของพระเจ้าในจิตใจของเขา ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะไม่มีสำนึกในเรื่องความยุติธรรมในชีวิตและสังคม และที่สำคัญเขาละเลยที่จะกระทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

แต่เมื่อเราอ่านพระธรรมตอนนี้ที่พระเยซูวิพากษ์ฟาริสีว่า “วิบัติแก่เจ้าพวกฟาริสี...” ทำให้สะดุดใจตนเองว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า...” เพราะบ่อยครั้งเราก็เป็นเหมือนฟาริสี ที่ทำตนให้ดูดีแต่ภายนอก แต่ภายในรู้อยู่แก่ใจตนเองว่าเป็นเช่นไร การวิพากษ์ของพระเยซูจึงเป็นการกระตุกต่อมสำนึกของเรา และเรียกร้องความจริงใจที่จะให้เราถวายแด่พระองค์ด้วยจิตใจที่มีความรักของพระเจ้า ที่สำนึกในความเป็นธรรมในชีวิตมนุษย์และสังคม ให้เราระวังที่เราจะมุ่งสนใจการกระทำตามกฎบัญญัติและระเบียบถี่ย่อยในองค์กรศาสนาของเรา แต่ละเลยที่จะแสวงหาความยุติธรรมและความรักของพระเจ้า เราอาจจะหลงระเริงกับการที่ได้รับเกียรติ ยกย่อง เชิดชูจากผู้คนโดยมิได้สำนึกถึงความฉ้อฉลในจิตวิญญาณของเรา ถ้าเช่นนี้หัวข้อในวันนี้น่าจะเป็น “วิบัติแก่ข้าพเจ้า...” แทน “วิบัติแก่พวกฟาริสี...”

อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจจัดการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเองได้ แต่เราหวังพึ่งในพระคุณและพระกำลังผ่านทางพระเยซูคริสต์ วันนี้ ขอให้กำลังใจแก่ท่านด้วยข้อความอมตะของฟาริสีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสังเวชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าพ้นจากกายแห่งความตายนี้ได้ ขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพ้นได้โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (โรม 7:24-25 อมตธรรม) เปาโลได้ยืนยันสัจจะความจริงนี้

จากการที่เราได้อ่านคำวิพากษ์ของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อพวกฟาริสี เราได้เห็นบางสิ่งในคำวิพากษ์นั้นมีอยู่ในชีวิตของเราหรือไม่? ถ้ามี เราจะยอมให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตภายในของเรา เพื่อชีวิตที่แสดงออกภายนอกจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ด้วยหรือไม่?

เป็นการง่ายที่เราจะมองหาความผิดพลาดของคนอื่น มองว่าคนอื่นเป็นคนเลวกระทำผิด แต่เมื่อเราได้อ่านได้ใคร่ครวญคำวิพากษ์ของพระเยซูทำให้เราเห็นชัดว่าตนเองก็เป็นอย่างฟาริสีเช่นกัน เราต้องการขอพระเจ้าโปรดยกโทษแก่เรา เราเสียใจที่บ่อยครั้งเราไปเอาใจใส่แต่สิ่งเล็กสิ่งน้อยแต่ละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดของพระเจ้า ขอพระเจ้าโปรดเมตตาและยกโทษเราที่ล้มเหลวที่จะมีความรักและความยุติธรรมของพระองค์ในชีวิตของเรา ขอพระเจ้าโปรดเมตตายกโทษที่เรามักจะให้ความสนใจและให้ความสำคัญว่า คนอื่นจะมองเราอย่างไร แต่ไม่สนใจที่จะมองเข้าในจิตใจของตนเองว่าเป็นเช่นไร

ในสภาพชีวิตเช่นนี้เราต้องขอพึ่งในพระกรุณาของพระองค์ เพื่อจะปลดปล่อยและชำระจิตใจของเรา และขอพระเจ้าโปรดชี้นำทางชีวิตที่เราควรจะดำเนินไป บนเส้นทางเสรีที่ผูกพันด้วยความรักแบบพระคริสต์ เส้นทางเสรีที่เป็นวิถีแห่งกางเขน เส้นทางเสรีบนวิถีแห่งการเป็นขึ้นใหม่ของพระคริสต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น