21 กรกฎาคม 2553

ซึมซับจากหนังสือ The Right To Lead

เขียนโดย จอห์น ซี. แมกซ์แวลล์
เก็บความและเรียบเรียง โดย ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง

เกริ่นนำ

อะไรที่ทำให้คนบางคนมีสิทธิที่จะนำคนอื่น? ที่แน่นอนคือ การที่จะนำคนอื่นได้อย่างแท้จริงนั้นมิได้เกิดจากการที่ได้รับการเลือกตั้ง และ ก็ไม่ได้เกิดจากการได้รับเลือกสรร แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้เกิดจากการมีตำแหน่ง หรือมีคำนำหน้าชื่อ เช่น ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ ท่านนายก ท่านเลขาธิการ ท่านอธิการ หรือ ฯลฯ และก็ไม่ได้เป็นผู้นำเพราะมียศนำหน้าชื่อ หรือตัวย่อปริญญาตามท้ายชื่อ และสมรรถนะความสามารถในการนำก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะจากการสั่งสมอายุที่มากขึ้น หรือ ประสบการณ์ที่หลากหลายกว่าด้วยเช่นกัน

กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดความได้ว่า ไม่มีใครที่มีสิทธิในการเป็นผู้นำเพราะ “ได้รับสิทธิ” ในการนำ แต่สิทธิในการนำเป็นสิ่งที่เกิดจาก “การยอมรับ” จากผู้คนที่เขาจะนำ และนี่ต้องใช้เวลาครับผม

ผู้นำที่คนอื่นต้องการตาม

หัวใจที่จะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพมิได้ให้ความสำคัญที่จะจัดการด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้คนอื่น(ต้อง)ตามเขา แต่ตรงกันข้ามผู้นำควรจะเป็นคนที่ทำตนให้เป็นคนที่ผู้อื่นต้องการที่จะตาม พูดฟันธงก็คือผู้นำคนนั้นต้องเป็นคนที่คนอื่นไว้วางใจได้และนำคนอื่นไปยังที่ที่คนเหล่านั้นต้องการจะไปให้ถึง

จอห์น ซี. แมกซ์แวลล์ ได้ให้ข้อคิดและแนวทางที่น่าสนใจในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า “The Right To Lead” ดังนี้

1. ปลดและปล่อย “ตัวกูของกู” ให้ออกไปจากตน

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่แท้จริงมิใช่ผู้นำที่หวังว่า “ตนต้องได้” แต่ที่เขานำก็เพื่อที่จะ “รับใช้” คนอื่น (คำนี้ดูคุ้นหูคริส-เตียน) ในประการนี้แมกซ์แวลล์ได้อ้างอิงข้อสังเกตที่ Lawrence D. Bell ได้กล่าวไว้ว่า “ขอช่วยแสดงให้ผมเห็นถึงคนที่ไม่สามารถขวนขวายทำในสิ่งเล็กสิ่งน้อย แล้วผมจะแสดงให้เห็นถึงคนที่ไม่ควรวางใจให้ทำการใหญ่”

2. สิ่งแรก...ให้เป็นผู้ตามที่ดี

คงเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะมีผู้นำที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพซึ่งไม่เคยผ่านการเป็นผู้ตามที่ดีมาก่อน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่การฝึกฝนสร้างผู้นำในกองทัพอย่างเช่น United States Military Academy บ่มเพาะฝึกฝนเจ้าหน้าที่ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำให้เป็นผู้ตามที่ดีก่อน เช่นเดียวกันกับที่ West Point ที่ได้ผลิตผู้นำได้มากกว่า Harvard Business School

3. การเสริมสร้างสัมพันธภาพเชิงบวกและสร้างสรรค์

การเป็นผู้นำนั้นไม่ใช่เรื่องอื่นใดเลยแต่เป็นการที่คนๆ นั้นมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ในที่นี้หมายความถึงการที่มีสัมพันธภาพอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้นำในยุคปัจจุบันนี้ให้ความสนใจและความสำคัญในประการนี้ค่อนข้างมาก เพราะเขาตระหนักชัดว่า “ตำแหน่ง” หรือ คำนำหน้า เช่น “ศจ. รศ. ดร. และ ฯลฯ” มีความหมายหรือมีความสำคัญเพียงน้อยนิดสำหรับการเป็นผู้นำของเขา เพราะเขาเหล่านี้รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า คนทั้งหลายจะติดตามคนที่พวกเขาสามารถเข้าได้ด้วยดี

4. ทำงานเก่ง เยี่ยม ยอด

ไม่มีใครให้การนับถือคนที่ทำงานเหลาะแหละ ไม่เกิดผล ผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือผู้นำที่ไม่รู้จะทำอะไร ผู้นำที่จะได้รับสิทธิในการนำก็คือ คนที่ทุ่มเททั้งกาย ความตั้งใจ และความสามารถทั้งสิ้นลงในงานที่เขาทำ ผู้นำเช่นนี้มิใช่ลงทุนลงแรงตะลันต์ความสามารถของเขาเท่านั้น แต่เขาเปี่ยมด้วยความมุ่งมาดปรารถนาและทำงานหนัก เขาทำงานด้วยสมรรถนะอย่างสูงสุดในงานที่เขาทำ

5. มีวินัยในการนำ มิได้นำด้วยอารมณ์

ผู้นำจะดูสบายเมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างราบเรียบหรือเมื่อกำลังขาขึ้น แต่เมื่อทุกสิ่งดูขัดแย้งต่อต้านคุณในฐานะผู้นำ คุณจะรู้สึกหมดแรงอ่อนกำลัง เกิดความรู้สึกไม่อยากจะนำต่อไป ในเวลาเช่นนี้เองที่คุณกำลังอยู่ในฐานะผู้นำ ในทุกฤดูกาลที่ผันแปรแห่งชีวิต ผู้นำจะมีช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติสำคัญ ในช่วงเวลาที่ผู้นำคนนั้นต้องเลือกระหว่างจะ “มุ่งหน้าอย่างมุ่งมั่น” หรือ “หมดแรงหมดความตั้งใจ” การที่จะทะลุผ่านในช่วงเวลาวิกฤติติดขัดเช่นนี้ย่อมขึ้นอยู่กับตัวผู้นำว่า จะมีวินัยชีวิตอันแข็งแรงเหนียวแน่นดั่งศิลา หรือ จะใช้อารมณ์ที่อ่อนไหว หละหลวมอย่างทรายในชีวิต

6. สร้างเสริมคุณค่าแก่เป้าหมายของคุณ

เมื่อเราพิจารณาถึงผู้นำที่ได้รับการยอมรับนับถือแม้ภารกิจการนำของเขาเสร็จสิ้นไปแล้วก็ตาม เราจะพบว่าผู้นำเหล่านี้มิได้นำให้งานที่ทำให้บรรลุตามเป้าหมายต้องการจนเสร็จสิ้นเท่านั้น แต่เขาเสริมเพิ่มคุณค่าในการนำของเขาด้วยการช่วยให้ผู้คนที่เขานำแต่ละคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และสามารถใช้ศักยภาพในชีวิตอย่างเต็มที่ จนผู้ตามเหล่านั้นเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกตนมีคุณค่า และสิ่งนี้คือการทรงเรียกที่พระเจ้าประสงค์ให้ผู้นำทำเช่นนั้น และนี่คือคุณค่าสูงสุดในการเป็นผู้นำ

7. มอบอำนาจของคุณไปสู่ผู้ตาม

ความจริงที่ดูขัดกันประการหนึ่งของการเป็นผู้นำคือ การที่คุณจะเป็นผู้นำที่ดีขึ้นเมื่อคุณมอบหมายอำนาจในการนำไปสู่คนอื่นๆ มิใช่การที่คุณ “เก็บกัก” อำนาจทั้งสิ้นเพื่อตัวคุณเองและพรรคพวก คุณควรเป็นผู้นำที่เป็นเหมือน “แม่น้ำ” มิใช่เป็นเหมือน “แอ่งน้ำ หรือ หนองน้ำ” (ระวังน้ำจะเน่าเหม็น) ถ้าคุณใช้อำนาจในการเป็นผู้นำที่คุณมีอยู่ในการเสริมเพิ่มพลังผู้ตามแต่ละคน คุณจะสามารถนำอย่างกว้างไกลเกินกว่าที่คุณเองเกาะกุมยึดยั้งมันไว้ได้

ในหนังสือ The Right To Lead มีตัวอย่างหลากหลายของคนมากมายที่ทำเช่นว่านี้และได้รับการยอมรับในการนำ เพราะความกล้าและกำลังใจที่เขาได้ประสบพบเจอและท่าทีการนำที่เขาแสดงออก ทำให้คนอื่นที่พบเห็นเขาชื่นชมในคุณค่าการนำของเขาและรู้สึกต้องติดตามเขาไป (ผมไม่ได้รับจ้างทำโฆษณานะครับ แค่ประชาสัมพันธ์เท่านั้นครับ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น